เช้าวันนี้ ....จิบกาแฟขมแล้ว ขี่จักรยานออกไปซื้อข้าวจี่ อาหารที่คนอีสานเขาชอบเอามารับประทานกับกาแฟตอนเช้า โดยเขาเอาข้าวเหนียวผสมน้ำตาลกับเกลือหน่อย ตีเป็นแผ่นกลมๆแล้วชุมไข่แดงพอหมาดๆ นำไปปิ้งบนตะแกรง เจ้านี้เขาปิ้งกล้วยควบคู่กันไปด้วย แค่กินข้าวเหนียวหนึ่งแผ่น กาแฟหนึ่งถ้วยก็ถือได้ว่าเป็นอาหารเช้าที่มีคุณค่าพอสมควร
ระหว่างรอคิวซื้อข้าวเหนียว ได้ยินเสียง “สัพพี ทีโย...”ดังลั่นผิดปกติ หันไปดูเห็นพระหนุ่มรูปหนึ่ง กำลังให้พรญาติโยมหลายคน ที่นำอาหารมาทำบุญตักบาตรตอนเช้า พอพระท่านเดินจากไปแล้ว พ่อค้าขายขนมไทยใกล้ๆคนหนึ่งบอกผมว่า
“พระท่านนี้ให้พรเสียงดังดี และสวดยาวด้วย คนเลยชอบใส่บาตรกับท่าน ไม่เหมือนหลวงตา” เขาหมายถึงพระสูงอายุอีกรูป ที่บิณฑบาตแถวนี้ประจำ
“หลวงตาท่านให้พรอย่างไรล่ะ ?” ผมถาม พ่อค้าแกเลยอธิบายความว่า
“องค์นั้นท่านสวดสั้นนิดเดียว แค่...อายุ วรรโณ สุขัง...พลัง แถมเสียงยังเบาอีกต่างหาก คนเขายังกรวดน้ำไม่เสร็จ แต่องค์หนุ่มนี่ท่านสวดยาวจนจบ คนกรวดน้ำก็เทออกหมดกระบอกพอดี”
อ้อ...เป็นอย่างนี้เอง
เคยเรียนท่านผู้อ่านว่า พระท่านให้พรเราซึ่งยังเป็นคนมีชีวิตอยู่ หลวงพี่จะสวดบท “สัพพี...” พูดง่ายๆก็คือท่านบอก “Thank you” และอนุโมนาบุญ
หากท่านผู้อ่านไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ใหญ่ หรือไปร่วมงานสวดอภิธรรม เมื่อพระสวดอภิธรรมจบ เจ้าภาพถวายของพระแล้ว ทางวัดเขาจะเตรียมจอกหรือภาชนะใส่น้ำสะอาดเอาไว้ พอพระรูปแรกท่านเริ่มต้นสวดอนุโมทนา ว่า “ยถา วารีวะหา...” เราก็เริ่มกรวดน้ำ วิธีที่นิยมทำกันก็คือใช้มือขวาจับภาชนะ มือซ้ายประคองรินน้ำลงภาชนะที่เขาจัดไว้รองรับ ไม่ต้องเอามือซ้ายไปรองให้น้ำผ่านนิ้วแต่อย่างใด พร้อมกันนั้น เราก็ตั้งใจนึกอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับบุพการีรวมทั้งญาติผู้ใหญ่ รินไปจนกระทั่งพระรูปที่สองท่านสวดรับว่า “สัพพี ทิโย...” เราก็เทน้ำให้หมด แล้วยกมือประนมตั้งใจรับพรพระท่าน นี่เป็นธรรมเนียมที่ชาวพุทธรับปฏิบัติกันมา
พูดง่ายๆก็คือ “ยถา ให้ผี สัพพี ให้คน” คือตอนที่พระท่านสวด ยถา เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้คนตายหรือผู้ล่วงลับไปแล้ว ส่วนท่อนที่ว่า สัพพี นั้น เป็นการให้พรคนเป็น
วันนี้ ท่านผู้อ่านคงแปลกใจว่าทำไมผมเอาเรื่องตายมาพูด ไม่ใช่อื่นเลยเป็นเพราะได้ยินพระท่านให้พรชาวบ้านเสียงดังแท้ๆนี่เอง
ในการทำบุญนั้น เราสามารถหารูปแบบการทำบุญได้หลากหลาย บางคนก็ชอบทำบุญตักบาตร บ้างก็ชอบการบริจาคให้กับผู้ยากไร้ แต่ผมชอบทำบุญทุกประเภท แต่ที่ทำเป็นประจำคือ การทำบุญอุทิศด้วยการบริจาคโลงศพ ด้วยมีความเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตยืนยาว นี่อาจเป็นอิทธิพลของแม่ตัวเองที่ชอบทำบุญลักษณะนี้
สถานที่ซึ่งผมชอบไปบริจาคโลงศพก็คือ มูลนิธิร่วมกตัญญู ที่รับบริจาคของเขาย้ายมาอยู่ติดวัดหัวลำโพง เพราะจอดรถง่ายกว่า มูลนิธิปอเต๊กตึ๊ง ที่พลับพลาชัย แต่ใครสะดวกทางไหนก็ไปทางนั้น การบริจาคโลงศพนั้น ได้บุญชัดเจนอย่างที่ได้เห็นเป็นข่าวตอนเหตุการณ์สึนามิ
ถ้าทำบุญที่ร่วมกตัญญู เสร็จแล้วก็ลองเดินไปกินอาหารอร่อยๆต่อที่ร้านเลี่ยวเล่งเซ้ง หรือไม่ก็ร้าน กวงเม้ง ก็จะได้อิ่มท้องหลังอิ่มบุญ ทั้งสองร้านเก่าแก่นี้ เดิมอยู่แถวราชวงศ์ ผมกินมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ตอนนี้ที่อยู่บริเวณเดียวกันกับภัตตาคารกาแลกซี่ อยู่ไม่ห่างจากมูลนิธินัก
การทำบุญด้วยโลงศพนั้น บางวัดเช่น วัดบึงทองหลาง ซอยลาดพร้าว ๑๐๑ ก็มีการเอาตู้บริจาคไปวางไว้ตามศูนย์การค้า ผมก็จะใส่สตางค์ลงไป เพราะอดีตเจ้าอาวาสท่านทำเรื่องการบริจาคโลงเอาไว้ดีจริงๆ
ใครไม่มีโลงใส่ศพญาติมาขอท่านก็ให้ บางทีไม่มีเงินทำศพ หลวงพ่อท่านรับเป็นธุระจัดการให้ ไม่คิดแม้แต่ค่าโลง ค่าศาลา ปัจจัยถวายพระ
ยิ่งกว่านั้น คนที่จนนัก หลวงพ่อยังแถมเงินให้ญาติอีกด้วยซ้ำไป !
ในประเทศเรามีโลงศพหลายรูปแบบ โลงของคนจีนมักจะทำด้วยไม้อย่างดี เช่น ประดู่ ชิงชัน เป็นต้น ส่วนโลงของคนไทยเป็นรูปสี่เหลี่ยมธรรมดา แต่มีโลงหุ้มด้านนอกอีกชั้น เราเรียกว่า โลงนอก คือโรงหุ้มโลงใส่ศพอีกชั้นหนึ่ง ให้ดูสวยงามระหว่างการทำพิธีทางศาสนา ด้วยการประดับมุก หรือแกะเป็นลวดลายต่างๆ บอกลักษณะเชิงช่างไทย
เวลาเผาเขาถอดเอาโลงนอกออก เอาโลงในที่บรรจุร่างผู้ตายไปเผา เดิมการเผาเขาใช้ฟืน คนล้านนาเวลาเผาศพที่ป่าเฮ่ว หรือป่าช้า เขาเอาเศษไม้ติดไปด้วยเพื่อไปช่วยใส่เป็นเชื้อไฟ ถือว่าเป็นการทำบุญ เดี๋ยวนี้พัฒนาไปเป็นการใช้ไฟฟ้าซึ่งสะดวกมากขึ้น
ตอนที่ผมรับราชการทางเหนือ โลงศพนั้นเขาไม่เรียกโลง แต่เขาเรียกว่า “หีบศพ” ซึ่งคำว่า หีบของชาวเหนือนั้น จะรู้ความหมายได้ชัดเจนก็ต่อเมื่อ ดูคำอื่นที่ติดตามคำว่าหีบมา เช่น “หีบผ้า” หมายความถึงกล่องใส่เสื้อผ้า แต่ “หีบน้ำแก๋ง” แปลว่า ซดน้ำแกง ไปคนละเรื่องเลย
ทางสำนักพระราชวัง ก็ไม่ได้ใช้คำว่าโลง เราจึงได้ยินแต่ หีบศพพระราชทาน ไม่มีคำว่าโลงศพพระราชทาน และคำว่าโลงนั้น พจนานุกรมหมายถึงหีบใส่ศพ มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม ดังนั้นคำว่าโลงศพหรือหีบศพ มีความหมายอย่างเดียวกัน
โลงศพนั้นน่าจะมีมาในประเทศไทยนานแล้ว เพราะสามารถสืบค้นไปได้ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตามถ้ำ เพิงผา ต่างๆแถบลำน้ำแควน้อย ไปจนถึงลุ่มน้ำแม่กลอง จะเห็นเครื่องมือเครื่องใช้ในยุคต่างๆ เช่น โครงกระดูกมนุษย์ ภาชนะดินเผา เครื่องประดับ ภาพเขียนสีที่ผนังถ้ำ โลงศพ ฯลฯ เดี๋ยวนี้มีการจัดทัวร์ภายในประเทศไปชมกัน ซึ่งหากมีลูกหลานน่าจะลองไปให้เห็น เด็กๆจะสนใจมาก
โลงศพโบราณที่ทิ้งไว้ตามถ้ำนี้ นอกจากเมืองกาญจนบุรีแล้ว ทางภาคอีสานยังมีการค้นพบ “โลงศพ” ของมนุษย์ปรากฏอยู่ภายในซอกหินบนภูโลง ซึ่งเป็นโลงศพที่ทำจากไม้ ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในสภาพดี เพราะไม่ถูกแดดถูกฝน สันนิษฐานว่า เป็นของมนุษย์ในสมัยโบราณ แต่กระดูกและสิ่งของภายในโลง ได้หายไปก่อนที่จะถูกค้นพบ
นอกจากนั้นทางภาคเหนือก็มีพบในถ้ำแถบแม่ฮ่องสอน แสดงว่าโลงศพนี้มีการใช้เป็นที่บรรจุร่างของคนตาย แต่นำไปทิ้งในถ้ำ ลักษณะนี้ปรากฏตามดินแดนต่างๆทั่วโลก ในสมัยที่การฝังและเผายังไม่เป็นที่นิยม การรักษาร่างมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่มาจากความเชื่อที่ว่า ผู้ที่ตายไปแล้วอาจกลับมาเกิดใหม่ และใช้ร่างเดิมอีกก็เป็นได้
นอกจากโลงคนแล้วยังมี ‘โลงหมา’ ด้วย ในต่างประเทศนั้นมีมาก พวกเศรษฐีพอหมาคัวโปรดที่เลี้ยงรักตายก็จับใส่โลงเลย แต่เมืองไทยนั้นโลงหมาที่เห็นอยู่ก็เห็นจะเป็น ของ “ย่าเหล” สุนัขเลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเมื่อเจ้าสุนัขแสนรู้ของพระองค์ได้ตายจากไป ทรงอาลัยรักในย่าเหลมาก ทรงพระกรุณาฯจัดพิธีศพให้ เจ้าพนักงานบรรจุร่างย่าเหลลงโลง ซึ่งโลงนี้ยังเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วัดพระปฐมเจดีย์ (น่าจะเป็นโลงชั้นนอก) และมีการสร้างอนุสาวรีย์ย่าเหลไว้ที่ด้านหน้าของพระตำหนัก ชาลีมงคลอาสน์ ด้วยโลหะรมดำ ตั้งบนแท่นสูง และยังทรงบทกลอนไว้อาลัยด้วย
อนุสาวรีย์ย่าเหลนั้น เป็นอนุสาวรีย์สุนัขของพระมหากษัตริย์ ที่มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยและอาจเป็นของโลกด้วย
ท่านผู้อ่านสังเกตไหมครับว่า เวลาเราไปงานศพ เมื่อเจ้าภาพขึ้นไปทอดผ้า และพระสงฆ์จะขึ้นไปพิจารณาผ้าซึ่งเราเรียกว่า ผ้าบังสุกุล นั้น เมื่อท่านเดินลงจากเมรุ จะเดินด้วยกริยาสำรวม
ถามว่า...เพราะอะไรน่ะหรือ ?...ตรงนี้ตอบไม่ยากเลย คือ...
...เป็นเพราะตอนที่พิจารณาผ้าบังสุกุล พระคุณเจ้าต้องสวด “อนิจจา วตสังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน เตสังวู ปสโมสุโข....
อนิจจา วตสังขารา หมายถึง สังขาร ทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ
อุปปาทวยธัมมิโน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็แก่ไปทีละน้อย คือทรุดโทรมไปนั่นเอง
อุปัตชิตวา นิรุตฌันติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วในที่สุดก็ตาย ให้ทำใจนึกถึงภาพคนตายว่า เวลานี้ คนที่เขาเสียชีวิตแล้ว ได้มานอนอยู่ต่อหน้าเราขณะนี้นั้น จะมีสภาพเป็นอย่างไร?
เตสังวู ปสโมสุโข ร่างกายที่ผุพังเปื่อยเน่าอย่างนี้ ถ้าเรางดไม่มีเสียได้แล้ว องค์สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสว่า จะมีกายแก้ว คือ พระนิพพาน พึงระลึกเอาไว้ว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง หากตัวเรายังยึดเกาะความไม่เที่ยงมันก็ทุกข์
เมื่อได้พิจารณาความตาย ความไม่เที่ยงของสังขาร ว่าคนเรานั้นเกิดมาก็หนีไม่พ้นความตาย ไม่ว่ายากดีมีจน ในที่สุดก็หลีกลี้หนีจากมรณะไปไม่ได้สักคน
ดังนั้นไม่ว่าพระสงฆ์ที่ได้รับนิมนต์ขึ้นไปพิจารณาผ้า จะมีฐานะเป็นพระราชาคณะชั้นไหนก็ตาม แต่พอได้พิจารณาสังขาร ความตาย ก็ได้สติว่า
ตัวพระคุณเจ้าเองเองนั้น ก็ต้องถึงแก่ความตายไม่ช้าก็เร็ว ก็พลันเกิดสติ จึงเดินลงจากเมรุด้วยอาการสงบ เสงี่ยมทุกรูปด้วยกันทั้งนั้น ไม่เชื่อขอให้ท่านลองสังเกตดู
ที่เล่ามานี้ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณหลวงพ่อของผม สอนเอาไว้และจำไม่ลืม !
พระท่านเทศน์เอาไว้ว่า เมื่อคนเราตอนออกมาเป็นทารกก็แผดเสียงร้อง แล้วกำมือแน่น ราวกับจะบอกว่า ข้าเกิดมาแล้ว จะต้องมากำ กอบ โกย และฉกฉวย เอาทุกอย่างในโลก มาเป็นของตัวเองเสียหมดทุกอย่าง (พวกนักการเมืองฟังไว้) แต่พอตายลง ต่อให้มือของตัวเองยังกำอยู่ บรรดาญาติมิตรหรือไม่ก็สับปะเหร่อ ที่จัดการศพก็จะจับมือแบออก เพื่อรอรับการรดน้ำจากลูกเมียญาติมิตร หุบมือกลับเข้าไปยังไม่ได้ เพราะตายแล้วร่างกายเกร็งไปหมด ไม่ทางเหยียดออกมารับน้ำเองได้ เพราะโรงพยาบาลก็ฉีดยาไว้จนแข็งทื่อ เป็นเครื่องหมายแสดงว่าคนตายแล้วนั้น ไม่สามารถเอาอะไรไปจากโลกนี้ได้เลย
ทรัพย์ศฤงคารทั้งหลายที่มีเป็นแสนล้าน คฤหาสน์บ้านช่องที่ดูกว้างใหญ่ไพศาลของผู้ตาย ที่ชาวบ้านต่างพากันนินทาว่า ใหญ่โต เหมือนปราสาทราชวัง งดงามโอ่อ่า เหมือนจันทร์เจ้าเจิดจ้าส่องหล้าฟ้าดิน แต่ชีวิตเมื่อละโลกไปแล้ว ที่อยู่ที่คนข้างหลังไม่ว่าเป็น ลูกเมียหรือญาติมิตรเขาจับร่างเจ้าตัวใส่แค่ โลงสี่เหลี่ยม หรือหีบศพห้าเหลี่ยม หกเหลี่ยม แล้วแต่เขาจะจัดหามาให้...เท่านั้นจริงๆ
ทรัพย์สมบัติที่พากเพียรหามาชั่วชีวิต ไม่ว่าด้วยความซื่อสัตย์ หรือโกงเขามา บางคนก็ได้มาด้วยการทุจริตต่อแผ่นดิน โกงที่ดินได้แม้ที่เป็นของพระสงฆ์องค์เจ้า ซึ่งบาปหนาเป็นที่สุด หรือไม่ก็เอาเปรียบประชาชนในทุกๆด้าน เป็นการทรยศหักหลังชาวบ้าน ที่เขาอุตส่าห์เลือกตัวมาสู่อำนาจ คนสันดานทุจริตพวกนี้ ถ้ามีช่องเปิดเมื่อใด เป็นต้องกระโดดใส่ ฉกฉวยเอาผลประโยชน์ของประชาชน มาเป็นสมบัติพวกระยำอย่างตนทันที โดยอ้างเหตุผลต่ำเตี้ย อวดอ้างว่า
พวกตัวนั้นเป็น “ผู้มีอุปการะคุณต่อบ้านเมือง” แล้วเอาหุ้นในทรัพย์สินที่เป็นสมบัติของชาติไปจำหน่ายจ่ายแจก หรือขายราคาแสนต่ำให้ตนและพวกพ้อง อย่างสนุกสนาน เริงร่า ปล่อยส่วนที่แพงกว่าให้คนที่พอมีอันจะกิน ซื้อหาได้อยู่บ้างพอให้ดูไม่น่าเกลียดน่าชังไปนัก ทิ้งให้ราษฎรตาดำๆส่วนใหญ่ นั่งดูพวกกินบ้านกินเมืองเสวยสุข มั่งคั่ง ล้นเหลือ ด้วยการเอาเปรียบชาวบ้านอย่างไม่อาย โดยที่ผู้คนไม่สามารถทำอะไรอัปรีย์ชนพวกนี้ได้เลย
อย่างไรก็ดีท้ายที่สุด ทรัพย์สมบัติที่พวกวายตลิ่ง ที่โกงจากประชาชนตาดำๆไปได้....ก็จะต้องพลัดพรายหายไป ด้วยแรงสาปแช่งของผู้คนในบ้านเมือง หรือความตายของตัวเอง
ขอท่านลองทบทวนดู หลีกไปไม่ได้สักคนเลย จริงๆ !
เมื่อชีวิตดับลง คงมีแต่ผลกรรมที่ทำไว้ในชาตินี้ ไม่ว่าเป็นกรรมดีหรือชั่ว ที่จะต้องหอบเอาติดตัวไป ทำให้นึกถึงคติธรรมคำสอน ที่พระท่านให้เราประกอบความดี รักษาศีล ฟังธรรม ทำบุญสุนทานอยู่เสมอ ผลบุญจะอำนวยช่วยให้เอาติดตัวไปในชาติหน้า เหมือนดังกลอนคติธรรมคำสอนที่มี่ ว่า
อันยศลาภ หาบไป ไม่ได้แน่
เว้นเสียแต่ ต้นทุน บุญกุศล
ทิ้งสมบัติ ทั้งหลาย ให้ปวงชน
แม้ร่างตน เขายังเอา ไปเผาไฟ
พูดถึงเรื่องโลงแล้ว ก็ทำให้นึกถึงงานศพ
การพิจารณาเรื่องความตาย ไม่ให้ผู้คนตั้งอยู่ในความประมาทนั้น สำนวนจีนที่คุ้นหูเราที่บอกว่า “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” คือถ้าไม่เห็นความตาย หรือ ความหายนะ มาปรากฏที่ตรงหน้าก็ไม่รู้สึกรู้สา จนกว่าจะเห็นหรือประสพด้วยตนเองนั่นแหละถึงจะรู้ว่า
ผลร้าย...ของการระเริงอยู่ในความประมาทนั้น เป็นอย่างไร !
พวกระยำทำร้ายบ้านเมือง...ขอให้พวกเราชาวบ้านแช่งมันทุกวันๆเข้าไว้ ไม่นานนักคนพวกนี้ต้องโดนฟ้าดินลงโทษอย่างสาสม ให้มันได้หลั่งน้ำตาและได้รับรู้ก่อนตายว่า
แรงกรรมนั้น มีจริง !!
โลงศพนั้นเป็นของที่ใช้สำหรับคนตายก็จริง แต่ธรรมดาคนใช้คือผู้ตาย ไม่ได้เป็นคนซื้อหา แต่ผมเคยเห็นคนแก่ที่ซื้อโลงศพมาไว้ที่บ้าน วางเอาไว้ข้างเตียง เวลาแกนอนบนที่นอน พอใกล้หลับจะพยายามกลิ้งให้ตกมานอนในโลง ที่ปูด้วยเบาะอย่างดี
เหตุที่ทำอย่างนี้ เพราะผู้เฒ่าท่านนี้คนเขารู้กันดีว่า เป็นคนขี้โกง ร่ำรวยมหาศาลมาจากการเอารัดเอาเปรียบคนอื่น จึงกลัวว่าเวลาตัวแกตายจะไม่มีใครเอาร่างแกลงโลง เพราะทุกคนเกลียดหมด ที่ตำรวจมีโอกาสเข้าเห็นว่าแกมีโลงอยู่ในบ้าน ก็เพราะลูกชายคนที่ดูแลแกอยู่ ทำอีท่าไหนไม่ทราบได้
หัวทิ่มลงไปในโอ่งน้ำ ที่มีน้ำอยู่ไม่ถึงครึ่งโอ่ง ตายคาโอ่งนั่นแหละ !?
ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ใดๆ น่าประหลาดมาก และเมื่อแพทย์ชันสูตรก็พบว่าตายในน้ำ สรุปเอาว่าคงเป็นอุบัติเหตุ เพราะผู้ตายมีโรคลมชักเป็นโรคประจำตัว คนบอกว่าเป็นเพราะกรรมที่คนเป็นพ่อก่อไว้
ผมไม่ได้ติดตามว่าเมื่อผู้เฒ่าคนนี้ เมื่อถึงแก่กรรมแล้ว ได้ลงไปนอนในโลงที่อุตส่าห์ตระเตรียมทันหรือเปล่า เพราะโยกย้ายออกจากท้องที่นั้นไปเสียก่อน สอบถามก็ไม่มีใครทราบ
มีเพลงของสุนทราภรณ์ ที่มีเนื้อร้องเกี่ยวกับโลงอยู่เพลงหนึ่งชื่อ ‘คู่ทาส’ ซึ่งคุณอรุณ หงสวีณะ เป็นผู้เขียนคำร้อง ส่วนทำนอง ครูเอื้อ สุนทรสนาน เป็นผู้ประพันธ์ ขึ้นต้นว่า
ขอครวญคำ ข้ามฟ้าลอยมาแด่เธอ
น้ำคำวอน คลั่งเพ้อละเมอจากใจ
รักเราสองสัมพันธ์ แต่รักนั้นอยู่ไกล
เฝ้าหลงอาลัย ร้องครวญไป
ฝากหัวใจลอยล่อง.....
นี่เป็นคำคร่ำครวญความรัก ของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีต่อหญิงสาว ที่ตนหลงใหลใฝ่ฝัน พอถึงท่อนแยกเพลงนี้ ฝ่ายชายเขาบอกว่า
เป็นกะลาให้ถือ แม้เธอคือขอทาน
เป็นบัลลังก์ตระการ แม้เธอเป็นนางพญา
เป็นโลงทอง รองรับแม้ดับชีวา
เป็นวิมานผ่านฟ้าแด่เทพธิดา นงคราญ
เพลงนี้ได้ยินครั้งแรกคุณ ‘วินัย จุลบุษปะ’ ขับร้องอัดแผ่นเสียง เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ยังจำได้ดี
ดูตามเนื้อเพลงแล้ว ฝ่ายชายดูท่าจะรักผู้หญิงจริงๆ หากฟังเผินๆทั้งหมด คุณผู้ชายน่าจะจริงใจ เพราะเจ้าตัวจะขอติดตามฝ่ายหญิงไปทุกชาติๆ ขนาดนั้นเลย
หากคนที่ตัวรัก ไปเกิดเป็นขอทาน ก็จะขอไปเป็นกะลาให้คนรักถือ สำหรับใช้ใส่เศษสตางค์ที่ขอทานคนรักขอจากชาวบ้านเขา จะเป็นบัลลังก์ตระหง่าน เพื่อให้เธอผู้เป็นราชินีในดวงใจประทับนั่ง...และขอเป็นวิมานอันโสภาน่าอยู่ ถ้าหากเธออันเป็นที่ตายจากโลกไปเกิดเป็นนางฟ้า จะได้ให้แม่ทูนหัวได้อาศัยมีความสุขเรียกว่าต้องติดกันเป็น ‘ตังเม’ ไม่ยอมให้ห่างเลยทีเดียว ว่าอย่างนั้นแหละ
ฮู้ยยยยยยยยย...ช่างหวานสนิท เสียนี่กระไร !
ที่รำพันมาทั้งหมดนั้น ก็ฟังดูดี แต่พอถึงท่อน เป็นโลงทอง รองรับแม้ดับชีวา ตรงนี้ผมเกิดจั๊กจี้ขึ้นมาหน่อยๆ เพราะไพล่คิดไปว่า....
ถ้าเกิดมี ‘นายผู้ชาย’ ที่ไหนสักคนหนึ่ง แทนที่จะไปร้องเพลงนี้ให้ ‘นายผู้หญิง’ กลับดันไปร้องอ้อนให้ ‘เจ๊ใหญ่’ ฟัง จนเป็นขี้ปากชาวบ้านที่แอบนินทาเอา ว่า
เจ๊เป็นที่รักของ ‘นายผู้ชาย’และมีอำนาจเหนือ ‘นายผู้หญิง’ ทำให้บริวารทั้งหลายรู้สึกยำเกรง มากกว่าคนที่เป็นเมียนายผู้ชายแท้ๆ พอบริวารของสองหญิงนี้ มีเรื่องกันคราใด คนของฝ่าย ‘นายผู้หญิง’ มีอันเจ๊งราบคาบทุกทีไป...น่าสงสารจริง
อย่างนี้ก็ต้องขอห้าม อย่างเด็ดขาดเลยนะจ๊ะ เพราะอะไรนั่นหรือ?...ตอบได้เลยว่า
ที่ฝ่ายชายจะขอเป็น ‘โลงทอง’ ให้น่ะ หมายถึง ‘เจ๊ใหญ่’ เธอต้อง ‘เท่งทึง’ คือ เดทสะมอเร่ หรือมีอันล้มหายตายไปจากโลกนี้ กลายเป็น ‘ผี’ เรียบร้อยแล้ว
ส่วนพ่อพระเอกคือ ‘นายผู้ชาย’ ที่ร้องเพลงบอกผู้คนเขา ว่าจะเป็นหีบศพลายทองรองรับ ‘เจ๊ใหญ่’ โดยไม่เกรงอกเกรงใจ ‘นายผู้หญิง’ คู่ทุกข์คู่ยาก ดูถ้าจะลำบากแน่...
...หากแกขืนร้องออกไปอย่างนั้นจริงๆ คงฟังไม่จืดเลยทีเดียวนะ เพราะเผลอๆผู้คนเขาจะร้องตะโกน เสียดสีเอาว่า
“เฮ้ย !...นั่นมัน ‘ผีกับโลง’ นี่หว่า !!”
ทำเล่นไป...ผู้คนเขาคิดกันอย่างนี้จริงๆ ไม่เชื่อลองไปถามคนใกล้ชิดกับ “สามคนอลวน” นี้ดูเอาเอง...
...เห็นอย่างนี้แล้ว เดาได้ว่าวันข้างหน้า คงจะต้องยุ่งตายชัก แล้วนะขอรับ...
...จ้าววววว..นายยยยย.... !!!...
.................................
หมายเหตุ ระหว่างนี้ผมมีภารกิจที่ต้องเดินทาง จึงจำเป็นต้องส่งต้นฉบับล่วงหน้าก่อน ทีละหลายๆวัน หรือเป็นสัปดาห์ บางฉบับอาจมีการพิมพ์ผิดอยู่บ้าง ต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่เคารพด้วย
ฉบับหน้า กาแฟขม...ขนมหวานตอนที่ ๒๐๙ ชื่อตอนฟังแล้วค่อนข้างจะน่ากลัว คือ
“จะกรีด...ให้ยับ !?” เจ้าของคอลัมน์ได้ส่งต้นฉบับไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วน ใครกรีดใคร? จะสนุกสนานแบบ ‘มันยกร่อง...ฟักทองแตงไท’ ขนาดไหนนั้น....ต้องติดตามกัน
ใครพลาดน่าเสียดาย นะขอรับ...ครับ...กระผม !!