xs
xsm
sm
md
lg

ทำไมวันที่ 4 กุมภาฯ เราต้องเจอกันที่ลานพระบรมรูปฯ ?

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

"ถ้าทำได้ ดิฉันไม่อยากให้เขามีชีวิตอยู่ ... ขอให้เขาไม่มีโอกาสได้ใช้เงินที่เขาโกงประเทศชาติไป รวมทั้งครอบครัวของเขา ตระกูลของเขา ลูกหลานของเขา..."

เวลา 22.05น. ที่ปลายสายเป็นเสียงของคุณแม่ลูกสาม ที่โทรเข้ามาในรายการวิทยุเพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจ เสียงสั่นเครือปานว่ากำลังร้องไห้ของเธอ ทำเอาผู้ดำเนินรายการทั้งหมดในห้องรวมทั้งผมได้แต่นั่งนิ่ง เราได้แต่ปลอบใจ คุณแม่ลูกสามที่ลูกๆ แต่ละคนย่างเข้าสู่วัยเรียน-ทำงาน พร้อมกับปลอบใจตัวเองไปพร้อมๆ กัน

คุณแม่คนเดิม กล่าวอย่างเปิดใจต่อว่า ตัวเองอายุขนาดนี้แล้วไม่เคยเป็นห่วงตัวเองเลยกับการออกมา 'สู้' เพื่อสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของตัวเอง 'สู้' เพื่อประเทศชาติ และที่สำคัญ 'สู้' เพื่อลูกๆ ทั้งสาม

"ดิฉันไม่เคยเป็นห่วงตัวเองเลย เพราะอายุก็ปูนนี้แล้ว แต่เป็นห่วงลูกๆ เป็นห่วงหลาน ที่จะเติบโตขึ้นมาในสังคมไทยในอนาคต ......"

ฟังจากท่วงทำนองของเนื้อหาในการสนทนา และน้ำเสียงของเธอแล้ว ผมมิอาจจะเชื่อได้ว่าคุณแม่ลูกสามผู้นี้จะเคยคิดร้ายหรือแช่งชักหักกระดูกใครให้ถึงแก่ชีวิตมาก่อน แต่ด้วยน้ำเสียงของเธอที่พูดออกมา ในวันที่ "ทุนสิงคโปร์เข้าเทกโอเวอร์ชินคอร์ป" บอกกับผมว่า สภาพจิตใจของเธอถูกกดดันจนถึงที่สุดแล้ว ถูกกดดันดังเช่น สุนัขจนตรอก สุนัขที่หมดหนทางและหมดแรงในการต่อสู้กับความอยุติธรรมของสังคม

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ผมได้ยินประโยคจากคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่กล่าวว่า "ผม/ฉัน อายุปูนนี้แล้ว ไม่กลัวไอ้ทักษิณมันหรอก อย่างมากก็แค่ตาย เป็นห่วงก็แต่ลูก เป็นห่วงก็แต่หลาน" มาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ต่อกี่ครั้ง

มีคนบอกว่า ความแตกต่างระหว่าง แฟนสนธิ-สโรชา กับแฟนคลับดารา-นักร้อง แฟนคลับสรยุทธ์-กนก คือ แฟนสนธิ-สโรชาส่วนใหญ่แล้วอายุมากกว่า 50 ปี ล้วนแล้วแต่เป็นคุณลุง คุณป้า คุณตา คุณยาย ที่มิเพียงห่วงใยและใส่ใจต่อสถานการณ์บ้านเมือง แต่ยังออกมาแสดงพลังให้ผู้ปกครองประเทศได้รับทราบว่า พวกเขารับทราบ รู้เท่าทัน และพร้อมที่จะแก้ไขความป่วยของสังคมให้มันทุเลาขึ้น ด้วยพลังของสามัญชนที่ไม่มีอาวุธ พลังของคนธรรมดาไม่มีกำลังพอที่จะสู้รบปรบมือกับใคร แต่มีใจที่พร้อมจะต่อต้านภัยของบ้านเมือง

ผู้ใหญ่ และเพื่อนฝูง หลายคนถามผมเกี่ยวกับวันที่ 4 กุมภาฯ ว่า
ทำไมต้องรวมพลกันในวันที่ 4 กุมภาฯ ขณะที่สถานการณ์ยังไม่สุกงอม?
ไม่กลัวม็อบชนม็อบหรือ?
ไม่กลัวคนในครอบครัวจะบาดเจ็บ หรือได้รับอันตรายหรือ?
ฯลฯ

คำตอบของผมก็คือ สภาวะเศรษฐกิจ การเมือง สังคมของประเทศไทยเช่นไรหรือ คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า สถานการณ์สุกงอมแล้ว?

จะต้องรอให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2540 เสียก่อนหรือ?
จะต้องรอให้นักการเมืองคอร์รัปชันกันจนสิ้นชาติหรือ?
จะต้องรอให้กลุ่มทุนต่างชาติไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ สหรัฐฯ ยุโรป จีน หรือชาติไหนๆ เข้ามายึดครองธุรกิจของคนไทย ผ่านนักการเมืองนายหน้าให้หมดทั้งประเทศเสียก่อนหรือ?
จะต้องรอให้เกษตรกรที่ล่มสลายเพราะการเปิด FTA เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เข้าหัวเมืองใหญ่ๆ มาประกอบอาชีพเป็นแรงงานชั้นต่ำ ขอทานกันให้หมดทั้งประเทศเสียก่อนหรือ?
จะรอให้ กฟผ. กฟภ. กฟน. การประปา รสพ. และรัฐวิสาหกิจทั้งหลายถูกครอบงำด้วยนายทุนต่างชาติ และนายทุนขายชาติเสียก่อนหรือ?
จะต้องรอให้ลูก หลานของเรากลายเป็นทาสทั้งทางความคิดและเป็นมือเป็นเท้า ของคนบางคน ตระกูลบางตระกูลไปตลอดชีวิตเสียก่อนหรือ?
จะรอให้ทักษิณกับเครือญาติ โกงชาติ โกงภาษี จนรวยสัก 2-3 ล้านล้านบาทเสียก่อนหรือ!?!

ผู้ใหญ่ และเพื่อนฝูงรอบๆ ตัวหลายคนของผม เป็นคนที่มีการศึกษา หลายคนมีการศึกษาถึงระดับปริญญาเอก แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใดที่ทำให้พวกเขานั่งนิ่ง ราวกับว่า ตัวเองเป็นคนนอก และมิได้เป็นส่วนหนึ่ง มิได้เป็นสมาชิกของสังคมนี้

อาจเป็นด้วยเหตุผลบางประการที่บังคับให้พวกเขาอาจจำต้องปิดตาข้างหนึ่ง รับรู้แต่ไม่ลงมือทำอะไร
อาจเป็นด้วยข้อจำกัดในเรื่องหน้าที่การงานที่ทำให้เขามองว่า การดำรงอยู่ของทักษิณมีประโยชน์กับเขามากกว่า โดยละเลยที่จะมองลึกลงไปถึงความล่มสลายของโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทยที่เกิดขึ้นให้เห็นเป็นรูปธรรมแล้วในปัจจุบัน
อาจเป็นด้วยความระแวงในตัวคุณสนธิ จนทำให้เขาละเลยข้อเท็จจริงและเนื้อหาที่คุณสนธิกล่าวถึง
หรือ อาจเป็นด้วยความขลาดเขลาในจิตใจ ดังเช่นที่หลายคนเคยชี้ให้เห็นว่า สังคมไทยในปัจจุบันนี้คนเก่ง คนดีมีมาก แต่คนกล้านั้นมีน้อย....

สำหรับคำถามที่ว่าแล้วหากจบภารกิจวันที่ 4-5 กุมภาฯ แล้วทักษิณไม่ลงจากตำแหน่งจะทำอย่างไร?

ประเด็นที่ผมอยากจะกล่าวก็คือ ภารกิจกู้ชาติในวันที่ 4-5 กุมภาฯ นั้นมิได้มีจุดมุ่งหมายหลักในการกดดันให้ทักษิณประกาศลาออกหรือยุบสภา แต่เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประชาชนที่ว่าพวกเราไม่ต้องการให้รัฐบาลชุดปัจจุบันปกครองประเทศอย่างทุจริต ไม่โปร่งใส และจะไม่ทนให้รัฐบาลชุดนี้นำพาประเทศไทยเดินสู่หุบเหวแห่งหายนะอีกต่อไป

ส่วนตัวแล้วผมเห็นว่า การจะลงหรือไม่ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของทักษิณนั้นไม่ได้มีนัยยะอะไรมากมายต่อการรวมพลังกันครั้งนี้ของประชาชน แต่นัยยะสำคัญที่สุดของวันที่ 4-5 กุมภาฯ ก็คือ การส่งสัญญาณให้นักการเมืองขี้ฉ้อ-หน้าด้าน เห็นว่า ประชาชนไทยนั้นไม่ยอมเป็นไอ้หน้าโง่ ให้นายกฯ และพรรคพวกมาดูถูกและแสดงปาหี่หลอกพวกเราอีกต่อไป และหากพวกคุณยังดื้อดึง-ดื้อรั้นที่จะโกงกินชาติกันต่อไป พวกเราก็พร้อมที่จะออกมากันอีกครั้ง หรืออีกหลายๆ ครั้ง เพื่อทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง

พูดตามตรง ..... ด้วยสภาวะของประเทศไทยในยุคปัจจุบัน การเป็นคนเก่ง คนดี ที่ยินดีนั่งอยู่นิ่งๆ รอฟังคำสั่ง รอดูสถานการณ์สุกงอม นั้นดูจะไม่เพียงพอกับการปกป้องประเทศชาติให้พ้นจากภยันตรายเสียแล้ว

วันที่ 4 กุมภาฯ นี้สังคมไทยต้องการคนกล้าที่จะต่อสู้กับอำนาจรัฐที่ถูกใช้อย่างเผด็จการ อย่างเช่น คุณสนธิ-คุณสโรชา คุณแม่ลูกสาม คุณลุง คุณป้า คุณตา คุณยาย และผู้ที่พร้อมจะสลัดความกลัวให้เป็นความกล้า อีกเยอะๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น