xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 213 “ผมรักคริสต์มาส (คิดถึง ‘คริสต์มาส-สึนามิ!’)”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้... จิบกาแฟขมถ้วยที่สองแล้วขับรถออกนอกเมืองเชียงใหม่ ฟังเพลงคริสต์มาสจากเทปในรถไปด้วย เป็นเพลงจากอัลบัม “The Christmas Song” ของ Nat ‘King’ Cole มีเพลงที่รู้จักกันดีสำหรับเทศกาลคริสต์มาสอยู่หลายเพลง เช่น Joy To The World, Holy Night , Cradle In Bethlehem, Little Town Of Bethlehem อัลบัมชุดนี้ของ นักร้องผิวสีและนักเปียโนผู้ยิ่งใหญ่ แนท คิง โคล ซึ่งได้รับรางวัลยอดเยี่ยมเมื่อ ในปี ค.ศ.๑๙๔๗

อากาศตอนเช้าเย็นแจ่มใสนัก ก่อนมาเชียงใหม่โรงแรมใหญ่ๆ และศูนย์การค้าต่างๆในกรุงเทพ ได้ทำการเปิดไฟคริสต์มาสกันแล้ว เตือนให้รู้ว่าว่าเทศกาลคริสต์มาสที่รอคอยกันอยู่กำลังใกล้จะมาถึง ทำให้รู้สึกดีไม่น้อย

ผมเองเป็นคนรักคริสต์มาส ตอนเป็นเด็กก็มีความสนุกสนาน พอคืนคริสต์อีฟก็ตามเพื่อนๆที่เป็นคริสเตียนไปร้องเพลงตามโบสถ์บ้าง หลังจากนั้นก็ไปเที่ยวเต้นระบำกันต่อ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของความสุขสนุกสนานแบบวัยรุ่น เพราะในตอนนั้นยังแยกไม่ออกว่าคริสต์มาสต่างกับวาเลนไทน์

ครั้นเป็นพ่อคนเข้า เมื่อถึงเวลาคริสต์มาสก็ต้องตระเตรียมของขวัญให้กับลูกๆ ตอนลูกยังเล็กก็ต้องซื้อหาถุงเท้าสีเขียว พร้อมของขวัญเอาไว้ที่เตียงลูกๆ เพราะคุณยายของลูกๆเป็น คริสเตียน พอตัวเองเป็นคุณปู่ก็ต้องเตรียมของขวัญสำหรับหลานอีก ด้วยเหตุที่คุณแม่ของหลานเป็นคาทอลิค อีกทั้งเมื่อครั้งเป็นหนุ่มแน่น เคยเห็นความสวยงามของต้นคริสต์มาสที่ประดับประดาอย่างวิจิตรพิสดาร ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ท่ามกลางหิมะที่ตกขาวโพลนในค่ำคืนคริสต์มาสอีฟ เป็น White Christmas ที่ได้เห็นครั้งแรกในชีวิตเมื่อสี่สิบปีก่อนและประทับใจไม่ลืมเลือน

คริสต์มาสก็เลยเป็นเทศกาล ซึ่งผูกพันกับชีวิตของผมมาตลอด ทั้งๆที่ตัวเองเป็นชาวพุทธแท้ๆ

ขับรถผ่านมหาวิทยาลัยพายัพ ที่ผู้คนไม่ค่อยทราบว่า เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นโดย มูลนิธิแห่งสภาคริสจักรในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ เดิมนั้นชื่อ “วิทยาลัยพายัพ” ต่อมาได้รับอนุมัติจากทบวงมหาวิทยาลัย ให้ยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย มูลนิธิมีวัตถุประสงค์ ที่จะสนับสนุน นโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา เป็นแหล่งค้นคว้าทางวิชาการ การบริการสังคม และทำนุบำรุง ศิลปวัฒนธรรมซึ่งวิทยาลัยพายัพ ได้พัฒนาในด้านการจัดการศึกษาในด้านต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ทำให้ตัวเองระลึกได้ว่า

ความหลากหลายทางศาสนาในเมืองเชียงใหม่นั้นมีมาก ศาสนาต่างๆทั้งพุทธ คริสต์ อิสลามได้มาตั้งหลักปักฐานกันอยู่ที่เมืองที่มีเสน่ห์แห่งนี้ รวมทั้งศาสนาใหม่ๆ ที่เข้ามาภายหลังอย่างเช่น โยเร บาฮาย ยูดาย เรียกได้ว่า

เชียงใหม่นั้น เป็นแหล่งชุมนุมของวัฒนธรรมของหลายศาสนา อย่างกลมกลืนทีเดียว
โดยปราศจากความขัดแย้ง และผมหวังที่จะเห็นภาพอย่างนี้ต่อไปอีกนานเท่านาน

ศาสนาคริสต์ฝ่ายคอทอลิคนั้น ได้แผ่เข้ามาในประเทศของเราตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่เราไม่ค่อยทราบกันนัก เนื่องจากเป็นนักบวชจากยุโรปเช่น โปรตุเกส ฝรั่งเศส และมีเรื่องราวกับทางราชสำนัก จนต้องออกจากนอกประเทศไป และกลับเข้ามาอีกในยุครัตนโกสินทร์ และมีบทบาทในด้านการศึกษามากพอสมควร

เมื่อครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ศาสนาคริสต์อีกนิกายหนึ่งคือโปรเตสแตนท์ได้เข้ามาในประเทศไทย และศาสนาจารย์หรือหมอสอนศาสนาที่คนบ้านเรารู้จักดีมากคือ คุณหมอบลัดเลย์ (ดร.แดน บีช แบร์ดเลย์) มิชชันนารีอเมริกัน ที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนา และได้นำศิลปะวิทยาการหลายอย่างมาสู่เมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพิมพ์ หนังสือพิมพ์ วิชาการแพทย์แผนใหม่ และตัวคุณหมอเองก็ได้แสดงการผ่าตัดแขนขาของมนุษย์ เพื่อรักษาชีวิตของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้ เป็นครั้งแรกในประเทศไทยอีกด้วย นับว่าเป็นผู้ที่มีคุณูปการต่อชาติของเราอย่างยิ่ง

หลังจากเราคนไทยได้รู้จักหมอสอนศาสนา ต่อมาก็มีคริสตชนคนไทย ที่ยอมรับความเป็นเอกภาวะของพระผู้เป็นเจ้า คือ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระเยซูคริสต์นั้น และได้รู้จักคำสอนที่ให้รู้จักความรัก ความเมตตา และพระคุณของพระผู้เป็นเจ้า และความรักอันสมบูรณ์เต็มเปี่ยมของพระองค์ ทำให้ศาสนิกตระหนักถึงพันธกิจของพระองค์ที่กำหนดให้บรรดาผู้นับถือในพระผู้เป็นเจ้า จะต้องเอื้อเฟื้อต่อหมู่ชนที่ยากไร้ และความช่วยเหลือของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะคนในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่พระเจ้าสร้างมา ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ จึงเป็นสิ่งที่ผู้เป็นศาสนิกพึงจะต้องเอาใจใส่ และปฏิบัติตามพระองค์ท่ามกลางเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย โดยบรรดาศาสนิกจะต้องมีภาระในการเกื้อกูลต่อผู้คนที่ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาส

ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์นั้น มีเหมือนกันในทุกศาสนา เมตตานั้นแปลว่า ความรักหมายถึงความหวังดี ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น เป็นความรู้สึกที่เป็นมิตร ความไมตรีต่อกัน

พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุเตโช ราชบัณฑิต) ท่านอธิบายว่า เมตตา เป็นภาวะจิตที่ปราศจากความโกรธ ความอาฆาตมาดร้าย มีแต่ความหวังดี มีไมตรีจิต หวังความสุขความเจริญแก่ผู้อื่นเป็นที่ตั้ง ลักษณะเมตตาที่เห็นได้ชัดเจนคือความรักลูกของพ่อแม่ซึ่งจัดเป็นเมตตาแท้ๆ

เมตตา เป็นคุณธรรมสำหรับผู้นำหรือเป็นผู้ใหญ่ เป็นเหตุให้เป็นที่เคารพของผู้น้อยและได้รับความจงรักภักดีตลอดไป

คนที่เป็นชาวพุทธอย่างผม คุ้นเคยกับพระพุทธวจนะ ในธรรมบท ที่ว่า
“โลโกปตฺถมฺภิกา เมตฺตา” หรือ เมตตาธรรมค้ำจุนโลก นั่นเอง

พุทธศาสนิกชนในเมืองไทย น่าจะเป็นผู้ที่แผ่เมตตาให้กับชาวโลกและบรรดาสรรพสัตว์มากที่สุดชาติหนึ่ง คือหลังจากทำบุญ หรือหลังสวดมนต์ไหว้พระมนต์ เจริญจิตภาวนาแล้วแล้ว เราจะกล่าวคำแผ่เมตตา ว่า

สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด


คำแผ่เมตตานั้น เป็นการแสดงความรัก ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสงบสุขร่มเย็น แสดงให้เห็นถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เอื้ออาทร มีมิตรไมตรีทางด้านจิตใจซึ่งกันและกัน ทั้งนี้จะได้เป็นเครื่องระลึกไว้อยู่ในใจเสมอว่า ถ้าบุคคลใดประสบความทุกข์ โศกโรคภัยพิบัติอัตคัดด้วยประการใดก็ตาม ก็ขอให้บุคคลเหล่านั้น ผ่านพ้นทุกข์ภัยนั้น ๆ โดยเร็วพลัน หรือถ้าเขาผู้นั้นมีความสุข ความเจริญอยู่ดีกินดีเป็นปกติแล้ว ก็ขอให้มีความสุขความสมหวังมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป

เมตตาธรรมจึงเป็นคุณธรรมของผู้มีจิตใจสูง กอปรด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความเอื้ออาทรแก่ผู้อื่นอยู่เป็นนิตย์ ปราศจากความมุ่งร้ายทำลายหรือเอาชีวิตซึ่งกันและกัน อีกทั้งงดเว้นการเบียดเบียนทั้งทางร่างกายและจิตใจหรือทรัพย์สิน ไม่ข่มเหงน้ำใจ ไม่แบ่งชนชั้น ตลอดจนละเว้นความอาฆาตพยาบาท หรือความอิจฉาริษยาด้วยประการทั้งปวง

ดังนั้นจิตใจของพี่น้องประชาชนชาวไทยที่ถูกฝึกมาดี ด้วยอิทธิพลของพระพุทธศาสนา ยามใดที่มีภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็น มหาภัยสึนามิ ที่มาถล่มจังหวัดทางใต้ของเราเมื่อที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ หนึ่งวันหลังจากคริสต์มาส ทำให้ชาติของเราต้องประสพความเสียหายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ก็มีสิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิดและต้องบอกว่า “เอ๊ะ...คนไทยทำได้อย่างไรกัน ! ?” ซึ่งผมได้กล่าวเอาใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๘๕ ตอน “ในหลวงทรงไม่ปล่อยให้คนไทย Walk alone” (มุมมองจากเพลง You’ll Never Walk alone ของทีมลิเวอร์พูล) และได้เขียนเอาไว้ตอนหนึ่งว่า

....เมื่อคราวคลื่นยักษ์ Tsunami ถล่มจังหวัดท่องเทียวภาคใต้ของเรา คนไทยได้ทำให้ชาวโลกได้ประจักษ์ถืงน้ำใจ ที่เรามีต่อเพื่อนร่วมชาติและชาวต่างชาติที่มาร่วมชะตากรรมเดียวกัน ความช่วยเหลือที่หลั่งไหลไปอย่างรวดเร็ว น่าทึ่ง ชนิดที่ชาติใหญ่ยังต้องหันกลับมามองด้วยความทึ่งว่า

“เอ๊ะ...คนไทยทำได้อย่างไรกัน ! ?”


บัดนี้ วิบัติภัยครั้งนั้นได้ผ่านเลยไประยะหนึ่งแล้ว แต่ผู้ที่เจ็บป่วยถาวรเช่นพิการหรือขาดความสามารถในการเลี้ยงชีพก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง จึงอยากให้รัฐบาลเร่งมือให้ความช่วยเหลือ และวางแผนรัดกุม สำหรับการสงเคราะห์ผู้ประสพชะตากรรมครั้งนี้ในระยะยาวด้วย เพื่อเป็นการยืนยันกับเพื่อนร่วมชาติที่ตกเป็นเหยื่อมหันตภัยครั้งนี้ ว่า


You’ll Never Walk Alone !....

อยากให้ท่านผู้ที่ยังไม่ได้อ่าน ลองคลิกเข้าไปดูกัน ไม่อยากให้พลาด เพราะข้อเขียนตอนนี้ ได้ถูกนำไปโพสต์ในเวปไซด์ต่างๆ และทั้งไปตีพิมพ์แจกจ่ายกันทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสังเกตดูแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ก็พอใจ

ด้วยความร่วมมือร่วมใจ ทำให้เราระดมความช่วยเหลือผู้คนได้อย่างรวดเร็ว จนปรากฏเป็นที่อัศจรรย์ต่อสายตาชาวโลก ที่มองดูคนในชาติของเราด้วยความทึ่ง ที่สามารถให้ความช่วยเหลือให้กับผู้ประสพภัยอย่างฉับพลันทันที โดยไม่เลือกว่าเขาจะเป็นคนเชื้อชาติหรือภาษาใด ซึ่งก่อให้เกิดความประทับใจให้กับคนต่างชาติ แต่ที่คนต่างแดนไม่ทราบก็คือสิ่งที่ทำให้คนไทยจัดการปัญหาให้ลุงล่วงได้นั้น

เป็นเพราะความเมตตา...ซึ่งเป็นพื้นฐานของคนในชาติเราแท้ๆ!

อีกไม่กี่วันคริสต์มาสก็จะมาถึงอีกครั้ง และจะครบรอบปีมหาภัยคลื่นยักษ์สึนามิ ผมอยากจะเห็นภาพชาวต่างประเทศที่เคยประสพเหตุการณ์ร้าย แต่ได้รับการปลอบประโลมด้วยน้ำใจของคนไทย จะกลับมาเยือนคนบ้านเราเพื่อสานสัมพันธ์และความเป็นมิตร ระหว่างผู้ผ่านวันเวลาแห่งความทุกข์ยากมาด้วยกัน ซึ่งทราบว่าผู้สื่อข่าวต่างประเทศและผู้รายงานข่าวจากสถานีโทรทัศน์ระดับโลกจำนวนมาก จะแห่แหนกันเข้ามาในบ้านเมืองของเราด้วย เป็นโอกาสงามที่จะทำให้ผู้คนทั่วโลกรู้จักประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

รัฐบาลควรถือโอกาสนี้ ประชาสัมพันธ์ให้คนต่างด้าวท้าวต่างแดนที่เข้ามาในบ้านเรา ว่า ปีหน้าขอให้เข้ามาประเทศไทย เพราะเราจะฉลองพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี อย่าทิ้งโอกาสดีไปเสียอีก

ผมเคยพูดถึงใครหนังสือเด่น และเป็นนวนิยายที่ถูกนำไปสร้างทั้งเป็นละครและภาพยนตร์ของ Charles Dickens เรื่อง A Christmas Carol และเล่าว่า
อีตา Scrooge นายจ้างผู้โหดร้าย ขี้เหนียว ไม่ยอมให้ลูกจ้างหยุดงานแม้ในวันคริสต์มาส ต่อมาได้พบความมหัศจรรย์ของวันคริสต์มาส จึงได้กลายเป็นคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับผู้อื่น ผมจึงอยากให้เราสอนเด็กโดยชี้ให้เห็นว่า

วันคริสต์มาสนั้นเป็นวันแห่งความเมตตา ความรัก ที่เราแบ่งปันของขวัญให้กับผู้อื่น ที่ยังขาดแคลนและต้องการความช่วยเหลือ โดยถือว่าเขาเหล่านั้นเป็นเพื่อนร่วมชาติ ร่วมมาตุภูมิเดียวกัน

ผมอยากเห็นคนไทยถือเอาวันคริสต์มาส เป็นอีกวันหนึ่งที่คนไทยเราจะส่งความรักและความเอื้ออาทร ตลอดจน สันติสุขและความสงบทางใจ ให้แก่เพื่อนร่วมแผ่นดินของเรา

ความเมตตาของคนนั้น เป็นเรื่องของคนที่มีหัวใจอันประเสริฐ สำหรับคริสต์มาสปีนี้ มีเรื่องที่ผมประทับใจมาก ขอนำมาเล่าถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกัน ดังนี้

คืนหนึ่งในศตวรรษที่ ๖๐ ท่ามกลางสายฝนเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว บนเส้นทางหลวงอาลาบามา สหรัฐอเมริกา สุภาพสตรีอัฟริกัน-อเมริกันพยายามประคองรถของผ่านสายฝน แต่เธอไม่ประสพความสำเร็จ เพราะรถเสียหลักตกลงข้างถนน

คุณผู้หญิงคนนั้นออกมายืนอย่างเดียวดาย ท่ามกลางสายฝนแรงจนเธอหนาวสะท้าน แต่มีแสงไฟของรถผ่านมา เธอตัดสินใจโบกรถคันนั้น ปรากฏว่าชายหนุ่มผิวขาวได้หยุดรถรับเธอ สิ่งที่เหลือเชื่อก็ปรากฏว่าเขาได้หยุดช่วยเหลือเธอ ทั้งๆที่อาลาบามาในยุคนั้นมีชื่อในเรื่องการเหยียดผิว แต่พ่อหนุ่มไม่ได้ใส่ใจในเรื่องกฎเกณฑ์ดังกล่าว กลับช่วยเหลือเธอในยามยาก และส่งเธอขึ้นรถแท็กซี่ไปยังจุดหมายที่ต้องการ สุภาพสตรีสูงอายุไม่ลืมกล่าวคำขอบคุณหนุ่มน้อยนิสัยงามคนนั้น และจดที่อยู่ของเขาเอาไว้ด้วย ก่อนที่เธอจะนั่งรถจากไป

คืนหนึ่ง เวลา ๒๓.๓๐ น. ราวเจ็ดวันหลังจากเหตุการณ์นั้น ขณะที่ชายหนุ่มผิวขาวจิตใจดีคนนั้นอยู่ในบ้าน มีเสียงเคาะประตู เมื่อเดินไปเปิด เขาประหลาดใจที่เห็นพนักงานส่งสินค้าขนโทรทัศน์จอยักษ์ใหม่เอี่ยมเข้ามาบ้าน พร้อมกับยื่นจดหมายให้
หนุ่มน้อยคนนั้นเปิดจดหมายออกอ่าน และได้พบข้อความดังต่อไปนี้


ขอบคุณยิ่ง สำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืนนั้น
ฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น กลับชะเอากำลังใจของฉันไปด้วย
แต่เมื่อคุณผ่านมาและเป็นเพราะคุณ ฉันจึงสามารถไปทันดูใจสามีที่กำลังจะเสียชีวิต ทันเวลาก่อนที่เขาจะสิ้นลมพอดี


ขอพระเจ้าอวยพรคุณ สำหรับการช่วยฉัน และการช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ

ด้วยความจริงใจ
มิสซิส แนท คิงโคล

Nat ‘King’ Cole นั้นเป็นนักร้องและนักเปียโนที่ยิ่งใหญ่ แต่ในชีวิตจริงนั้น ได้รับความเจ็บช้ำเรื่องการเหยียดผิวหลายต่อหลายครั้ง ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. ๑๙๖๕ นานถึงสี่ทศวรรษเข้าไปแล้ว แต่เสียงเพลงชุด“The Christmas Song” ที่ประทับใจยังคงอยู่ให้ผู้คนในโลกนี้ได้ฟัง และระลึกถึงศิลปินผิวสีผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ตลอดกาล

ฟังเพลงแล้วมองแสงเทียน ที่ประดับและส่งประกายระยิบระยับบนต้นคริสต์มาส ผมมีความรู้สึกว่า แสงนั้นน่าจะเป็นแสงส่องใจให้พลเมืองของโลกให้สว่างไสว ด้วยความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงให้กำเนิดมาร่วมทุกข์สุขกันโลกใบนี้ และเราทั้งปวงพึงมุ่งทำความดีหรือบุญกุศล เพื่อให้โลกนี้มีความสงบเย็นทั่วกัน

คริสต์มาสนั้น นอกจากจะนำมาซึ่งความแจ่มใส ร่าเริง และสดชื่นแล้ว น่าจะเป็นห้วงระยะเวลาแห่งความรัก เมตตา และความเอื้ออาทร สำหรับคนบนพื้นพิภพ ที่พึงมีต่อกันใน
เทศกาลแห่งความสุขนี้

เพลง White Christmas ของ Irving Berlin ที่แต่งเอาไว้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ (ปี ๑๙๔๒) กล่าวกันว่า เป็นเพลงคริสต์มาสที่ไพเราะที่สุด และแผ่นเสียงเพลงนี้ ก็จำหน่ายได้มากที่สุดในโลกคือกว่า ๒๕ ล้านแผ่น
เมื่อเทศกาลแห่งความสุข สดชื่น แจ่มใส และความดีงามทั้งปวง กำลังจะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ผมขอถือโอกาสตัดเอาท่อนท้ายของเพลงอมตะนี้ นำมาเป็นคำอำนวยอวยพร สำหรับให้ผู้อ่านที่เคารพรักทุกท่าน ว่า


May your days be merry and bright
And may all your Christmases be white

Merry Christmas ครับ !

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

                                             ............................
กำลังโหลดความคิดเห็น