เช้าวันนี้ ... จิบกาแฟขมแล้ว คิดถึงเรื่องที่ได้คุยกับเพื่อนรุ่นน้อง ซึ่งมารับประทานอาหารกลางวันกันเมื่อวานนี้ เขาเพิ่งมีงานฉลองวันเกิดพร้อมการอำลาชีวิตราชการไปด้วย ซึ่งได้จัดเป็นงานใหญ่ทีเดียว ด้วยว่าคนจัดงานเป็นผู้ที่มีคนนับหน้าถือตา และเป็นผู้บังคับบัญชาที่มีคุณธรรมจึงมีผู้ไปร่วมงานมากพอสมควร
คนเรานั้นเมื่ออายุถึง ๖๐ ปี ก็จะต้องมีงานใหญ่ ที่เราเรียกเป็นภาษาจีนว่า “แซยิด” หากรับราชการอยู่ ก็จะต้องออกจากตำแหน่งหน้าที่กลับมาอยู่บ้าน เพื่อรับบำเหน็จบำนาญ ตื่นเช้าก็ไม่ต้องไปทำงานอีก ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ไม่ต้องไปมีทุกข์เพราะหน้าที่งานอีกต่อไป
ตำแหน่งทางราชการนั้น มีกำหนดระยะเวลาว่าจะต้องพ้นเมื่อไหร่ ส่วนมากก็มีชีวิตราชการระหว่าง ๓๐-๔๐ ปีโดยประมาณ แต่ประเทศที่มีระบอบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุขนั้น พระองค์ไม่สามารถออกมาพักผ่อนได้ หากต้องทรงงานต่อไป เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร อำนวยความสุขความร่มเย็นให้กับราษฎรในประเทศ
เมื่อพระมหากษัตริย์ที่เป็นสตรี อย่าง Queen Victoria แห่งอังกฤษที่รัชสมัยของพระองค์ พระราชอาณาจักรได้แผ่ออกไปกว้างใหญ่ไพศาลด้วยพระบารมี กลายเป็นจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่มีวันตกดิน เมื่อทรงครองราชย์มาครบ ๖๐ ปี ก็มีการจัดพระราชพิธีฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เรียกว่า Diamond Jubilee ซึ่งมีบันทึกเอาไว้ว่า
“เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ค.ศ.๑๘๙๖ สมเด็จพระบรมราชินีนาถวิคตอเรียทรงเป็น พระมหากษัตริย์อังกฤษ ที่ครองราชย์ยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ของประเทศอันยิ่งใหญ่นี้ โดยได้ทรงครองราชย์ผ่านเวลาอันยาวนานมาถึง ๕๙ ปี กับอีก ๙๖ วัน ซึ่งสมเด็จพระอัยกาของพระองค์ คือ พระเจ้าจอร์จที่ ๓ ได้เคยทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดมาก่อนหน้า รัชสมัยของพระองค์
ครั้นถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ.๑๘๙๗ ประชาชนทั่วสหราชอาณาจักร ได้พร้อมใจกันเฉลิมฉลองใหญ่ในพระราชอาณาจักร สมเด็จพระบรมราชินีนาถวิคตอเรียได้เสด็จพระราชดำเนินโดยพระราชยานรถม้าพระที่นั่ง ไปยังมหาวิหารเซ็นต์พอล ณ.ที่นั้นได้มีพระราชพิธีตามขนบธรรมเนียมคริสเตียน โดยมีการสวดมนตร์และร้องเพลงสรรเสริญพระเป็นเจ้า ด้วยว่าสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงไม่สะดวกในการเสด็จพระราชดำเนินขึ้นบันไดดมหาวิหาร
สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระราชนิพนธ์ความในพระราชหฤทัย ถึงวาระแห่งการเฉลิมฉลองครั้งนี้ว่า
“ไม่มีใครแม้แต่ตัวของข้าพเจ้า ที่คาดว่าจะได้เห็นภาพตนเอง ผ่านเส้นทางยาวหกไมล์ตามระยะของถนน โดยมีฝูงชนที่ตั้งแถวยืนถวายความเคารพ ด้วยกริยาสงบนิ่งอย่างอธิบายไม่ถูกทีเดียว ความกระตือรือร้นของพวกเขาช่างน่ามหัศจรรย์และจับใจข้าพเจ้าอย่างลึกซึ้ง เสียงโห่ร้องเชียร์ค่อยจางลงจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่สีหน้าของราษฎรเหล่านั้นดูเหมือนว่า จะอิ่มอาบไปด้วยความสุขอย่างเต็มเปี่ยม”
งานฉลอง Diamond Jubilee ครั้งนั้นยิ่งใหญ่ ดำเนินการต่อเป็นระยะเวลาหลายวัน ประชาชนต่างปลื้มปิติยินดีทั่วหน้า มีการทำตราสัญลักษณ์ ตราไปรษณียากร เหรียญกษาปณ์ ในวาระสำคัญของสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย ออกมาเป็นจำนวนมาก อย่างที่ท่านเห็นในภาพที่ผมได้นำมาประกอบในคอลัมน์นี้
เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๘ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ ท่านผู้อ่านสังเกตหรือเปล่าครับว่า ทางผู้ประกาศอ่านประกาศพระบรมราชโองการว่า
“มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม....” และอ่านลงท้ายว่า “เป็นปีที่ ๖๐ ในรัชกาลปัจจุบัน....”
ครับ...ปีที่ ๖๐ จริงๆ เพราะ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๘ เป็นวันขึ้นต้นปีใหม่ที่ผ่านมาเกือบสิบเอ็ดเดือน เป็นปีที่หกสิบในรัชกาลปัจจุบัน (ตามปฏิทินหลวง)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้น ได้ทรงเป็นหลักชัยของชาวไทยมายืนยาวมาหกทศวรรษแล้ว !
กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๖๑ “O..Christmas Tree กับ Merry Christmas เรื่องที่ชาวไทยควรอ่าน !” ซึ่งผมเขียนเอาไว้เมื่อใกล้จะสิ้นปี ๒๕๔๗ อันเป็นปีที่ ๕๙ ในรัชกาลปัจจุบัน กำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ ๖๐ โดยเอาไว้ตรงหมายเหตุท้ายคอลัมน์อย่างนี้ครับ
....อนึ่ง ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่กำลังจะมาถึง เป็นวาระสำคัญสำหรับปวงชนชาวไทย เพราะเป็นปีที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงครองราชย์มายาวนาน จะครบ ๖๐ ปี ซึ่งรัฐบาลและพสกนิกรชาวไทย จะเฉลิมฉลองใหญ่ยิ่งทั้งประเทศตั้งแต่ต้นปี
หากเป็นฝรั่ง เขาเรียกว่า Diamond Jubilee ผมจะเขียนถึงวาระแห่งความเป็นมิ่งมหามงคลนี้ แต่ยังไม่ทราบว่า จะใช้คำในภาษาไทยอย่างไรดี แต่คิดเอาไว้สองชื่อคือ
“เพชราภิเษก” และ “พัชราภิเษก”
คำไหนที่ท่านผู้อ่านว่า จะฟังไพเราะกว่ากัน ?
ไม่ต้องโหวตทาง SMS ให้เสียเงิน แต่ขอให้โพสต์กันเข้ามาเถอะ ครับ !
เป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังรัฐบาลว่า ต้องเตรียมการให้พร้อมพรักสำหรับงานฉลองครั้งสำคัญ
ครั้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๘ เยือนมาถึง ได้มีเหตุการณ์สึนามิ ซึ่งทำให้ชาติเราต้องวุ่นวายไปประมาณ ๒-๓ เดือน แต่เมื่อผ่านมาจนกระทั่งบัดนี้ ผมยังไม่เห็น ความกระตือรือร้นของรัฐบาลเท่าที่ควร ทั้งในการแจ้งประชาชนถึงหมายกำหนดการต่างๆ การติดป้ายประกาศวันอันเป็นมหามงคลยิ่งนี้ รวมทั้งการเตรียมการ หรือสื่อความไปยังต่างประทศว่า เมืองไทยจะมีการฉลอง Diamond Jubilee ซึ่งเป็นงานใหญ่ในเมืองไทย
คัทเอาท์ใหญ่ๆ ที่บอกกล่าวว่า จะมีพิธีอันยิ่งใหญ่สักป้าย ยังไม่มีให้เห็นกัน !
รัฐบาลอาจบอกว่า จะไปฉลองใหญ่เมื่อทรงครองราชย์ครบ ๖๐ ปี บริบูรณ์ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เพราะรัฐบาลโดยคณะกรรมการอำนวยการ จัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ได้มีมติดังนี้
...กำหนดเขตงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๘ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๙ โดยให้ ชื่อการจัดงาน “การจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี” และใช้ชื่อพระราชพิธี “พระราชพิธี ฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี” ชื่อการจัดงานและชื่อพระราชพิธีภาษาอังกฤษ “The Sixtieth Anniversary Celebration of His Majesty’ s Accession to the Throne”
งานพระราชพิธีฯ ควรเป็นวันครบ ๖๐ ปี บริบูรณ์ (หรือ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙)…
บัดนี้หกทศวรรษใต้ร่มพระบารมี ที่ปวงชนในแผ่นดินทั้งไทยเทศอยู่เย็นเป็นสุข ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ และทรงปฏิบัติตามคำมั่นของพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” สมบูรณ์อย่างยิ่ง เป็นบุญของชาวไทยและผู้ที่ได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในแผ่นดินของพระองค์
ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๙ ที่จะถึงนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จะเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ ๖๐ ปี นานกว่าพระบุรพมหากษัตริย์ไทยในอดีต ทุกพระองค์ จึงเป็นวันมหามงคลยิ่ง อีกทั้งยังเป็นโอกาสดี ที่พวกเราที่เป็นพสกนิกรจะได้แสดงความจงรักภักดี และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงบำเพ็ญประโยชน์ต่อประเทศ และประชาชนชาวไทยทั้งปวงอย่างอเนกอนันต์
จึงขอชักชวนให้พี่น้องเพื่อนร่วมชาติ ได้ร่วมกันตระเตรียมจัดกิจกรรม ใครอยู่ในหน่วยงานใดก็ให้เร่งคิด เร่งทำ โรงเรียน มหาวิทยาลัยต่างๆ ภาคเอกชน องค์กรต่าง บริษัทห้างร้าน ควรจะเริ่มแสดงบทบาทและความคิดริเริ่มของตนออกมา มีการประกวดประขันกัน ประชาสชนควรทำบ้านเรือนให้สะอาดสวยงาม อย่าให้น้อยหน้าชาวอังกฤษที่เขาจัดพระราชพิธี และการฉลอง Diamond Jubilee อย่างใหญ่โต จนบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ ดังที่ผมได้นำมาเสนอกับท่านผู้อ่านในวันนี้
อย่างที่ผมกล่าวเอาไว้ข้างต้นว่า มีความรู้สึกว่ารัฐบาลยังไม่ค่อยตื่นตัว ในการจัดงานฉลองนี้สักเท่าไรนัก ดูยังงกๆเงิ่นๆอยู่ เคยต่อว่าไปแล้วเมื่อตอน ๑๕๐ ปี แห่งพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐบาลชุดที่แล้ว (นายกคนเดียวกัน) มีการจัดงานเฉลิมพระเกียรติก็จริง แต่ดูไม่ยิ่งใหญ่ แม้แต่คัทเอาท์หรือป้ายขนาดใหญ่ ไม่มีให้ประชาชนได้เห็นกัน สถานีโทรทัศน์ก็ไม่ได้เผยแพร่ให้มากเท่าที่ควร สื่อสารมวลชนอื่นพูดถึงงานสำคัญอย่างนี้น้อยกว่าที่คิด แต่มีเอกชนบางรายกลับจัดงานได้ดี เช่น บริษัท โตโยตาประเทศไทย ที่จัดงานคอนเสิรตเทิดพระเกียรติถวาย และรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
ที่ถูกใจมากคือ สายการบินของชาติ คือการบินไทย จำกัด (มหาชน) เขาจัดรายการอาหารพิเศษ ด้วยการนำอาหารไทยซึ่งเป็นหนึ่งในรายการ “พระกระยาหารที่พระองค์ทรงโปรด” มาเสิรฟให้ผู้โดยสารของการบินไทย เช่น แกงเผ็ดเป็ดย่างใส่แอปเปิ้ล ออเดิร์ฟยำปลาดุกฟู แกงคั่วปลาสลิด(อาหารจานหลัก) และสังขยาฟักทอง เขาให้บริการทั้งชั้นธุรกิจและชั้นประหยัดในเส้นทางบินซึ่งพระองค์เคยเสด็จประพาส ๕ ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ เยอรมัน เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี
เห็นว่าเป็นไอเดียกิ๊ปเก๋ ทำให้คนรักการบินไทยอย่างเจ้าของคอลัมน์นี้ ชื่นชอบมาก หวังว่า คงมีรายการพิเศษในวาระสำคัญให้ชื่นชมกันอีก นี่ก็ได้ยินว่าจะมีเมนูอาหาร “วันพ่อ” สำหรับปีนี้ เพื่อบริการกับผู้โดยสารบนเครื่องอีก เป็นความคิดที่น่าชมเชยมาก จึงอยากให้คนไทยช่วยกันใช้บริการของสายการบินของชาติแห่งนี้โดยทั่วกัน
รัฐบาลที่แล้วของนายกคนนี้ จัดงานวันสำคัญครบรอบ ๑๕๐ ปี แห่งพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่เอิกเกริกอย่างที่ผมคิด คือไม่ได้จัดงานใหญ่ไปทั่วทุกจังหวัด และควรเน้นการเผยแพร่พระเกียรติคุณ เข้าไปในสถานศึกษาเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้เยาวชนเราเติบโตขึ้นมาด้วยความสำนึกว่า สมเด็จพระปิยะมหาราช ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่ออาณาประชาราษฎร์เป็นล้นพ้น ทรงนำมาซึ่งความเจริญให้กับสยามประเทศในทุกด้าน
แต่ไม่น่าเชื่อว่า...
ในปีเดียวกันนั้น รัฐบาลชุดที่แล้วให้งบประมาณจัดงาน ครบรอบ ๓๐ ปี ๑๔ ตุลาคม ด้วยเงินงบประมาณ ๓๐ ล้านบาท ฉลองกันใหญ่เอิกเกริกอยู่เพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง แต่รัฐบาลกลับละเลยการเป็นผู้นำ ในการที่จะจัดงานถวายพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงนำชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เป็นที่ยอมรับกันในหมู่นานาอารยะประเทศ
ขอต่อว่ากันตรงๆอย่างนี้แหละ หรือใครจะเถียงว่าไม่จริง ?
มาถึงปีนี้ อย่างที่บอกเอาไว้ว่า กำหนดเขตงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๘ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๙ โดยให้ ชื่อการจัดงาน “การจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี การฉลองเริ่มต้นตั้งแต่ ๑ มกราคมปี พ.ศ.๒๕๔๘ ซึ่งรัฐบาลประกาศออกมาเอง
มาบัดนี้ใครเห็นรัฐบาลขึ้นคัทเอาท์ หรือเผยแพร่พระราชกรณียกิจไปตามโรงเรียนและสถานศึกษาต่างๆบ้างหรือไม่ ? ตอบได้เลยว่าไม่มี
โทรทัศน์ของรัฐและที่ให้เอกชนเช่าทำ ไม่มีแม้แต่ช่องเดียว ที่มีสปอตเกี่ยวกับงานเฉลิมฉลองวโรกาสสำคัญ ของพระผู้สถิตในดวงใจผู้คนในบ้านเมืองนี้
... หรือใครว่าไม่จริงอีก?
หัวหน้ารัฐบาลก็เพิ่งจะมาพูดว่า จะจัดงานเฉลิมฉลองให้ยิ่งใหญ่ ในรายการนายกทักษิณพบประชาชน เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมาหยกๆนี้เอง แต่ก็ยังไม่เห็นการเคลื่อนไหวอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จนจะเข้าปีใหม่แล้ว หมายความว่า
รัฐบาลไม่ได้ทำตามที่ประกาศ คือ จะจัดฉลองกันตั้งแต่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๘ ซึ่งเริ่มปีที่ ๖๐ ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้
ต้องตำหนิกันตรงๆอีกครั้ง อย่าว่าหาเรื่องเลย !
รัฐบาลบอกว่าจะใช้เงิน ๔๐๐ ล้านบาท เพื่อการเฉลิมฉลองวาระสำคัญของชาติ ซึ่งก็ดูไม่มากมายอะไรนัก เพราะจะต้องเฉลี่ยไปเพื่อจัดกิจกรรมใน ๗๕ จังหวัด อยากให้หัวหน้า รัฐบาลปัจจุบัน ลองชำเลืองดูสักหน่อยว่า
รัฐบาลที่แล้วซึ่งมีท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ใช้เงินโฆษณาโครงการ “อีลีทการ์ด” รวมทั้งเผยแพร่ไปยังต่างประเทศด้วย เฉพาะค่าโฆษณาอีลีทการ์ดเฉพาะ CNN เจ้าเดียวก็กดไป ๒๐๐ ล้านบาทแล้ว รวมเบ็ดเสร็จค่าโฆษณา ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการโปรโมทบัตรนี้ เฉียดหรือเกินพันล้านบาทเข้าไปแล้ว เยอะกว่างบประมาณค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลท่านตั้งเอาไว้เพื่อการฉลอง พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี มากมายนัก
เมื่อไม่ประสพความสำเร็จ ในการโปรโมทการ์ดดังที่คาดหวังเอาไว้มากมายว่า จะได้เงินเป็นแสนๆล้าน รัฐบาลก็กระมิดกระเมี้ยนเก็บแอบๆ ซุกๆเอาไว้ ไม่พูดถึงบัตร “อีลีท-อีลวง-อีเลว-การ์ด” นี้อีกต่อไป
เหมือนไม่มีบัตรเฮงซวยใบนี้ เคยโผล่ขึ้นมาในประเทศไทยของเราเลย !
ผมคิดว่าประชาชนไม่ต้องไปคอยรัฐบาลแล้ว ใครคิดอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ดำเนินการได้เลย เพราะงานฉลองที่รัฐบาลประกาศว่า เริ่มมาตั้งแต่ต้นปีนี้จนกำลังจะหมดปีแล้วนั้น บัดนี้ก็ยังไม่มีการขยับเขยื้อนที่เป็นรูปธรรม จะไปคาดหวังหรือคอยอะไรคงไม่ได้อีกแล้ว เพราะมีหลายเรื่องที่ รัฐบาลของคุณทักษิณ ระบุเอาไว้เป็นนโยบายแถลงต่อสภา และเป็นสัญญาประชาคมด้วย เช่นเรื่อง ปราบปรามการคอรัปชั่น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ก็ไม่มีการรณรงค์กันอย่างจริงจัง กว่าจะมาเริ่มประกาศว่าจะดำเนินการ ก็เมื่อใกล้จะสิ้นอายุขัยรัฐบาลชุดก่อนแล้ว
ผมต่อว่าเอาไว้ค่อนข้างแรง ใครอยากทราบลองเข้าไปอ่าน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๔๖ “สปิริตอาจารย์แม่ (รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ) สปิริตนักการเมือง และ Spirit Of Bangkok !” แล้วจะรู้ว่าสิ่งที่ผมบอกนั้น เป็นความจริงทุกประการ
ก็อย่างนี้แหละครับ ข่าวเรื่องราวเกี่ยวกับคอรัปชั่นในแวดวงรัฐบาล จึงได้เผยแพร่ออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า สองหูของประชาชนคนในชาติของเรา ถูกกรอกให้เต็มไปด้วยข่าว
อัปมงคลทั้งน่าเกลียดและน่าชิงชังอย่างยิ่ง เราจึงได้เห็นชัดเจนว่า
บรรดาผู้คนที่เสื่อมศรัทธา และเป็นศัตรูกับรัฐบาลเปิดเผย ทวีจำนวนมากและเข้มแข็งอย่างน่ากลัว เพิ่มขึ้นทุกวัน !
ขอกลับมาพูดถึง เรื่องที่เป็นมงคลยิ่งดีกว่า
ก่อนที่จะถึง พระราชพิธี ฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี นั้น วันที่ ๕ ธันวาคมนี้ เป็นวันมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๗๘ พระชันษา และทรงครองราชย์มายาวนาน เป็นปีที่ ๖๐ แล้ว
นอกจากไม่ทรงเกษียณอายุเหมือนข้าราชการ หรือบุคคลสามัญ กลับทรงงานหนักสม่ำเสมอ ด้วยมีพระราชกรณียกิจที่ต้องทรงกระทำหลายประการอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีเรื่องที่ทำให้พระองค์ต้องทรงห่วงใย และต้องพระราชทานแนวทางะพระราชดำริแก้ไขให้มิได้ขาด และงานของบ้านเมืองก็ลุล่วงไปได้ด้วยพระบารมี พระองค์จึงทรงเป็นพระจ้าอยู่หัวที่เคารพสักการะอย่างสูงสุด และอยู่ในหัวใจของคนทั้งชาติ
เมื่อต้นเดือนนี้ คนในชาติของเราได้เห็นภาพข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จ ทรงตรวจงานเกษตร ซึ่งทำให้ประชาชนปลื้มปิติโสมนัสยิ่งนัก ที่ได้เห็นพระประมุขทรงกระฉับกระเฉง เหมือนภาพที่เราได้เคยเห็นต่อเนื่องมาตั้งค่อนศตวรรษ และเป็นบุญตาที่ได้เห็นกันอีก
บัดนี้คนไทยทั้งชาติ กำลังรอวันที่พระบาทมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะพระราชทาน
พระราชดำรัสสำคัญประจำปีพร้อมกันด้วยใจจดจ่อ และในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๘ ที่กำลังจะมาถึงนี้ พสกนิกรทั่วประเทศและที่อยุ่นอกพระราชอาณาจักร จะได้ร่วมกันจุดเทียนชัย และรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ร้องเพลงถวายพระพรชัยมงคล
ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของเรา ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
………………………
หมายเหตุ ผมเขียนต้นฉบับนี้เสร็จล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ พอวันเสาร์ที่ผ่านมา (๒๖ พ.ย..๒๕๔๘) หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ลงข่าวในหน้า ๑๓ ว่า
อภิรักษ์ใช้สนามหลวงจัดงานฉลอง 60 ปี ในหลวงครองราชย์ (เป็นอักษรตัวใหญ่)
รบ.(รัฐบาล) ก็จะจัดในวันเดียวกัน –นายกเป็นประธาน (เป็นอักษรตัวเล็ก)
คือทาง กทม.จะจัดงาน “มหกรรมชีวิตพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ” เนื่องในวโรกาสฉลองงานสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ที่ท้องสนามหลวงในวันที่ ๑ ธ.ค.๒๕๔๘ ซึ่งจะจัดงานใน และ นพ.สุพงศ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกแถลงว่า วันที่ ๑ ธันวาคม ถือเป็นวันเริ่มต้นเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี โดยในวันดังกล่าวนายกฯจะเป็นประธานในโครงการประชารวมใจถวายพระพร เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๔๘
ครั้นแปดโมงเช้าวันเสาร์เดียวกันกับที่มติชนลงข่าว รายการ นายกชกข้างเดียว คุณทักษิณก็ออกมายืนยันข่าวนี้
ผมไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์อะไร แต่อยากบอกว่า
สำหรับผู้ว่าอภิรักษ์นั้น เป็นนักการตลาดอาชีพ การช่วงชิงพื้นที่โฆษณาก่อนเป็นธรรมชาติของเขา เพราะถนัดโฆษณาประชาสัมพันธ์อยู่แล้ว ส่วนนายกทักษิณนั้น พูดได้ว่า ‘ประสาทช้า’ กว่า ‘ผู้ว่าการตลาด กทม.’ มาก เพราะเพิ่งมาคิดออก เมื่อเวลาที่ควรจะทำตามที่ตนประกาศไว้ ผ่านมานานถึง ๑๑ เดือนเข้าไปแล้ว
ทำให้คนคิดไปได้อีกว่า การที่นายกออกมาบอกว่ากำหนดจะจัดงานอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เป็นเพราะ กทม. ชิงตัดหน้าจัดงานสำคัญยิ่งนี้ก่อน รัฐบาลเลยต้องขอแทรกการจัดเข้าไปในวันเดียวกันบ้าง หรือท่านผู้นำกำลังมีความพยายามจะกลบกระแส เรื่องภาพที่ดู ‘ไม่งาม’ ของตัวเอง ได้ปรากฏและแพร่ออกสู่สายตาประชาชน จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนอย่างหนักขณะนี้กันแน่ !?