เช้าวันนี้....จิบกาแฟขมแล้วให้ระลึกถึงความหลัง ครั้งยังทำงานอยู่ในกรมตำรวจ ตอนเช้าบางวันอยากทานข้าวต้ม ก็เดินไปที่โรงอาหารในบริเวณกรม มีกับข้าวมากมายหลายอย่าง ให้เลือกรับประทาน ร้านข้าวต้มกับในกรมตำรวจซึ่งมีอยู่ร้านเดียว มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้คนในเรื่องรสชาติที่อร่อย ถูกปาก และที่สำคัญราคาถูก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐก็เคยเขียนถึง เพราะเช้า กลางวัน และเย็น นักข่าวในกรมก็พากันมานั่งกินข้าวคุยกันเสมอ
มีเพื่อนของผมอยู่คนหนึ่งเป็นนายตำรวจสันติบาล เขาสั่งน้ำข้าว ที่ร้านข้าวต้มมากินทุกเช้าทุกเช้า โดยเรียกน้ำข้าวว่าเป็น กาแฟหมา ซึ่งเป็นศัพท์ของคนไทยยุคสงครามนั่นเลยทีเดียว
ปัจจุบันเราหุงข้าวไม่เช็ดน้ำ เพราะหุงด้วยหม้อไฟฟ้า เราจึงไม่มีน้ำข้าวไปเลี้ยงหมา เหมือนสมัยก่อน สุนัขในบ้านคนที่มีฐานะหน่อย เลยกินอาหารเม็ดอาหารกระป๋อง เลยทำให้ธุรกิจด้านอาหารหมานี้เจริญรุ่งเรืองเอามากๆ ไปตามซุปเปอร์มาเก็ตก็มีให้เลือกมาก ไม่จำเป็นต้องไปถึงร้านขายอาหารเจ้าตูบโดยเฉพาะก็ได้
ทุกวันนี้ ผมจะได้รับจดหมายและโทรศัพท์ที่ปรึกษาหารือ จากเพื่อน ลูกศิษย์ในเรื่องต่างๆ เช่น บางคนพลาดพลั้งถูกดำเนินคดีในข้อหาหนักเบาต่างกัน จากการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งก็ได้ส่งทนายพรรคพวกไปช่วยกันจนศาลยกฟ้อง และกลับเข้ารับราชการไปแล้ว หลายคนก็หารือเรื่องถูกสอบสวนทางวินัย
มีอยู่หลายคนปรึกษาปัญหาหัวใจราวกับว่าผมเป็น ศิราณี บางคนหารือเรื่องการเรียนของลูก บ้างก็ปรับทุกข์เพราะทะเลาะกับคนในครอบครัว ทำให้ชีวิตยามนี้ของผมมีกิจกรรมต่างๆไม่น้อย จนความตั้งใจที่นิยายเรื่องยาวซึ่งต้องใช้สมาธิพอสมควร ยังไม่ลุล่วงลงไปเสียที คิดจะหลีกความวุ่นวาย ขึ้นไปเขียนที่แม่ฮ่องสอนตอนหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง แต่ก็อาจมีภารกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศ จนทำให้ความคิดอาจเป็นหมันไปอีกก็ได้
วันนี้ ผมมีจดหมายจากรุ่นน้องที่สนิทกันพอสมควร หารือเกี่ยวกับเรื่องที่เขากำลังเป็นทุกข์ร้อน แต่ไม่ใช่เรื่องที่ผมพูดมาข้างต้น หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงสามัญคือ “หมา”
จดหมายที่เขาเขียนมา ซึ่งผมเอามาปรับปรุงสำนวนนิดหน่อยให้น่าอ่านขึ้น เห็นว่าอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน ถ้าบังเอิญอาจตกต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากอย่างเขา ลองอ่านดูครับ
ที่บ้าน
๓๑ ตุลาคม ๒๕๔๘
อาจารย์ครับ
ผมมีปัญหาหนักอกอยู่มาก ที่ต้องเรียนหารือ ซึ่งดูเผินๆอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคนอื่น แต่สำหรับผมแล้วไม่ใช่เรื่องเล็กเลยทีเดียว
เรื่องมีอยู่ว่า
ผมเองนั้นไม่ได้เป็นคนที่ชอบเลี้ยงสัตว์ และแม่บ้านของผมก็มีนิสัยเดียวกัน คือไม่อยากเอาสัตว์มาทรมาน เนื่องจากเราไม่มีลูกด้วยกัน ชีวิตก็เป็นปกติสุขดี ต่อมาพี่สาวของภริยาซึ่งชอบเลี้ยงสัตว์ วันหนึ่งหมาที่บ้านของเธอออกลูกมาจำนวนมากกว่าจำนวนที่เธอตั้งใจไว้ จึงได้เอามายัดเยียดให้ภริยาผมหนึ่งตัว เป็นหมาพันธ์มินิพินเชอร์ ตัวเล็กๆเหมือนชื่อมัน เราจำใจเลี้ยงมันไว้ในบ้าน จะเปิดให้ไปวิ่งออกกำลังเฉพาะเช้าเย็นเท่านั้น
ภริยาของผมเป็นผู้เอาใจใส่ในการเลี้ยงดูมันเป็นอย่างดี อาจเป็นเพราะเธอเกรงใจพี่สาวก็ได้ เวลาคุณพี่ของเธอมาเยี่ยม ผู้เป็นภริยาของผมเป็นต้องโดนซักละเอียดว่า
การกินอยู่ของหมาเป็นอย่างไร? ให้กินวิตามินถูกต้องหรือไม่? พาไปฉีดยาเมื่อไหร่? ตรงตามที่หมอนัดไหม? เมื่อกินยาแล้วอาการเป็นอย่างไร? ควรเปลี่ยนมาใช้อาหารหมายี่ห้ออะไรจึงจะเหมาะสมฯลฯ คำถามร้อยแปดพันเก้า ระดมถามแม่บ้านของผมถี่ยิบ แต่ไม่เคยถามเลยว่า
“วันนี้เธอทำอะไรให้แฟนทาน ?”
“น้ำพริกแกงที่จตุจักรเขาดีนะ ทำไมไม่ลองซื้อหามาผัดฉ่ากับปลาอินทรีให้แฟนกิน เขาชอบเผ็ดไม่ใช่หรือ ? เจ้านี้ได้เลยเผ็ดแสบริดสีดวงเลยนะ จะบอกให้ !” หรือ
“ทำไมไม่ทำสเต๊กคิดนี่พายอย่างที่สามีเธอชอบให้เขาทานล่ะ ทำไม่เป็นก็ไปเรียนซะ ตอนนี้เขามีที่สอนอยู่ตั้งหลายแห่ง”
ประโยคดีๆเหล่านี้ พี่สาวที่แสนวุ่นวายของภริยา ไม่เคยสรรมาถามน้องเธอเลย เอาใจใส่แต่เรื่องหมาเท่านั้น ราวกับว่าบรรดาคุณตูบเหล่านี้ เป็นญาติในชาติปางหลังของเธอ เวลาเดินเข้ามาในบ้าน แทนที่จะทักกับผมและภริยาเสียก่อน กลับไปพูดจากับหมาอยู่หลายนาที กว่าจะนึกได้ว่ายังไม่ได้ยกมือรับไหว้ผม แต่ถึงกระนั้นตัวผมเองยังไม่ได้เสียมารยาทถึงกับด่าพี่สาวของเมียแต่อย่างใด เพียงแต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้เป็นสมบัติของตัวเองต่อไปเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ไม่เคยคิดว่า จะให้หมาที่ต้องรับมาเลี้ยงอย่าจำใจ ได้มีโอกาสเผยแพร่พันธ์ของมันให้เป็นภาระผมอีกต่อไป เมื่อพี่สาวของภริยาได้มาชวนเธอไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัว ผมเองก็รีบเอาหมาที่บ้านไปทำหมันโดยมิชักช้า ซึ่งเป็นการตัดภาระที่อาจขึ้นมาในอนาคตอีกต่อไป เมื่อภริยาของผมกลับมา ก็ไม่ได้บอกข้อความนี้ให้ทราบ
มีความพยายามหลายครั้งโดยพี่ภริยา ที่จะเอาหมาประจำบ้านตัวนี้ไปผสมพันธ์ แต่ผมได้ใช้กลยุทธขัดขวางทุกประการ จนมันจะมีอายุหลายปีและเป็นสาวแก่แล้ว ก็ไม่เคยเมคเลิฟกับเจ้าตูบเพศผู้ตัวไหนเลย พรหมจารีคงยังหนาและเหนียวอยู่ แต่มันก็ไม่เห็นจะทุรนทุราย อาจเป็นเพราะทำหมันเรียบร้อยส่วนหนึ่งก็ได้ จึงไม่เห็นมันมีวี่แววจะมีระดูแต่อย่างใด ซึ่งก็ทำให้ผมมีความสุขดี ที่ไม่ต้องการให้จำนวนสุนัขในบ้านเพิ่มอยู่แล้ว....
...แต่แล้วจำนวนสุนัขบ้านของตัวเอง ก็เพิ่มขึ้นโดยบังเอิญ
บ้านผมเป็นซอยเล็กแยกจากซอยใหญ่ ซึ่งเป็นที่ดินที่เจ้าของเขาจัดสรรแบ่งเป็นล๊อกๆผมปลูกบ้านไว้ร่วมยี่สิบปีแล้ว บัดนี้ได้กลายเป็นชุมชนที่หนาแน่นด้วยบ้าน แต่กลางวันไม่ค่อยมีคนมากนัก เพราะต่างออกไปทำงาน เกือบทุกบ้านเลี้ยงสุนัข แต่กระนั้นก็มีหมาจรจัดเข้ามาในซอยบ้าง แต่ก็หายไปเพราะถูกเทศบาลจับไปบ้าง บางทีหลงเข้ามา ๓-๔ ตัว พอตั้งหลักปักถ่อได้ไม่เท่าไหร่ ผมก็เห็นนอนตายเกลื่อนซอย ดูแล้วก็บอกได้ทันทีว่า หมาเคราะห์ร้ายเหล่านี้ถูกยาเบื่อ แสดงว่ามีพวกอำมหิตอยู่ในละแวกบ้านของผมแน่
วันหนึ่ง หมาที่เป็นคู่กรรมกับผมก็ปรากฏตัวขึ้นมา
มันเป็นหมาที่มอมแมมที่สุดในชีวิตที่เคยเห็นมา เป็นพันธ์อะไรไม่ทราบได้ ตัวขนาดหมาไทยธรรมดาที่เห็นคุ้นตากัน แต่ขนมันยาวคลุมหน้าคลุมตา สีขาวอมเทาแต่หลุดร่วงไปเกือบหมด ร่างกายของมันมีบาดแผลคงเกิดจากการเกา และร่องรอยถลอกปอกเปิกที่คงเกิดจากการถูกหมาอื่นกัดทำร้ายเอา
เจ้านี่เป็นสุนัขเพศเมีย และคงออกลูกมาแล้ว เพราะหัวนมที่เรียงแถวเหี่ยว ย่นและยื่น และมีสีคล้ำดำเหมือนหัวนมผู้หญิงมีลูกแล้ว แต่สำหรับเจ้าตัวนี้ไม่รู้ว่าผัวมันเป็นใครที่ไหน เพราะมันมาตัวเดียวไม่ได้เอาผัวมาด้วย
ผมเปิดประตูบ้านออกไปเจอมันพอดี เราสบตากันแวบหนึ่งมันก็กรากเข้ามาหาผม หางแกว่งระริกด้วยความดีอกดีใจ หน้าของมันซุกไซ้กับรองเท้าผ้าใบของผม ส่งเสียงคราดอี๊ดๆอ๊าดๆในลำคอ ราวกับว่ามันเจอคนรักที่สุดในชีวิต
ผมรู้สึกตกใจเล็กๆ สลัดเท้า เงื้อไม้ที่ถือติดมือทุกครั้งตอนเดินออกนอกบ้านขึ้นสูง พร้อมกับส่งเสียงตวาดลั่นว่า
“ไป ! เดี๋ยวตีตายชัก !!”
น่าแปลก ที่มันไม่ถอยตามเสียงร้องขู่อันดัง แต่กลับซุกเข้ามาที่รองเท้าผมแล้วล้มหงายท้อง ซึ่งอาจารย์เองเคยบอกว่า หากหมาทำกิริยาอย่างนี้แสดงว่ามันยอมแพ้ หรือยอมเป็นพวกด้วย เลยหวดมันไม่ลง และเดินจากมันไปอย่างไม่สนใจ แต่เมื่อผมไปซื้อของที่ร้านชำหน้าซอยเสร็จเดินกลับมา ก็ยังเห็นมันอยู่หน้าประตูบ้าน และแสดงกิริยาอย่างเดิม จึงเงื้อไม้ขึ้นขู่อีก มันก็ไม่ถอย นึกจะหวดเข้าสักป้าบด้วย แต่ก็ไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไรกับมัน
ผมเองเป็นคนกลัวโรคพิษสุนัขบ้าเป็นที่สุด เพราะอาจารย์เคยเล่าว่า นายตำรวจทางหลวงรุ่นพี่ตายเพราะพิษสุนัขบ้ามาแล้ว ทั้งๆที่หมาที่กัดตัวนิดเดียว และท่านลงไปช่วยด้วยเกรงว่ามันจะถูกรถทับตาย มันเลยงับเอามือเข้าให้ ทำให้ติดเชื้อร้ายและไม่ได้รักษาเพราะเห็นว่าเป็นแผลถลอกเท่านั้น ในที่สุดท่านก็ติดเชื้อร้ายจนถึงแก่กรรมก่อนเวลาอันควร
นี่...เป็นเหตุที่ผมไม่อยากยุ่งกับหมาจรจัด เพราะกลัวได้รับอันตรายนั่นเอง
หลังจากที่พบกับมันครั้งนั้นแล้ว ผมก็พบมันทุกวัน เพราะเจ้าตัวนี้มันปักหลักอยู่ที่หน้าบ้านของผมเป็นการถาวร มองลอดประตูบ้านที่เป็นซี่กรงเหล็กทุกครั้ง เป็นต้องเห็นมันอยู่ที่ตำแหน่งกลางประตูบ้าน โดยไม่ขยับไปไหน หรือหากมันเดินไปไกล พอได้ยินเสียงประตูเลื่อนก็จะวิ่งปรี่เข้ามาหาทันที
ทุกครั้งที่เจอะหน้ากัน มันก็ยังแสดงอาการดีอกดีใจ หกคะเมนตีลังกา ร่าเริงซะเหลือเกินจนผมแปลกใจ แต่ก็ยังไม่สนใจที่จะทักทายกับมัน “ทำนองเอ็งจะทำอะไรก็เรื่องของเอ็ง ไม่ใช่เรื่องของข้า !” ซึ่งแม้จะเฉยเมยอย่างไร อาการปิติยินดีที่ได้เห็นหน้าผมของมัน ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้น เมื่อวันหนึ่งผมโผล่ออกจากบ้านตอนเช้า จะเดินไปร้านปากซอยตามกิจวัตร เห็นมันกำลังกินอาหารที่เขาทิ้งแล้ว โดยใส่ถุงพลาสติก และกำลังกินอย่างหิ้วโหย แต่เมื่อมันเห็นผม ก็แสดงความดีอกดีใจ กระโดดไปมา ทั้งๆที่ถุงยังคาปากอยู่ แสดงว่าเมื่อมันเห็นหน้าผม มันสามารถละเลยแม้แต่การกินอาหารได้เพียงเพื่อทักทายกับผม
รู้สึกชอบมันหน่อยๆ ขึ้นมาแล้ว !
วันนั้นเอง ตอนเดินกลับมาผมซื้อหมูปิ้งติดมือมาให้มันหลายไม้ โดยให้เขารูดเอาแต่หมูใส่ถุง แล้วเทให้มันที่โคนเสาไฟฟ้าหน้าบ้าน มันจัดการเรียบวุธภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว แล้วหันมามองผมคล้ายกับจะถามว่า
“มีอีกไม้ ?”
“ไอ้ตะกละ !” ผมตะคอกมัน
หลังจากวันนั้น เลยเกิดภาระขึ้นกับตัวเอง ที่จะต้องหาของให้มันกินทุกครั้งที่เดินออกจากบ้าน แถมความห่วงใยก็ยังเลยไปถึงต้องชะโงกหน้าไปดูว่า มันจะหาอะไรข้างถนนกินได้บ้างหรือเปล่า หรือต้องอด?
เลยมีภาระต้องหาของกิน ให้มันทั้งตอนเช้าและเย็น
ปีนี้ฝนตกบ่อยมาก วันหนึ่งผมขับรถกลับบ้านพระพิรุณกระหน่ำหนัก เห็นมันยืนเปียกฝนมะล่อกมะแล่ก ตัวสั่นเพราะความหนาว ให้นึกเวทนา เพราะบริเวณหน้าบ้านไม่มีอะไรที่ให้มันหลบได้ นอกจากเสือกตัวเองเข้าไปตรงพุ่มไม้หน้าบ้านผม ตอนแดดออกพอหลบร้อนได้ แต่พอฝนตก ดินหน้าบ้านกลายเป็นเลน มันเลยเข้าไปหลบไม่ได้
แต่มันยังแสดงความเริงร่า เมื่อได้เห็นผม
วันนั้น ผมต้องเปิดประตูรับมัน ทั้งที่ใจไม่อยาก มันเดินช้าๆเข้าบ้านผม แล้วตรงไปซุกมุมโรงรถที่มีถุงปุ๋ยใช้แล้ววางซ้อนอยู่สองใบ ล้มตัวลงนอน หันหน้ามาทางผมด้วยสายตาคล้ายจะเว้าวอนถามว่า
“แน่ใจนะ ว่าอยากให้อยู่ด้วย ?”
ให้นึกหมั่นไส้ มันอยู่ในใจเหมือนกัน
จากวันนั้น เจ้าตัวดีได้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของ ‘บ้านทรายทอง’ เรียบร้อย
มันอยู่ในบ้านอย่างมีความความสุข แต่ความทุกข์กลับมาอยู่ที่ผม เพราะบาดแผลอันเกิดจากโรคผิวหนังและการใช้ชีวิตข้างถนน ทำให้ตัวของมันมีกลิ่นแรงหึ่ง เลยยังไม่กล้าจับมันอาบน้ำ แต่ใช้น้ำผสมเดททอลใส่กระป๋องฝักบัวรดต้นไม้อาบให้มัน จนกลิ่นจางลงแล้ว ก็เริ่มกรรมวิธีให้ยามันตามสไตล์ของผม คือเอาน้ำหนักตัวหมาเป็นเกณฑ์ และผสมยาปฎิวีนะให้มันกินเหมือนคน ส่วนบาดแผลทั้งหลาย เอายาผงวิเศษตราร่มชูชีพหลายซอง ฉีกซองออกใส่กระป๋องพริกไทย เขย่าโรยแผลให้ และล้างแผลทุกวันด้วยน้ำเกลือธรรมดา แต่ยังไม่กล้าแตะตัวมัน และให้ชื่อมันว่า
“สุดสวย”
ภริยาผมถามว่า ทำไมตั้งชื่ออย่างนั้น เลยตอบเธอไปว่า เคยอ่านพบว่าแม้แต่ต้นไม้ หากเราพูดเพราะด้วยก็จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว หากผมตั้งชื่อหมาว่ามันสวยหรือหล่อ มันก็อาจเป็นอย่างต้นไม้ก็ เธอทำหน้าเหมือนได้ฟังเรื่องประหลาด แล้วบอกว่า
“นี่มันหมานะ
ไม่ใช่ต้นไม้นะยะ!”
เวลาเพียงไม่กี่วันได้พิสูจน์ว่าผมถูก...เธอผิด
แผลของมันเริ่มหาย ในไม่ช้าก็มีขนงอกขึ้นมาใหม่ บังเอิญลูกน้องซึ่งมีรถกระบะมาเยี่ยมที่บ้าน เลยได้จังหวะ ให้เขาพาขึ้นรถไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลสัตว์ ทำการตรวจและฉีดยาป้องกันทุกโรคเท่าที่มีแล้วพากลับบ้าน
จากนั้นหมามอมแมมเนื้อตัวเหม็นหึ่ง กลายเป็นหมาที่มีขนปุกปุยขึ้นเต็ม ดูมีสกุลรุนชาติขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ภริยาผมมองด้วยความทึ่ง
ส่วนคุณพี่เมียที่ดูท่าโวยวายครั้งแรกเมื่อเห็นว่า เอาหมาขี้เรื้อนเข้าบ้านทำไม เดี๋ยวเอาโรคมาติดหมาที่เธอยัดเยียดให้มาเลี้ยง พอพี่สาวของภริยากลับมาเยี่ยมที่บ้านครั้งหลังเธอก็ทำหน้าฉงนสนเท่ห์ ได้แต่พูดแดกดันว่า ชาติก่อนผมคงเป็นหมอหมา เลยรักษาเก่ง ซึ่งแปลกที่ผมกลับไม่โกรธหรือถือสา รวมทั้งอดใจไม่ย้อนด้วยคำพูดแบบเจ็บแสบเข้าให้ อีกทั้งยังออกจะภาคภูมิใจหน่อยๆด้วยซ้ำไป
ตอนนี้ผมต้องระวังไม่ให้แม่สดสวยหลุดออกจากบ้าน เพราะเพิ่งอ่านเจอในเวปของ พันธ์ทิพ (pantip.com/café) เมื่อวันที่ ๑๐ ก.ย.๒๕๔๘ คุณที่ใช้ชื่อ คุณหนอนสายตา โพสท์มาบอกว่า
สั่งกำจัดหมาในสวนลุมให้หมด
ตอนนี้ พวกยามได้รับคำสั่งให้ฆ่าสัตว์ทุกตัวทุกชนิดที่อยู่ในสวนลุมให้หมด ไม่เว้นกระทั่งตัวเงินตัวทองที่อยู่ในบึงน้ำ ก็ลากขึ้นมาฆ่าทิ้ง หมาไม่เหลือแล้ว ทุบหัว ฆ่าแล้วเอาไปฝัง เมื่อเช้าเห็นคาตา ถีบหมาที่เดินผ่าน หมาตัวน้อยน่ารักมาก โดนเข้าเต็มๆเลย ร้องโอดโอย เราทนไม่ได้จะเอาเรื่อง ผู้ชายวิ่งออกกำลังกายผ่านมาก็จะเอาเรื่อง ใจดำอำมหิตตั้งแต่......สมัยก่อน ยังเอาหมาแมวไปไว้ที่อื่น นี่อะไร ฆ่าทิ้งหมดเลย อนาถมาก
กรรมเวรมีจริง ขอให้สนองได้เร็วๆด้วย
ผู้คนที่ได้ทราบเรื่อง ต่างพากันก่นด่าเข้ามาเวปแทบไหม้ แล้วอย่างนี้ผมก็ต้องกลัวแม่สดสวยต้องถูกจับไปฆ่าอย่างโหดร้าย เพราะนโยบายเอาหมาไปทำลาย จึงต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษตอนเปิดประตู กลัวหน่วยกำจัดสุนัข กทม.มา ‘อุ้ม’ เอาไปฆ่าทิ้ง
อาจารย์ครับ
เมื่อความงดงามที่กลับคืนมาของเจ้า “สุดสวย” กลับกลายเป็นภาระหนักอกของผม เพราะ ๓-๔ อาทิตย์มานี้ หน้าบ้านของผมกลับเป็นที่ชุมนุมของหมาตัวผู้หลายตัว ที่ล้วนแต่หมายปองแม่สดสวยของผมด้วยกันทั้งนั้น
บางครั้งทั้งเห่า หอน และที่ร้ายหนักคือตะลุมบอนกัดกันเกือบทั้งคืน ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ทำให้เพื่อนบ้านพลอยรำคาญไปด้วย จนผมรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
พอเปิดประตูออกมาตอนเช้า ต้องเป็นเจอหน้าพวกมัน มีหมาตัวผู้อยู่ตัวหนึ่งตัวเล็กนิดเดียว ซึ่งหลงรักแม่สุดสวยของผมอย่างจริงจัง และมีความอดทนสูงเหลือเกิน ไอ้ตัวนี้ฝนจะตกหนัก หรือแดดออกเปรี้ยงๆร้อนจัด ก็ไม่ยอมไปไหน เฝ้ามันอยู่ตรงหน้าบ้านตรงนั้นแหละ ซึ่งทำให้ผมอึดอัดใจมาก เพราะแม่สุดสวยเธอเป็นหมาข้างถนนมาก่อน ขับถ่ายในบ้านไม่เป็น ต้องพาออกไปทำนอกบ้าน เพราะเธอจะต้องขับถ่ายข้างถนนตามนิสัยเดิม ผมจำเป็นต้องพามันออกไปทำธุระตอนเช้า เอาถุงพลาสติกติดมือไปด้วย เพราะต้องใช้โกยขี้หมาหลังมันถ่ายทุกข์เสร็จ
อึเมีย...ยังไม่เคยโกยเลย...นะครับ !
เวลาพาเธอออกไปขับถ่าย ต้องถือไม้พลองออกไปด้วย เพื่อเอาไว้หวดไอ้เจ้าชู้ประตูดินที่พยายามขึ้นหลัง เพื่อ ‘เมคเลิฟ’ กับแม่สุดสวย ระหว่างเธอถ่ายทุกข์ ทำให้เกรงว่าจะเป็นบาปติดตัว กลัวว่าเกิดชาติหน้า กำลังทำอะไรอยู่กับแฟนดีๆ จะโดนใครเอาไม้มาทุบกลางหลังพลั่กเข้าให้ เหมือนที่ตัวเองฟาดหลังหมาหลายตัวในชาตินี้
อาจารย์ว่า ผมควรจะจัดการกับชีวิตอันไม่ปกติสุข เหตุเพราะหมาของผม อย่างไรดีครับ ? กรุณาชี้แนะด้วย
เคารพรัก
จตุจักร
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ พอได้รับจดหมายผมก็เขียนตอบไปสั้นๆดังนี้
คุณ เจ.เจ.ที่รัก
อ่านจดหมายของคุณแล้วขอบอกว่า ตอนนี้ก็ถึงเดือนสิบสองน้ำนองตลิ่ง รักสุขจริงยิ่งกว่าฝัน ชะทิงนองนอย...หมาที่ไหนก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น คุณคงต้องนอนฟังเสียงเห่าหอนของพวกมันไปสักพัก ไม่งั้นเขาจะเรียกว่า “หมาเดือนสิบสอง” หรือ ?
คุณเข้าใจผิด หมาไม่มีระดูเหมือนคน เพราะผู้หญิงมีเป็นประจำทุกๆเดือน เขาเลยเรียกอีกอย่างว่าประจำเดือนแต่หมาไม่เป็นอย่างนั้น อาการของมันจะดูคล้ายคน เฉพาะเวลาตัวเมียเป็นสัด อวัยวะเพศมันจะบวมแล้วหนังจะปริแตกออก มีเลือดซึมคนจึงคิดว่าหมามีระดู
ฟังคุณเล่ารายละเอียดแล้ว ดูเหมือนว่าคุณกำลังจะมีลูกสาวชื่อ “สุดสวย” มากกว่ามีหมาที่ชื่อเดียวกัน
คนโบราณเขาบอกว่า มีลูกสาวก็เหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน จึงไม่น่าแปลกใจที่มีพวกมารอเข้าส้วมสาธารณะหน้าบ้านของคุณหลายตัว โดยเฉพาะฤดูนี้
คุณเองก็แต่งงานมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ยังไม่มีลูก
ผมว่าคุณเองควรจะ‘ขยันทำลูก’ จะดีกว่า ‘ขยันเลี้ยงหมา’ เพราะจะได้ไม่ต้องมีลูกเป็นหมาอย่างทุกวันนี้
ลองเอาไปคิดดู
วาทตะวัน
ป.ล. ผมเป็นอาจารย์คุณ ไม่ได้เป็นอาจารย์หมา อย่าเอาเรื่องสุนัข ไม่ว่าจะเป็นหมาของคุณหรือบรรดาหมาๆของนายกฯ มาถามผมอีกเชียวนะ อยากรู้ให้ไปถาม คุณหมอ ปานเทพ รัตนากร นั่นแหละ...ท่านเป็นของแท้แน่นอน...รีบไปเลย !