เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว นั่งตรวจข่าวหนังสือพิมพ์ มีคอลัมน์ดูโชคชะตาราศีที่ผมชอบคือคุณหมอไพศาล แห่งหนังสือพิมพ์ คม-ชัด-ลึก สำหรับฉบับอื่นนั้น ก็ได้ดูคอลัมน์ทำนายโชคชะตาอยู่เหมือนกัน แต่เห็นว่าไม่ค่อยตรง บางฉบับไม่อ่านเลย เพราะไม่ว่าจะดูเมื่อไหร่ ก็ทำนายทุกราศีคล้ายกัน คือซวยตลอดปีตลอดชาติ
อ่านคำทำนายของคุณหมอไพศาล ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ประจำวันพุธที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ท่านทำนายทายว่า
“คุณจะได้สิ่งที่มีเกียรติ ที่ไม่คาดฝันจากผลงานที่คุณทำ อย่าหูเบาเชื่อคนง่าย ใครจะมายกยอปอปั้นว่าโหงวเฮ้งดี เพราะจะทำให้คุณเสียเงิน ตลาดหุ้น ยังไม่ดี ควรชะลอการลงทุนไปก่อน ที่อยู่กันมานานจะมีเรื่องผิดใจเพราะความหึง”
เลยมีความตั้งใจเอาไว้ว่า ต้องเขียนเรื่อง ‘โหงวเฮ้ง’ สักวัน จึงเป็นที่มาของเรื่องที่จะกล่าวถึงกันในวันนี้
โหงวเฮ้งนั้น สืบมาจากความเชื่อของคนจันแต่โบราณ เป็นแนวความคิดที่เป็นนามธรรม ที่ฝังรากลึกมาอย่างยาวนานของคนจีน คือแนวความคิดเกี่ยวกับ “หยิน-หยาง” และ “โหงวเฮ้ง”ซึ่งเป็นตำราการทำนายนรลักษณ์ของจีน ที่สืบเนื่องมาช้านาน ด้วยอิทธิพลของลัทธิขงจื๊อและความเชื่อในเรื่องธาตุสำคัญ ๕ ประการที่เอื้อกัน
การทำนายลักษณะบุคคล หรือที่เรียกกันว่า “การทำนายนรลักษณ์” นั้น ในหมู่ชนชาติตะวันออกนั้นดูจะมีอิทธิพลมาก เมื่อพระพุทธองค์ประสูติแล้ว ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะได้ประกอบพระราชพิธีมงคลเฉลิมพระนามพระราชโอรส ว่า “สิทธัตถกุมาร” ในพระราชพิธีนี้ได้เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คน เข้ามาฉันอาหารในพระราชวัง และโปรดให้มีการทำนายพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะตามธรรมเนียมด้วย คณะพราหมณ์เหล่านั้นได้คัดกันเองเหลือ ๘ คนคือ
๑.รามพราหมณ์ ๒.ลักษณะพราหมณ์ ๓. ยัญญพราหมณ์ ๔.ธุชพราหมณ์ ๕. โภชพราหมณ์ ๖.สุทัตตพราหมณ์ ๗. สุยามพราหมณ์ ๘. โกณฑัญญพราหมณ์ ให้ทำนายพระโอรส พราหมณ์ทั้ง ๗ พยากรณ์เมื่อตรวจดูพระลักษณะถี่ถ้วนแล้ว ได้ร่วมกันทำนายพระลักษณะว่ามีคติเป็น ๒ อย่าง คือ
ถ้าพระกุมารครองราชสมบัติ จักได้เป็นพระจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของชมพูทวีป แต่หากว่าออกผนวชจะได้เป็นพระศาสดาเอกของโลก สั่งสอนเวไนยสัตว์สืบไป คงมีแต่เพียงพราหมณ์หนุ่มนามว่า โกณฑัญญะ เท่านั้นที่กล้าประกาศชัดแจ้งว่า
เจ้าชายน้อยจะออกผนวชแน่นอน และจักได้เป็นพระศาสดาเอกของโลกอย่างแน่นอน จึงเตรียมตัวเพื่อออกบวชตามปรนนิบัติดูแล ซึ่งต่อมากลายมาเป็นหัวหน้าปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ
ท่านที่ติดตามกาแฟขม...ขนมหวานมาตลอด คงพอจะเห็นได้ว่าผมแทบไม่ได้ใส่ใจในเรื่องโหราศาสตร์ หากมักจะพูดถึงในแง่สนุกสนาน ทั้งๆที่ตัวเองเคยมีโอกาสจะเรียนวิชานี้ เพราะตอนออกเป็นนายตำรวจใหม่ๆ มีผู้ใหญ่กรุณาจะสอนให้โดยไม่คิดค่าตอบแทน แต่ก็แคล้วคลาดมีอันไม่ได้เรียน พอไปศึกษาต่างประเทศกลับมาก็ออกไปเป็นนายตำรวจอีสาน ก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีก
ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับโหงวเฮ้งเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตเข้าครั้งหนึ่งจนได้
ตอนที่เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจต่างจังหวัด มีซินแสคนหนึ่งขึ้นมาบนโรงพัก ตำรวจบอกว่าคนนี้ดูโหงวเฮ้งเก่ง เลยเรียกเข้ามาในห้องทำงาน ซินแสที่ดูเหมือนอาแปะแก่ๆแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบร้อย ท่าทางดี มองดูหน้าผมและดูไปจนทั่วตัว แล้วเอื้อนเอ่ยถ้อยคำทำนายว่า
“ลื้อมีจุดเด่นอยู่ที่ตา...” แกพูดแล้วหยุดพิจารณาไปรอบตัวอีกครั้ง จนผมกลั้นใจอย่างอึดอัด รอว่าแกจะทายต่ออย่างไร ก่อนที่แกจะเอื้อนเอ่ยออกมาว่า
“...ตาลื้อเหมือน...(หยุดนิด)...เหมือน อีแร้ง!”
ว้าว...ฟังแล้วฉุนกึก ขึ้นมาทันที
ซินแสอธิบายว่า “อย่าเพิ่งโกรธ...อั๊วหมายความว่า อีแร้งนั้นบินสูง แต่สามารถมองเห็นเหยื่อข้างล่างอย่างหมาเน่า แล้วบินลงมาจิกกินได้ทันที...” หยุดพิจารณาด้วยการจ้องดวงตาผมอีก
“ลื้อจะเห็นจุดบกพร่องของงานที่คนอื่นทำได้เร็ว และถูกต้องด้วย อั๊วทายแค่นี้แหละ” พูดจบแกเดินดุ่มๆลงจากโรงพักของผม สตางค์ไม่เอาด้วย
ทุกวันนี้ ผมยังระลึกถึงคำทำนายนี้อยู่เสมอ เพราะสังเกตดูว่าน่าจะจริง เพราะในชีวิตได้ทำงานเกี่ยวข้องกับการสอบสวน ที่ต้องเกี่ยวเนื่องกับหลักฐานที่เป็นพยานเอกสารจำนวนมาก ซึ่งตัวเองมักจะเห็นข้อบกพร่อง หรือความผิดเพี้ยนไปของเอกสาร ที่คนอื่นมองข้ามได้เร็ว เหมือนจุดบกพร่องนั้น ลอยเด่นขึ้นมาให้เห็นทันทีทันใด เป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่ได้อวดอ้าง จนมีคนเขียนถึงเรื่องการตรวจสอบเอกสารของผม เมื่อมีโอกาสจะได้นำมาให้ท่านได้อ่านกัน และเมื่อมีความจัดเจนมากขึ้น ก็ได้มีโอกาสบรรยายในเรื่องราวเหล่านี้ ให้ฝ่ายตรวจสอบของธนาคารพานิชย์ หลักสูตรผู้บริหารธนาคาร รวมทั้งสถาบันต่างๆด้วย
ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะมีซินแสทักมาก่อน ก็ไม่ได้ใส่ใจในวิชาโหรราศาสตร์จีนคือโหงวเฮ้ง หรือตำรานรลักษณ์มากอย่างที่ควรจะทำ แต่ผมรู้จักคนที่เรียนเรื่องนี้อย่างจริงจัง สามารถใช้วิชานี้หากินได้เงินเยอะมากกว่าที่ผู้คนคาดคิดด้วยซ้ำไป แถมยังไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย
เมื่อกรมตำรวจตั้งหน่วยตำรวจตระเวนชายแดนใหม่ๆ ได้มีนายทหารท่านหนึ่งโอนมารับราชการเป็นตำรวจตระเวนชายแดน ต่อมาได้โยกย้ายมาอยู่ที่จเรตำรวจท่านไปตรวจโรงพักที่ผมดูแลรับผิดชอบอยู่ ได้สนทนาก็ชอบอุปนิสัย อีกทั้งท่านยังเป็นรุ่นพี่ของพ่อผมในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าอีกด้วย ท่านมีลักษณะพิเศษคือจมูกกว้างใหญ่ คล้ายสิงโตหน้าวัดเบญจ ท่านบอกผมว่า
“ใครก็ทำนายผมว่ามีจมูกสิงห์ จะต้องเจริญก้าวหน้า แต่ผมก็ไม่เจริญอะไรนักหนาแค่ปานกลางเท่านั้น ตอนหลังใครมาพูดชมอีก ก็บอกเขาไปว่า ‘ขอบคุณครับที่ชม จมูกผมเหมือนสิงโตก็จริง แต่เวลารับประทาน อาหารที่กินเข้าไป ก็ไม่ดีกว่าหมาเท่าไหร่นัก !’ ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะตัวผมเองกินง่ายอยู่ง่าย”
ผมเห็นจริงตามที่ท่านพูด เพราะนอกจากตัวท่านไม่ใส่ใจในการกินอยู่ แม้จะอยู่ในตำแหน่งที่สูง แต่การรับประทานอาหารนั้น ไม่ได้เลือกว่าจะต้องกินอยู่อย่างหรูหรา ระหว่างที่ท่านตรวจงานอยู่หลายวันในจังหวัด ต้องพักอยู่ที่ท้องที่ของผม ในฐานะหัวหน้าโรงพักต้องพาไปรับประทานอาหารแทบทุกวันตอนเย็น ได้เห็นความซื่อสัตย์ เรียบง่าย และตรงไปตรงมาของนายตำรวจอาคันตุกะท่านนี้ ที่ไม่ได้สร้างความหนักใจให้กับผมซึ่งเป็นเจ้าของท้องที่เลยแม้แต่น้อย ให้ประทับใจอย่างไม่เคยลืมเลย
การดูลักษณะบุคคลนั้น น่าจะมีกันทุกชาติ ในประวัติศาสตร์ชาติเราที่เห็นเด่นชัดที่สุด ว่าการทำนายลักษณะบุคคลได้เข้ามีส่วนสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติ คือ ศึกอะแซหวุ่นกี้เข้าตีเมืองพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๘ หรือเมื่อ ๒๔๐ ปีก่อนนั้น ถือว่าเป็นการประลองกำลังฝีมือระหว่างขุนผู้คร่ำศึกฝ่ายพม่า กับขุนพลหนุ่มฉกรรจ์ของฝ่ายไทยคือ เจ้าพระยาจักรี แม่ทัพคู่พระทัยของพระเจ้าตากสิน ซึ่งเป็นสงครามครั้งที่ ๙ ใน ๑๐ ครั้งของแผ่นดินกรุงธนบุรี เป็นมหายุทธในสายตาของนักประวัติศาสตร์ส่งผลต่ออิสรภาพของความเป็นชาติไทยในปัจจุบัน และสงครามเก้าทัพในแผ่นดินสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พ.ศ. ๒๓๒๘ เป็นสงครามครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายที่พม่ารบกับไทย แล้วพ่ายแพ้อย่างย่อยยับก่อนที่พม่าจะสูญเสียเอกราชให้แก่อังกฤษไปในที่สุด
อะแซหวุ่นกี้ยกทัพเข้ามาทางด่านแม่ละเมา เมืองตาก จะพุ่งเข้าตีเมืองพิษณุโลก เมืองสำคัญฝ่ายเหนือเป็นเมืองแรก เพื่อขยายผลที่จะเข้าตีกรุงธนบุรีต่อไป ขณะที่ขุนพลพม่ามาถึงเมืองตากนั้น เจ้าพระยาสุรสีห์เจ้าเมืองพิษณุโลกยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ แม่ทัพเฒ่าหายกกำลังเข้าตีในทันที หากได้กล่าวคำสำคัญว่า
“เจ้าของเขาไม่อยู่ อย่าเพิ่งไปเหยียบเมืองพิษณุโลกเลย”
เมื่อเจ้าพระยาจักรีกับเจ้าพระยาสุรสีห์ ๒ พี่น้อง ได้ข่าวศึกก็รีบยกทัพกลับเมืองพิษณุโลกเพื่อรับทัพ อะแซหวุ่นกี้คุมพล ๓๐,๐๐๐ คน ที่เดินทัพเข้าตั้งค่ายรายล้อมเมืองพิษณุโลก
พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ ความว่า
“...ให้ตั้งค่ายรายล้อมอยู่ห่างเมืองทั้งสองฟากเจ้าพระยาก็เกณฑ์พลทหารขึ้นประจำรักษาหน้าที่เชิงเทินปราการรอบเมืองป้องกันเมืองเป็นสามารถ ให้ทำสะพานเชือกข้ามแม่น้ำกลางเมืองสามแห่ง ...อะแซหวุ่นกี้ก็ยกพลทหารออกเลียบค่ายอีกเหมือนวันก่อน เจ้าพระยาสุรสีห์ขึ้นดูบนเชิงเทินแล้วให้พลทหารออกโจมตีก็พ่ายถอยเข้าเมืองอีก เจ้าพระยาจักรีจึงว่า ฝีมือทหารเจ้าเป็นแต่ทัพหัวเมืองซึ่งจะต่อรบกับฝีมือทัพเสนาบดีนั้นไม่ได้ พรุ่งนี้จะออกตีเอง
ครั้นรุ่งขึ้นเป็นคำรบสาม อะแซหวุ่นกี้ก็ยกออกเลียบค่ายอีก เจ้าพระยาจักรีก็ยกพลทหารออกจากเมืองเข้าโจมตีทัพอะแซหวุ่นกี้แตกถอยเข้าค่าย และอะแซหวุ่นกี้ยกออกเลียลค่ายดังนั้นทุกวัน เจ้าพระยาจักรีก็ออกรบทุกวัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะถึงเก้าวันสิบวัน อะแซหวุ่นกี้จึงให้ล่ามร้องบอกว่า
เพลาพรุ่งนี้เราอย่ารบกันเลย ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกแม่ทัพออกมาเราจะขอดูตัว
ครั้นรุ่งขึ้นเจ้าพระยาจักรีขี่ม้ากั้นสัปทนยกพลทหารออกไปยืนม้าให้อะแซหวุ่นกี้ดูตัว ...แล้วอะแซหวุ่นกี้ก็พิจารณาดูรูปลักษณะเจ้าพระยาจักรี แล้วสรรเสริญว่า รูปก็งาม ฝีมือก็เข้มแข็ง สู้รบกับเราผู้เป็นเฒ่าได้ จงอุตส่าห์รักษาตัวไว้ ภายหน้าจะได้เป็นกษัตริย์แน่แท้ ...แล้วต่างคนก็กลับไปเมืองไปค่าย...”
เจ้าพระยาจักรีต่อมาได้เป็นพระมหากษัตริย์ คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระราชวงศ์จักรีตามคำทำนายของขุนพลผู้เฒ่าอะแซหวุ่นกี้
ผมเคยได้ยินเรื่องโหงวเฮ้งที่ประทับใจมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม เพิ่งมีโอกาสเล่าให้พรรคพวกฟังที่เมืองจีนเมื่อเร็วๆนี้ เหตุที่เล่าเพราะวันนั้นสนทนากันถึงเรื่องโหงวเฮ้ง วันนี้ขอนำมาขยายให้ท่านผู้อ่านฟัง
ส่วนท่านจะเชื่อหรือไม่ ขอได้โปรดใช้วิจารณญาณกันเอาเองเถอะครับ เรื่องมีอยู่ว่า
หลายร้อยปีก่อนในแผ่นดินจีน มีอาจารย์ผู้รอบรู้และเชี่ยวชาญในวิชาโหงวเฮ้งเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศ จนผู้คนรอนแรมมายังสำนักอาจารย์ผู้นี้ เพื่อให้ทำนายทายทักลักษณะของตนกันมิได้ขาด
วันหนึ่งมีชายอัปลักษณ์ สวมเสื้อผ้าเก่าขาด เดินเข้ามาในสำนักของอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง แล้วเอ่ยปากขอให้ทำนายลักษณะของตน
ท่านอาจารย์หันไปมองชายผู้นี้เพียงแวบเดียวเท่านั้น ก็เอื้อนเอ่ยคำทำนายออกมาว่า
“อย่างเอ็งน่ะ เป็นอะไรไม่ได้หรอก นอกจากขอทาน อย่าได้คิดทะเยอทะยานเป็นอย่างอื่นเลย”
พูดจบก็หัวเราะอย่างครื้นเครง
เท่านั้นเองแหละครับ กองทหารองครักษ์พร้อมศาสตราวุธที่ซุ่มอยู่ด้านนอก ก็พุ่งพรวดออกมาเป็นจำนวนมาก พร้อมกับจับอาจารย์กดลงจนศีรษะโขกกับพื้น แล้วหัวหน้าก็ตวาดเสียงลั่นว่า
“จงถวายคำนับฮ่องเต้เดี๋ยวนี้ ไอ้อาจารย์หน้าโง่ มีตาหามีแววไม่!”
อาจารย์ผู้ระบือนามถึงกับตะลึง ตาเหลือกลานด้วยความตกใจเป็นกำลัง ภายหลังชายในชุดขอทานก็แสดงตนว่า พระองค์คือองค์ฮ่องเต้ผู้ปกครองแผ่นดินจีนอันไพศาล ผิดไปจากคำทำนายของอาจารย์เหมือนฟ้ากับเหว แต่ฮ่องเต้ก็มิได้ทรงถือโทษแต่อย่างใด
ท่านอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางศาสตร์โหงวเฮ้ง จึงทูลขอตามเสด็จไปอยู่ในพระราชวังด้วย จะได้มีโอกาสและเวลา ตรวจดูพระลักษณะของฮ่องเต้ได้ชัดเจน จะได้นำมาตรวจสอบกับตำราของตนที่มีอยู่ว่า มีที่ผิดหรือบกพร่องตรงไหน ซึ่งฮ่องเต้ก็ประทานอนุญาต
ท่านอาจารย์ได้เข้าไปใช้ชีวิตในวังหลวง ได้สังเกตพระกิริยาอาการของฮ่องเต้ ตั้งแต่การประทับนั่ง การตรัสกับบรรดาข้าราชบริพาร การสั่งข้อราชการ การเสวย จิปาถะเรื่อยไปจนถึงการบรรทมของพระองค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ตรงข้ามกับที่ตำราโหงวเฮ้งเสียทั้งสิ้น จนอาจารย์อยากจะฉีกตำราเก่าแก่การทำนายลักษณะบุคคล ที่ตนครอบครองอยู่ แล้วเอาไปเผาทิ้งทิ้งเสียรอมร่ออยู่แล้ว แต่แล้ววันหนึ่งท่านอาจารย์ก็ตัดสินใจใช้ทำตามตำราขั้นสุดท้าย คือ
เฝ้าดูฮ่องเต้ทรงพระบังคนหนัก หรือถ่ายทุกข์นั่นเอง !
ขณะทีฮ่องเต้ทรงพระบังคนหนักอยู่นั้น ท่านอาจารย์ได้จับจ้องเขม็งตามองไม่กระพริบ สังเกตเห็นพระอุจจาระของฮ่องเต้ เคลื่อนออกจากรูพระทวาร มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมเท่ากันทุกด้าน แต่ยาวแบบท่อนเหล็กวิลาศ หรือแท่งชอคโกแลตต์รูปทรงเดียวกัน สีสันสวยสดงดงาม
หาได้เป็นลักษณะกลมยาว ตามร่องของลำไส้อย่างคนธรรมดาสามัญไม่
เท่านั้นแหละครับ...อาจารย์โหงวเฮ้งดีดมือเปาะ ร้อง “ฮ้อ ฮ้อ ฮ้อ!” ออกมาสามครั้งเสียงลั่นห้องทรงพระบังคน
ท่านอาจารย์ได้กราบทูลฮ่องเต้ว่า
“การที่พระองค์ทรงพระบังคน ขับถ่ายออกมาเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนท่อยาวสีสันงดงามเยี่ยงนี้ ตำราโหงวเฮ้งที่ข้าพระองค์ได้สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า...พระองค์จะต้องเป็นเอกอัครมหาบุรุษหนึ่งเดียวในพิภพนี้ อย่างแน่แท้ ต้องขอพระราชทานอภัยโทษ ที่ชั้นต้นมิได้ตรวจดูพระมหาลักษณะนี้ให้รอบคอบเสียก่อน จึงได้ทำนายออกไปอย่างผิดพลาด... ข้าพระองค์สมควรตาย...สมควรตาย !”
เรื่องนี้จบอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง และยังได้สอนให้เรารู้ว่า
การที่เราจะตัดสินคนนั้น ควรจะได้รับข้อมูลในทุกๆด้านมาประกอบ ก่อนวินิจฉัยหรือตัดสินใจลงไปนั่นเอง
---จบ---
ก่อนจบคอลัมน์ตามเรื่องอาจารย์โหงวเฮ้ง ขอเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังเรื่องการตั้งวงสนทนากับเพื่อนฝูง ได้คุยถึงเรื่อง ‘ระเบิดขี้’ ที่กระหน่ำอาคาร“ผู้จัดการ” ต้นเดือนนี้หยกๆ
เมื่อพูดคุยกันถึง ‘เรื่องขี้ๆ’ ผมก็ได้เล่าเรื่อง “อาจารย์โหงวเฮ้ง” ที่ได้ถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านวันนี้ ให้พรรคพวกฟังด้วย พอเล่าจบเพื่อนของผมที่นั่งคุยอยู่ด้วยกัน ดันถามสวนออกมา ว่า
“ถ้านักการเมืองคนไหน ไม่ได้ขับถ่ายออกมาเป็น ‘สี่เหลี่ยม’ อย่างที่เอ็งเล่า แต่ดันขี้ออกมาตั้ง ‘ห้าเหลี่ยม’ ตำราโหงวเฮ้งเขาทำนายว่ายังไง...พอจะรู้บ้างไหมวะ !?”
เออ...ไอ้นี่มันเข้าใจถามแฮะ...แต่มันถามผิดคน เพราะผมเองก็ไม่ใช่ ‘อาจารย์โหงวเฮ้ง’ ซะด้วย
ท่านผู้อ่านที่มีความรู้เรื่องนี้...กรุณาตอบแทนผมทีเถอะครับ !!
......................