xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 209 จะกรีด...ให้ยับ !?

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้... จิบกาแฟขมแล้ว ออกไปบริหารร่างกายนอกบ้าน อากาศเย็นสบาย ได้ยินเสียงเพลงจากวิทยุ เป็นดนตรีล้วน มีเสียงเปียโนเป็นตัวเดินเมโลดี ฟังอยู่สักนิดก็รู้ว่า ตาแสนกลม เป็นเพลงที่ พระยาโกมารกุลมนตรี เขียนเนื้อร้องส่วนทำนองเป็นของ ท่านผู้หญิงพวงร้อย (สนิทวงศ์) อภัยวงศ์ ท่านประพันธ์เอาไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็นเพลงประกอบละครเรื่อง "จุดไต้ตำตอ" เนื้อร้องน่ารักมาก ทำนองก็ยอดเยี่ยมขึ้นต้น ว่า


ตาแสนกลม แต่คมนัก เจียวเจ้า
เหลื่อมแหลมเงา เป็นประกายวาม
แหลมเกินศร แหลมหล่อนชายคร้าม
สุกดาวงาม แม้มาเทียบ เปรียบแพ้ตาเจ้าเอย


ฟังดีไปหมดเลย ผมเองนั้นคุ้นเคยและรักเพลงของท่านผู้หญิงพวงร้อย มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หนังสือ เทป และโน้ตเพลงของท่านผู้หญิง ตัวคนเขียนเองก็มีอยู่พอมากสมควรทีเดียว

คำว่าคมนั้น ซึ่งมีความหมายว่า ส่วนบางมากจนสามารถบาดได้ เช่นคมมีด คมดาบ คมมทวน คมหญ้า และยังเป็นคำวิเศษณ์ ที่มีความหมายถึงความเฉยับแหลม เช่น ภาพคม ปัญญาคม เส้นคม และใช้สำหรับตาและปาก ซึ่งมีลักษณะอย่างของมีคมที่อาจบาดหรือแทงใจได้

ดวงตานั้น เป็นอวัยวะที่สำคัญมากในการมองโลกของมนุษย์ แต่ดวงตานี่แหละ สามารถสื่อความหมายอารมณ์ได้ชัดเจน และฝ่ายตรงข้ามหรือคู่สนทนา สามารถอ่านดวงตาออกได้ไม่ยาก จนมีคำพูดเก่าแก่ว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ โดยเฉพาะฝ่ายชายที่เป็นกวี มักรจนาถ้อยคำ บรรยายความสวยคมของดวงตาของสตรีไว้ตั้งแต่โบราณ

ส่วนปากคมนั้น คนไทยมักเรียกคนที่ผีฝีปากดี พูดจาคล่องแคล่วคมคายว่า ปากคมเหมือนมีดโกน

นักการเมืองบางคนปากคมยังกับมีดโกนไม่พอ หนังสือพิมพ์ยกย่องว่าเป็นมีดโกนชนิดอาบน้ำผึ้งเข้าไปอีก คือมีวิธีย้อนคำพูด ด้วยการขอดค่อนย้อนเกล็ด ไปเชือดเฉือนฝ่ายตรงข้ามด้วยการพูดจาอย่างนิ่มนวล แต่สมัยสื่อมวลชนใช้คำว่า “กรีด” แทนคำว่า “เชือด” หรือ “เฉือน”ด้วยวาจาแทน ซึ่งดูเหมือนว่าใช้กันแพร่หลาย

หากใช้คำว่า “จะเชือดให้ยับ” หรือ “จะเฉือนให้ยับ” อาจไม่ได้หมายถึงคำพูดเพราะอาจเชือดหรือเฉือนสิ่งอื่นก็เป็นได้ เช่นสามีเจ้าชู้โดนภริยาเชือดของดีทิ้งให้เป็ดกิน เป็นต้น แต่หากบอกว่า “จะกรีดให้ยับ” อย่างนี้ เข้าใจได้เลยว่าเป็นการกรีดด้วยคำพูดชัดเจน

ถ้อยคำสำนวนที่ใช้ในการตอบโต้ว่ากล่าวนั้น ล้ำลึกบาดใจผู้คนเป็นเรื่องที่ชาวบ้านชอบมาก เพราะคนในบ้านในเมืองของเรานั้น มักชอบคนที่ตีฝีปากเก่ง การละเล่นอย่างลำตัด เพลงฉ่อย เพลงเรือ และเพลงอีแซว ของภาคกลาง เพลงซอของภาคเหนือ หรือเพลงโคราช ฯลฯ ล้วนแล้วแต่แสดงถึงภูมิปัญญาในการตอบโต้ด้วยวาจาของคนไทย ซึ่งปฏิภาณไหวพริบในเรื่องนี้ หากนักการเมืองคนๆไหน สะสมเอาไว้มากๆ ก็จะใช้เป็น ‘กระสุนปาก’ ในการกรีด เชือด หรือเฉือนฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี

บรรดานักการเมืองและกินเมืองทั้งหลาย สมควรต้องพยายามหาความรู้ในเรื่องการโต้ตอบเอาไว้ ให้ดี เพราะมันยากที่จะมี ‘รายการของตัวเอง’ อย่างนายกทักษิณ ที่พูดได้ทุกวันเสาร์ในฐานะผู้บริหารประเทศ และได้ใช้โอกาสงามนี้ด่า เหน็บ และกรีด นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามและผู้ไม่เห็นด้วยอย่างสม่ำเสมอ

บางทีท่านผู้นำก็ติดลมบน วิจารณ์หรือสวดคู่ปรับทางการเมืองเขาเกินเหตุ โดยอีกฝ่ายไม่สามารถโต้ตอบได้ทันท่วงที เพราะคุณทักษิณนั่งเอ้เต้พูดอยู่หน้าไมค์คนเดียว ไม่มีมนุษย์ที่ไหนคอยขัดคอ เลยได้ทีขย่มเอาอย่างสนุกสนาน ผมจึงเรียก ‘รายการนายก...พบประชาชน’ นี้ ว่า


“รายการนายก-ชกข้างเดียว !”


ถ้าอยากรู้ว่า นายกทักษิณเอาแนวความคิดการจัดรายการมาจากไหน? ลองเปิดดู กาแฟขมขนมหวาน ตอนที่ ๑๘ แล้วก็จะทราบที่มาที่ไป เพียงแต่นายกเปลี่ยนแนวทางที่เขาได้แนะนำไว้ ด้วยการใช้รายการนี้ พูดจารุกใส่แบบไล่กระทืบ บดขยี้ เอาเปรียบฝ่ายตรงข้าม และคนที่ไม่เห็นพ้องกับตัวเอง ด้วยโวหารที่ไม่ค่อยจะเข้าท่ามาตลอด แต่หลายครั้งก็โดนสวนเอาเลือดสาด

ยังดันไม่รู้จักจด จักจำ !

คงปล่อยให้วาจาตัวเอง ‘ทำลายมิตร สร้างศัตรู’ สั่งสมพลังความแข็งแกร่งให้กับฝ่ายตรงข้ามเสมอมามิได้ขาด จนถึงปัจจุบัน สร้างความอิดหนาระอาใจให้กับบรรดาลิ่วล้อ และกองเชียร์ของตัวเอง ที่ต้องออกมาตามล้างตามเช็ดอุจจาระวาจา ที่เจ้านายของตัวเผลอปล่อยเรี่ยราดออกไป เพราะติดเบรกที่ปากไม่เป็น

บ่อยครั้งที่ตัวนายก ต้องออกมาก้มหน้าล้างและเช็ดถูเอง อย่างกรณีการปะทุคำพูดด้วยอารมณ์ที่ไม่กลัดกระดุมที่จังหวัดนครสวรรค์ คนได้ฟังเขาบอกว่า นั่นเป็นการข่มขู่ชาวบ้านอย่างชัดเจน ขนาดคนอย่างอาจารย์ ปทุมพร วัชรเสถียร ที่เป็นสุภาพสตรีใจเย็นมากๆยังอดรนทนไม่ได้ ต้องระบายความรู้สึกออกมาทางรายการวิทยุ คลื่น ๙๗ FM

พอผู้คนเขาวิจารณ์สาดเสียเทเสียมากๆเข้า นายกต้องออกมาล้างเช็ดที่ตนทำเลอะเอาไว้ ใช้คำพูดแบบข้างๆคูๆ ด้วยเหตุผลฟังไม่เข้าท่าอย่างที่สุด

ยิ่งเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามก่นด่าตอบโต้ ถ้าเป็นมวยต้องรียกว่าโดน ‘ถีบหน้า-สวนกลับ’ ให้ได้อับอาย อย่างนี้เป็นต้น

ดังนั้น...ความเชื่อถือ ในวาจา สัญญา ต่างๆของผู้นำอย่างคุณทักษิณ ในสายตาของผู้คนจำนวนมากรวมทั้งผมด้วย ต่ำเตี้ยและลดลงทุกวัน

ใช่แต่แค่นั่น ทั้งเขยดองนายทุนร่วมขบวนการหูรูดปากชำรุด ดันฟั่นเฟือนออกมาแนะให้กราบตีนเมีย 7-11 ครั้ง ทุกๆคืน ผู้คนเขายิ่งหัวร่องอหาย วิจารณ์ว่า

คนพูดเป็น ฟันเฟืองแสนพิกล ในเครื่องจักรรัฐบาลที่กำลังชำรุด ผู้คนสาปแช่ง ขอให้ผู้นำเขี่ยทิ้งออกไปจากคณะเสียที อย่าให้อยู่รกหูรกตาประชาชนอีกต่อไป !

ยิ่งทำให้นาวาที่ท่านผู้นำที่ขับเคลื่อนไปอย่างโขยกเขยกอยู่แล้ว ทำท่าจะพังพาบไปเพราะลมปากทั้งตัวเอง และวาจาพรรคพวกทุนหนาที่กะเตงกันมานี่แหละ

อ้าว...พูดเรื่องจริงอย่างนี้ ใครจะหาว่า ‘กรีด’ ก็ไม่ว่ากัน แต่อยากให้อ่านทวนดูสักสองรอบ ก่อนลงความเห็น !

วามจริงแล้วเรื่องของ ‘มีดโกน-อาบน้ำผึ้ง’ นั้น พระท่านว่าเอาไว้คล้ายๆกัน แต่เป็น ‘น้ำผึ้ง-อาบมีดโกน’ อธิบายได้ว่า

น้ำผึ้งอาบมีดโกนนั้น โดยหมายถึงความสุขทางโลกอันได้แก่กิเลสกามทั้งปวง เช่นแสวงหาจากเนื้อหนังเพศรส ความลุ่มหลงในวัตถุ เป็นต้น ใครหลงใหลในความสุขประเภทนี้ พระท่านเปรียบเทียบเป็นผู้กำลังเลียน้ำผึ้งที่อาบมีดโกนอยู่ ท้ายที่สุดเมื่อเล็มเลียจนน้ำผึ้งแห้ง ก็จะเจอใบมีดบาดลิ้นและปากตัวแหว่งเว่อเข้าให้ !

อย่างไรก็ตามปุถุชนคนธรรมดา ก็ยังอยู่ในวังวนนี้อยู่ ยากที่จะถอนตัวออกไปได้ คงจะมีแต่พระอรหันต์เท่านั้น ซึ่งก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหน นอกจากพวกตั้งตัวเองเป็น อรหัน แต่คนเขา หัวเยาะเรียกเป็น ‘อรหมุน’ บ้าง ‘อรหอก’ (หัก) บ้าง หรือบางทีลูกศิษย์ลูกหายกยอปอปั้น โฆษณาว่า อาจารย์ของตัวเองบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ เพื่อจะได้ช่วยสร้างความร่ำรวยมั่งคั่งให้พวกลูกศิษย์อัปรีย์

ส่วนตัวอาจารย์เองนั้น พอเขายอยกกระดกก้นให้เป็นอรหันต์ จากนักบวชธรรมดาที่เดิมเคยมีวัตรปฏิบัติ ที่ผู้คนคิดว่าพอจะกราบไหว้ได้อยู่บ้าง กลับกลายคิดว่าตัวเองเป็นเทวดา ผู้วิเศษเลิศเสียเหลือเกิน ความเสื่อมจึงมาเยือน ผู้คนเห็นเพี้ยนเข้า ก็ก่นด่ากันทั่วเมือง

เรียกเป็น “ผีบุญ” – “ผีบ้า” ก็มีให้เห็นกันอยู่สม่ำเสมอมิได้ขาด

นเครื่องอัฐบริขารของพระสงฆ์ หรือบริขาร ๘ ก็มีมีดโกนรวมอยู่ด้วย อันได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ บาตร มีดโกน หรือมีดตัดเล็บ เข็ม ประคดเอว กระบอกกรองน้ำ นิยมเรียกรวมว่า อัฐบริขาร (บริขาร ๘) แสดงว่าพระในสมัยพระพุทธองค์ก็มีมีดโกนใช้แล้ว และคงไม่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว คงจะใช้ตัดเล็บและประโยชน์อื่นด้วย

ผมไม่ทราบว่ามีดโกนสมัยพระพุทธองค์นั้น มีรูปร่างอย่างไร จะเป็นใบมีดเปลือย หรือเป็นใบมีดมีด้าม อาจยังไม่มีลักษณะงอพับเก็บในช่อง อย่างมีดโกนที่ช่างทำผมใช้ และมีที่ลับคมเป็นสายหนังยาว คนอายุยี่สิบปีขึ้นน่าจะได้เห็น มีลักษณะไม่แตกต่างจากที่ช่างตัดผมใช้อยู่ในปัจจุบันนัก เพียงแต่ปัจจุบันใบมีดเปลี่ยนได้

เหตุผลสำคัญ ที่ต้องให้มีการรักษาอนามัยร้านตัดผมเป็นอย่างดี ก็เพราะสถานการณ์บังคับ คือการระบาดของโรคเอดส์ ตัวผมเองถ้าไปตัดผมต่างจังหวัดกับช่างไม่คุ้นกัน เวลาเขาจะกันท้ายทอยหลังตัดเสร็จ รวมทั้งโกนหนวด กันหน้า ผมเป็นต้องเบิ่งตาจ้องกระจก ดูหน้ากัลบกเขม็งทุกครั้ง เพราะกลัวเขาจะไม่เปลี่ยนใบมีด มิใช่อะไรหรอกครับ

กลัวต้องเป็นเอดส์ตอนแก่...อายเขาแย่ !

มีดโกนนั้น ตอนเป็นวัยรุ่นผมก็เคยพกอยู่ เป็นแฟชั่นจิ๊กโก๋สมัยนั้น เอาไว้ป้องกันตัว เขาบอกว่าพวกทหารเรือใช้มีดโกนเก่ง โดยเฉพาะตอนตะลุมบอนจะใช้ปาดหน้าฝ่ายตรงข้าม แต่ผมไม่เคยเห็นอย่างจะจะ จึงพูดไม่ได้ว่าเก่งอย่างไร

ตอนอายุ ๑๕ ผมลงเรือรบหลวง “อ่างทอง” ไปฝึกภาคทะเลของโรงเรียนเตรียมทหาร ก็เอามีดโกนพกใส่ถุงทะเลไปด้วย แต่เกิดมาก็ยังไม่เคยใช้มีดโกนไปเชือด เฉือนหรือกรีดหน้าใคร เวลาตีกันก็ชกกันด้วยหมัดลุ่นๆเป็นหลัก นอกนั้นก็ใช้ ‘ไม้’ เป็นองค์ประกอบอยู่บ้าง เพราะตัวเองเป็นลูกศิษย์สำนักบ้านช่างหล่อ ถนัดกระบี่กระบองมากกว่า และการใช้ไม้เป็นอาวุธตีกันนั้น ถ้าเราได้ร่ำเรียนการตีมาอย่างถูกต้อง ทั้งป้องกันตัว รุกเข้าใส่ และสะกดฝ่ายตรงข้ามลงได้เร็วด้วย ตำรวจญี่ปุ่นแทบทุกสถานี จะมีห้องฝึกเคนโดหรือ หรือการฟันดาบแบบญี่ปุ่น ศิลปนี้กำเนิดมาจาก Kenjutsu แต่เปลี่ยนมาเรียกว่า Kendo เมื่อต้นศตวรรษที่ ๒๐ พื้นฐานของเคนโดคือสร้างความมีระเบียบวินัย ฝึกฝนและสร้างความแข็งแกร่งของจิตใจและร่างกายตลอดจนเทคนิคในการฟันดาบ หากใช้ไม้ยาวแทนดาบในการฝึก ซึ่งเขาฝึกเอาจริงมาก ตัวคนเขียนเองก็เคยฝึก และเห็นว่ามีประโยชน์มาก เพราะหากตีกันด้วยไม้ คนที่ไม่เคยเรียนมาก่อน ต้องโดนคู่ปรับที่เคยฝึกมาตีดิ้นแน่ๆ

มีดโกนแบบพับได้มีช่องเก็บในตัว มีหลักฐานให้เห็นตามรูปเป็นมีดโกนในสมัยสงครามกลางเมืองของสหรัฐ ซึ่งอาจมีมาก่อนหน้านั้นก็ได้ แต่มีดโกนแบบนี้ใช้กันมานาน พัฒนามาจนเป็นแบบเปลี่ยนใบมีดได้อย่างทุกวันนี้ แต่สมัยนี้คนธรรมดาที่ไม่ใช่ช่างตัดผม ไม่นิยมใช้กัน เพราะโอกาสที่มีดโกนจะบาดตัวเองมีมาก


รูปแบบของมีดโกนนั้นเปลี่ยนไป จากมีดโกนที่พับได้และมีช่องเก็บ กลายที่เราเรียกว่า safety razor คือมีดโกนที่ให้ความปลอดภัยสูง ดีกว่ามีดโกนแบบช่องพับมาก จากการประดิษฐ์คิดค้นของชายผู้มีชื่อว่า King Camp Gillette

ยิลเล็ตต์เกิดในเมืองเล็กชื่อ Fond du Lac ใน Wisconsin สหรัฐอเมริกาที่ได้รับแดงดลใจจากพ่อแม่เป็นนักประดิษฐ์คิดค้นทั้งคู่ มารดาของเขาเขียนตำราอาหาร ซึ่งเป็นตำหรับที่เธอค้นคว้าเองชื่อ White House Cookbook หนังสือเล่มนี้ พิมพ์ต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า ๑๐๐ ปีแล้ว

ตอนาอายุได้ ๔๐ ปี เขาได้ความคิดอันบรรเจิดจากเจ้าของโรงงานที่เขาทำอยู่ด้วย ที่เห็นศักยภาพในความเป็นนักประดิษฐ์ของเขาว่า ควรจะคิดค้นสิ่งของที่ผู้คนจำเป็นต้องใช้ เมื่อใช้เสร็จแล้วก็โยนทิ้งเลย

เมื่อได้ไอเดียแล้ว เขาได้ประสบปัญหาเกี่ยวกับมีดโกนตัวเองทื่อ ใช้โกนหนวดไม่เข้า ต้องลับเสมอ และมีดโกนแบบงอพับนั้น ตัวยิลเลตต์เองมีประสบการณ์ตอนเป็นเซลล์แมน ต้องเดินทางโดยรถไฟเป็นประจำ เขาโกนหนวดบนรถไฟไม่ได้เพราะขณะรถวิ่งมันกระโดกกระเดก มีดโกนจะยาดหน้าเอา เพราะฉะนั้นเวลาโกนหนวดด้วยมีดโกนแบบงอพับ เราต้องยืนนิ่งๆ หรือไม่ก็เดินเข้าไปในร้านให้ช่างโกนไปเลยปลอดภัยดี ดังนั้นเราจึงเห็นในหนังคาวบอย ฝรั่งเดินเข้าร้านโกนหนวดกันเสมอ

นอกจากมีดโกนแบบงอพับ อันตรายเวลาใช้ ตัวมันเองยังเป็นอาวุธโดยสภาพที่ใช้เชือดคอคนได้ จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “cut-throat razor” ซึ่งหมายถึงมีดโกนเฉือนคอหอยนั่นเอง

ยิลเล็ตต์ ประสพความสำเร็จในการประดิษฐ์มีดโกนหนวดนิรภัยซึ่งประกอบด้วยเขาตรงไปที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงคือ Massachusetts Institute of Technology (MIT) หารือในเรื่องการผลิตเหล็กแผ่นบางมีคมสองด้านที่ใช้แล้วทิ้งได้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ละความพยายามได้ร่วมกับ William Emery Nickerson คิดต่อ จนกระทั่งได้ออกแบบเครื่องมือโกนหนวดประกอบด้วยส่วนสำคัญสามอย่าง คือเหล็กประกับยึดใบมีด ด้ามจับ และใบมีดที่ถอดเปลี่ยนได้เมื่อหมดความคม

Gillette กับ Nickerson ร่วมกันก่อตั้ง American Safety Razor Company และได้รับสิทธิบัตรเมื่อปี ๑๙๐๑

มีดโกนยิลเลตต์ออกใหม่ๆสตรีชาวอเมริกันชอบมาก เพราะใช้โกนขนหน้าแข้งสะดวก ไม่ต้องระวังเหมือนเอา “cut-throat razor” มานั่งโกน เพราะค่อนข้างหวดเสียวสำหรับผู้หญิง เดี๋ยวบาดแข้งบาดขา น่องขาวๆสวยๆก็จะแหว่ง เสียหายหมด เลยต้องให้ผู้ชายโกนให้ ซึ่งไม่ค่อยสะดวกถ้าหากหาสุภาพบุรุษมาช่วยโกนให้ไม่ได้ แต่ผู้หญิงไทยไม่ค่อยมีปัญหา เพราะนานๆผมจะเห็นผู้หญิงขนหน้าแข้งดกสักครั้ง ซึ่งก็เก๋ดี แต่เดี๋ยวนี้เขามีร้านเสริมสวยใหญ่หน่อยเขาก็รับ wax ขน นั่นยิ่งสะดวก ทำเองก็ได้แต่ต้องใจเย็นหน่อย ไม่งั้นอาจเหลือ กะหรอมกะแหรมให้เห็น เพราะกำจัดออกไม่หมดหรือโกนไม่เกลี้ยงนั่นเอง

สตรีที่มีขนหน้าแข้งนั้น ยังไม่น่าดูเท่ากับมีหนวด ผมว่าก็น่ารักดี อาจมีผู้ชายบางคนชอบผู้หญิงมีหนวดก็ได้ ผมคนหนึ่งละ แต่ขอให้มีพอเป็นไรอ่อนๆไม่ใช่มากขนาด นายจันทร์ หนวดเขี้ยว เพราะจูบกันคงจั๊กจี้แย่

นี่พูดจริงๆ ไม่ได้พูดเล่นนะ

วันนี้พูดถึงเรื่องมีดโกนแล้ว ทำให้นึกถึงเรื่องสั้นของ Leonardo da Vinci (๑๔๕๒-๑๔๕๙) อัจฉริยะชาวอิตาเลี่ยนยุค เรเนอซองส์ (Renaissance ) หรือยุคศิลปวิทยา ท่านเป็นทั้งจิตรกร ศิลปิน วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ และนักดนตรี รูปเขียนที่รู้จักกันดีของท่านคือ ที่ The Last Supper และ Mona Lisa แต่ดาวินชี่ก็ยังเขียนนิทานสำหรับเด็ก มีอยู่กว่าสิบเรื่อง ที่โด่งดังมากชื่อ The Razor ซึ่งอาจารย์วชิราวุธ วิทยาลัย คนคุ้นเคยกันแปลเอาไว้ให้นักเรียนชั้น ม.๑ อ่านกัน ผมเลยถือวิสาสะยกเอามาให้ท่านได้อ่านกัน โดยคงสำนวนแปลเดิมเอาไว้ทุกประการ


มีดโกนหนวดเล่มหนึ่งอยู่ในร้านตัดผม วันหนึ่งไม่มีคนอยู่ในร้าน มีดโกนจึงแอบหนีออกไปเที่ยวข้างนอก

เมื่อเห็นตัวเองกระทบกับแสดแดด เป็นประกายแวววับ มีดโกนรู้สึกแปลกใจและปลื้มใจไปพร้อมๆกัน

“ข้าจะไม่มีวันกลับไปอยู่ในร้านตัดผมอีกแล้ว ! ไม่มีวันเด็ดขาด สวรรค์คงไม่ทรงต้องการให้ความสวยงามเลิศของข้าต้องด่างพร้อย บ้าแน่ๆ ที่จะเอาข้าไปโกนหนวดเปื้อนสบู่ของเจ้าพวกชาวบ้านวันแล้ววันเล่า ร่างอันสง่างามของข้าไม่ควรจะไปทำงานอันต่ำต้อยพันนั้น ข้าจะต้องหาที่ซอน ใช้ชีวิตที่เหลือของข้าให้สุขสบาย”


ว่าแล้ว มันก็ไปแอบซ่อนตัวไม่ให้ใครเห็น

วันเวลาผ่านไป

วันหนึ่งมีดโกนอยากได้รับอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย มันจึงค่อยๆออกจากทีซอนมาชมโลกภายนอก

มีดโกนได้เห็นตัวมันเองในแสงสว่างอีกครั้ง

อนิจจา! เกิดอะไรขึ้นนี่! มีดโกนมีสนิมจับเขรอะแลดูคล้ายในเลื่อยเก่าๆ มันไม่เป็นประกายแวววับอย่างเดิมอีกแล้ว

มีดโกนเสียใจในสิ่งที่มันทำลงไป คร่ำครวญถึงสิ่งที่มันสูญเสียไปอย่างไม่มีวันได้คืน

“โธ่เอ๋ย...รู้อย่างนี้ข้ายอมโกนหนวดให้พวกชาวบ้านเสียก็ดีหรอก ป่านนี้ตัวข้าคงยังเป็นมันวับและคมกริบ ข้าคงไม่ผุจนสนิมเกรอะกรังอย่างนี้ สายไปเสียแล้ว”


จุดจบอันน่าเศร้าใจของมีดโกน ก็เหมือนกันกับคนมีปัญญาซึ่งเกียจคร้านไม่ยอมใช้ความสามารถของตนให้เป็นประโยชน์ ผลที่สุดก็จะโดนสนิมของอวิชชากัดกินจนกร่อนไป

-จบ-


อ่านนิทานเรื่องนี้แล้วสอนใจดีชะมัด คนที่มีความฉลาดหลักแหลมแต่เกียจคร้าน ก็หาประโยชน์อะไรมิได้ เหมือนคำกล่าวที่ว่า “มีความรู้อยู่ในใบลาน” คืออุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปศึกษา เสียเงินพ่อแม่เป็นจำนวนมาก พอกลับมาถึงเมืองไทย ไม่ทำงาน หรือไม่ได้นำความรู้ไปสร้างสรรค์งานก่อประโยชน์ให้กับผู้คนในชาติ อยู่อาศัยความร่ำรวยของพ่อแม่ตัวเองไป ความรู้ที่บิดามารดาทุ่มเทเงินทองให้ไปศึกษามา ก็เหมือนเอาเก็บไว้ในใบลาน ที่เป็นใช้จดจารบรรดาสรรพวิชาความรู้ แต่ไม่เคยนำออกมาใช้

มีคำไทยโบราณกล่าวว่า

“มีเงินให้เขากู้ มีความรู้อยู่ในใบลาน มีเมียอยู่คนละบ้าน ...ไม่มีเลยจะกว่า”

อธิบายได้ว่า

มีเงินให้เขากู้ เช่น มีเงินอยู่สิบล้าน ให้เขากู้ไปหมด เวลาต้องใช้เงินจำนวนมาก ก็ไม่มีส่วนเงินที่เขากู้นั้น ตัวเองได้แค่ดอกเบี้ยกินเล็กกินน้อย ทุกๆเดือน แต่ไม่รู้ว่าลูกหนี้จะเบี้ยวเมื่อไหร่ นั่งใจสั่นระทึกไป...นอนไม่หลับอีกต่างหาก

มีความรู้อยู่ในใบลาน...อธิบายไปแล้ว

มีเมียอยู่คนละบ้าน...เช่น เมียอยู่เชียงใหม่ ผัวอยู่ปักษ์ใต้ คิดถึงกันจะมานอนร่วมเตียงเมคเลิฟกันก็ไม่ได้ ต้องขึ้นรถไฟหรือนั่งเครื่องบินไปหากัน ลำบากแย่ (แต่ก็ไม่แน่นะ...ดูอย่างนักการเมืองบางคนเขาอาจให้เมีย-ลูก ไปอยู่ไกลหูไกลตาก็ได้ เพราะรสนิยมเขาแปลก จึงชอบให้อยู่คนละบ้าน!)

คนโบราณเขาถึงบอกว่า ถ้ามีเงิน มีความรู้ ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ “อย่ามี (แม่ง !) ซะเลยจะกว่า” น่าจะเป็นคำกล่าวเรื่องที่ถูกต้อง

ก่อนจบเรื่องมีดโกนวันนี้ ผมขอเล่าให้ท่านผู้อ่าน เรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาดังนี้

เมื่อเดือนที่แล้วผมฟังรายการ “ข้อเท็จจริงวันนี้” วิทยุกองทัพบกคลื่น ๙๔ FM ของคุณสมัคร สุนทรเวช ซึ่งให้ผู้ฟังโฟนอินเข้ามา มีแฟนรายการชื่อ “คุณนิพนธ์” ซึ่งท่านมีเสียงสูงเป็นเอกลักษณ์ เสนอความเห็นที่คมคายเสมอ ผู้ฟังรายการก็ชอบกัน รวมทั้งผมด้วย

วันนั้น คุณนิพนธ์ได้พูดอย่างที่ผมจำไว้ไม่ลืมเลย แม้จะเรียงถ้อยคำตามลำดับได้ไม่ตลอด เพราะไม่ได้อัดเทปเอาไว้ แต่ข้อความตามความทรงจำของผม เป็นอย่างนี้ครับ


“คุณสมัคร..รู้ไม้...เวลานี้นักการเมืองเขาจะหาเมียใหม่น่ะ ง่ายมาก”
“เขาทำยังไงล่ะ...คุณนิพนธ์ ?” คุณสมัคร ผู้ดำเนินรายการถามอย่างสงสัย
“เขาไม่ต้องไปหาเมียใหม่ ให้มันเสียเวลา...” คุณนิพนธ์หัวเราะเสียงใส ก่อนตอบคำถามด้วยประโยคที่โดนใจผู้คน ที่กำลังรับฟังอยู่เป็นจำนวนมาก


“พวกนักการเมืองน่ะ....เขาเอาเมียเก่าไปเทิร์นให้กันแบบรถยนต์ แล้วเอาเมียของอีกฝ่ายหนึ่งออกมา...เป็นเมียตัวเอง....พูดอย่างนี้เข้าใจไหม....คุณสมัคร !”


ฮู้ฮู้ยยยยยยยยย !...ขนาดยังไม่บอกว่าเป็นนักการเมืองพรรคใด ชาติไหน ผมก็สยองหัวตั้งแล้ว... อยากจะบอกว่า

คุณนิพนธ์พูดอย่างนี้ก็เป็น “cut-throat razor” ขนานแท้เลยจริงๆ...ไม่รู้คิดได้อย่างไร โดนใจขะมัดยาด...

ไม่ต้องเอามีดโกน...ไปอาบน้ำผึ้งให้เสียเวลา... เพราะมีดโกนปาดคออย่างคุณนิพนธ์นั้นเหนือชั้นกว่ามากนัก....จึงอยากจะตั้งฉายาคุณนิพนธ์ฯให้อย่างเก๋ ว่า

“มีดโกนไทย...ป้ายไซยาไนด์ !”

แค่บาดนิดเดียวก็...เดทสะมอเร่แล้วครับ !!

.......................

กำลังโหลดความคิดเห็น