xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 203 “ถึงเขาแก่แล้วฉันก็จะรัก...ใครจะทำไม !?”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้...จิบกาแฟตอนเช้าที่บ้านลำพูน อากาศกำลังเย็นสบายออกไปทางหนาวเล็กน้อย ตั้งใจจะชวนรุ่นพี่ที่เป็นเจ้าของบ้านขึ้นเขาที่อยู่ด้านหลัง ไปบ้านขุนตาลของท่านอาจารย์ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เพราะไม่ได้ไปเยือนมานานแล้ว

ขณะกำลังบริหารร่างกายอยู่นั้น ไม่ทราบว่าท่านผู้เป็นเจ้าของบ้านแอบดูอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้ตัวเอาตอนที่ท่านทักว่า

“จะฟิตไปประกวดชายงามอีกหรือ อย่าหักโหมมากนัก เดี๋ยวจะเดี้ยงไปเสียก่อน...วัยพวกเราน่ะสาวๆเขาเรียกว่าเป็น ‘คนแก่’แล้วนะ”

คนพูดหัวเราะเบาๆ

บอกตรงๆว่า ผมเองนั้นไม่เคยรู้สึกว่าตนเองได้กลายเป็น “คนแก่” หรือ ‘ตาแก่’ตามที่รุ่นพี่ของผมบอก เพราะหลายปีก่อนกับปีนี้ หรือเมื่อตอนมีอายุอยู่ในเกณฑ์หนุ่มฉกรรจ์ คือราวอายุยี่สิบห้าปีกับปัจจุบัน ก็ไม่เห็นมันแตกต่างกันอย่างไร ความรู้สึกขณะนี้กลับดีกว่าเมื่อตอนเป็นวัยฉกรรจ์เสียด้วยซ้ำ คือรู้ตัวว่า มีความสุขุมรอบคอบขึ้นกว่าเดิมมาก

ในตอนหนุ่มนั้นมันอยู่ในช่วงกำลังห้าวจัด ความเกรงกลัวมีน้อย นิสัยชอบการสู้รบปรบมือ เชื่อว่าตนเองแข็งแรงและมีวิชาความรู้ ทำให้เป็นที่จับจ้องของของผู้คนอยู่พอสมควร แต่เหตุการณ์ต่างๆที่เข้ามาในชีวิต ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป สิ่งที่ยังมีอยู่ในตอนนี้ กลับกลายเป็นเรื่องของประสบการณ์ ความทรงจำต่างๆ ที่มีความตั้งใจว่า จะนำมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์กับคนรุ่นหลังต่อไป

หลังจากที่มีอายุผ่านครบหกสิบปีไปแล้ว ตัวผมเองก็ไม่เห็นความผิดปกติในร่างกาย จนมาเมื่อหลายเดือนก่อน สังเกตเห็นว่าตัวเองเริ่มมีเหงื่อออกทางศีรษะก่อนตื่นนอน แล้วหัวใจเต้นแรง (ตอนนี้หายไปแล้ว) อาการนี้มีติดต่อกันมาเป็นเวลาสองถึงสามอาทิตย์ ภริยา พล.ต.ต.นายแพทย์ ชุมศักดิ์ พฤกษาพงศ์ อดีตอธิบดีสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมหมาดๆ ซึ่งท่านเป็นหมอเหมือนกัน ได้กรุณานัดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจให้ผม ไปตรวจที่โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงแถวสุขุมวิท

ผมได้เล่าอาการให้คุณหมอผู้ตรวจฟัง เอาผลตรวจเลือดให้ดู ท่านก็กรุณาทำการทดสอบโรคอันเกี่ยวกับหัวใจ หลังจากได้ผลทดสอบแล้วก็พบกับคุณหมอ ท่านยังไม่แจ้งผล แต่ได้ถามว่า ปกติผมออกกำลังอย่างไร

ผมก็เล่าถึงตารางการออกกำลังให้คุณหมอฟัง ตลอดจนการบริหารร่างกายโดยละเอียด ได้บอกไปว่าผมทำ push up หรือที่เราเรียกว่า วิดพื้น ตอนเช้า ๑๓๐ ครั้ง และ sit up ๑๐๐ ครั้ง และยกน้ำหนักด้วยแต่ไม่มากนัก ตอนเย็นก็ทำซ้ำอย่างเดียวกันบวกด้วยการเดินเร็วและถีบจักรยานเสือภูเขา

พอได้ยินดังนั้นคุณหมอลองให้ push up ให้ท่าดู พอผมไปสัก ๕๐ ครั้ง ท่านก็บอกว่า

“พอแล้ว คนเป็นโรคหัวใจจะยกตัวเองด้วยแขนอย่างนี้ไม่ได้หรอกครับ แข็งแรงกว่าหมอมากด้วย !”

ลืมบอกไปว่า คุณหมออายุราว ๔๐ ปีเศษ

คุณหมอบอกว่า ผลการตรวจคลื่นหัวใจออกมาดีมากไม่น่าเป็นห่วงเลย กล้ามเนื้อหัวไหล่และกำลังแขนของผมแข็งแรง ท่านบอกว่า ร่างกายทั่วไปของผมยังฟิตเหมือนเด็กหนุ่ม ขอให้บริหารร่างกายต่อไป ส่วนที่มีเหงื่อออกที่ศีรษะตอนกลางคืนนั้น หากตรวจละเอียดต้องเข้าโรงพยาบาลโดยมีการเฝ้าดูอาการตอนที่ผมหลับ ซึ่งท่านว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปเสียเงินมากเพื่อทำอย่างนั้น

คุณหมอได้อธิบายว่า ผมอาจอยู่ในวัยแห่งการเปลี่ยนแปลง คือหลังจากวัยเจริญพันธ์ของมนุษย์ พอถึงอายุราวสี่สิบห้าปี ร่างกายของชายและหญิงเริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง สตรีนั้นเห็นได้ชัดว่า กำลังจะก้าวไปสู่วัยแห่งการหมดประจำเดือน หรือร่างกายเข้าสู่ยุคการยุติการตกไข่ ส่วนผู้ชายเรานั้นก็เริ่มมีการเสื่อมถอยของการสร้างเซลล์อสุจิ น้ำกาม ระดับฮอร์โมนเพศเริ่มลดลงส่งผลให้ความต้องการทางเพศ และกิจกรรมทางเพศเริ่มลดลงจนหมดไปในที่สุด ระยะนี้เองมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ และปฏิกริยาทางร่างกายบางอย่าง เช่น

หงุดหงิด ฉุนเฉียว เหนื่อยง่าย หรือมีเหงื่อออก หัวใจเต้นแรง อย่างที่ผมเป็น หมอไทยเราเรียกอาการของคนวัยนี้ว่า เป็นพวกที่อยู่ในวัยทอง หรือ หากเป็นสตรีฝรั่งเขาเรียกว่า Menopause

แต่ไม่ว่าจะวัยทองหรือวัย Menopause ก็คือ “แก่” หรือ กำลังจะแก่ นั่นแหละ ไม่เห็นต้องมาอ้อมค้อมอะไรกันนักหนา

หลังจากที่ตรวจกับคุณหมอแล้ว ผมกลับบ้านด้วยความเบิกบาน เพราะอุ่นใจว่าผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบอาการของโรคหัวใจแน่ๆ ส่วนเบาหวานอะไรนั่น กรรมพันธุ์ทั้งทางข้างพ่อแม่ผมก็ไม่มีใครเป็นสักคน แม้แต่หวัดที่คนอื่นเป็นกันจนเป็นเรื่องปกติ ผมก็ไม่ได้เป็นมาหลายสิบปีแล้ว ยิ่งต่อมลูกหมากโตที่ผู้ชายเขาเป็นกันถึง ๙๐% ก็ไม่มีวี่แววจะผิดปกติอันใดกับตัวเอง อาจเป็นเพราะผมกินมะเขือเทศเกือบทุกวันมาแต่ยังหนุ่ม เขาบอกว่าป้องกันโรคต่อมลูกหมาก ที่ผู้ชายกลัวกันนักหนา ว่ามันจะกลายเป็นบิ๊กต่อม ไปได้ดีนัก

ที่สำคัญคือที่คุณหมอว่า

ร่างกายอาจเสื่อมถอย เพราะการสร้างเซลล์รวมทั้งระดับฮอร์โมนเพศเริ่มลดลง ตรงนี้ผมรู้อยู่แก่ใจดีว่า ตัวเองนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหมอว่าแน่ๆ เพียงแต่ยังไม่อยากบอกคุณหมอเท่านั้น

ตอนที่เป็นนักเรียนประจำอยู่ วชิราวุธ วิทยาลัย ผมสนใจในเรื่องศาสนามาตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเด็ก อาจเป็นเพราะครอบครัวผมเป็นพวกใฝ่เรียนก็ได้ เรื่องนี้ท่าน ศ.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ก็เขียนถึงเรื่องการรักการเรียน ของบรรดาสมาชิกในครอบครัวผม ในหนังสือของท่านบางเล่ม

ตำรับตำราเกี่ยวกับพระพุทธศาสนานั้น ผมอ่านมาตั้งแต่เป็นเด็ก ไม่ว่าจะพระไตรปิฎก กองทัพธรรม ประวัติศาสตร์ศาสนา ศาสนาเปรียบเทียบ ฯลฯ เรียกได้ว่าอ่านดะไปหมด ทุกวันนี้ก็ยังมีหนังสือพระไตรปิฎกฉบับย่ออยู่ที่หัวเตียง และเปิดอ่านเสมอ

การศึกษาเรื่องพระศาสนา ทำให้การมองโลกนั้นเป็นการมองอย่างมีสติ ทำให้เห็นว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้น เป็นเรื่องธรรมดา และคนสามัญอย่างเรายังเห็นเรื่องเกิด แก่ เจ็บตาย มาตั้งแต่รู้ความ แต่พระพุทธองค์ของเรานั้นกว่าจะทรงทราบเรื่องนี้ พระชนมายุก็มากถึง ๒๙ พระชันษา

ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความรู้สึกในพระทัยเช่นนั้น ก็เพราะทรงเห็นสิ่งที่เรียกว่า เทวฑูตทั้ง ๔ ระหว่างทางในวันเสด็จประพาสพระราชอุทยานนอกเมืองด้วยรถม้าพระที่นั่ง พร้อมด้วยสารถีคนขับ เทวฑูตทั้ง ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช ทรงเห็นคนแก่ก่อน ปฐมสมโพธิบรรยายลักษณะของคนแก่ไว้ว่า

“มีเกศาอันหงอก แลสีข้างก็คดค้อม กายนั้นง้อมเงื้อมไปในเบื้องหน้า มือถือไม้เท้าเดินมาในระหว่างมรรควิถี มีอาการอันไหวหวั่นสั่นไปทั่วทั้งกายควรจะสังเวช...”

ทรงสังเวชสลดพระทัย เช่นเดียวกับเมื่อทรงเห็นคนเจ็บและคนตาย ทรงเกิดนิพพิทา คือ ความเบื่อหน่าย ทรงพระดำริว่า สภาพธรรมดาในโลกนี้ย่อมมีสิ่งตรงกันข้ามคู่กัน คือ มีมืดแล้ว มีสว่าง มีร้อน แล้วมีเย็น

เมื่อมีทุกข์ ทางแก้ทุกข์ก็น่าจะมี

ต่อมาพระองค์ทรงเห็นนักบวช นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์กอปรด้วยอากัปกิริยาสำรวม พระทัยก็น้อมนำไปในทางบรรพชา ทรงเปล่งอุทานออกมาว่า “สาธุ ปัพพชา” มีความหมายง่ายๆ ว่า “การบวชนั้นท่าจะดีแน่” และทรงตัดสินพระทัยว่า จะเสด็จออกบวชตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

ผมยังไม่ได้บวชและยังไม่คิดพึ่งผ้าเหลือง เป็นหลวงตาตอนแก่ แต่การที่ได้ร่ำเรียนเรื่องของพระพุทธศาสนา ทำให้ความเกรงกลัวในเรื่องความแก่นั้น แทบไม่มีอยู่ในหัวใจของผมเลย และคิดว่าพร้อมจะเผชิญกับความชรา อย่างมีสติรอบคอบ แม้ว่าร่างกายตอนนี้ของผมยังดีอยู่มาก แต่ก็จะไม่ประมาทในการรักษาให้อยู่ในสภาพดีที่สุด รวมทั้งจิตใจซึ่งสำคัญยิ่ง เพื่อไม่ให้เป็นภาระของลูกหลานต่อไปในอนาคต

ที่ต้องพูดเรื่องนี้ในวันนี้ ก็เพราะว่า

เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๗ ผู้จัดการออนไลน์ได้ลงข่าวคนอังกฤษ เหยียดวัยมากกว่าเพศ-เชื้อชาติ โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานโพลระบุคนอังกฤษโน้มเอียงไปทางมีอคติในเรื่องอายุมากกว่าสีผิวหรือเพศ โดยผู้ถูกสำรวจถึง ๒๙% จากทั้งหมด ๑,๘๔๓ คน เปิดใจถูกเลือกปฏิบัติเพราะอายุ

โดมินิก อับรัมส์ ศาสตราจารย์จิตวิทยาสังคมจากมหาวิทยาลัยเคนท์ แจกแจงว่า การสำรวจทั่วประเทศครั้งแรกพบว่า การเหยียดวัยเป็นประสบการณ์การเลือกปฏิบัติที่พบมากที่สุดในหมู่ชาวเมืองผู้ดี และมีแนวโน้มว่าจะพบในบุคคลทุกเพศ ศาสนา หรือกระทั่งในชนกลุ่มน้อย

เรื่องการรังเกียจผู้สูงอายุนั้น ผมเห็นว่าพวกฝรั่งยุโรปจะเป็นเอามาก เพราะคนหนุ่มสาวต่างเห็นว่า คนแก่เป็นภาระ ที่ทำให้พวกตนถูกเก็บภาษีในอัตราสูง และที่สำคัญปัจจุบันการแพทย์เจริญมาก อายุขัยของคนเรายืนยาวมากขึ้นทุกวัน คนชรามีจำนวนมากขึ้น และเป็นภาระอันหนักสำหรับคนหนุ่มสาว ที่จะต้องจ่ายภาษีหนักยิ่งขึ้นไปอีก กลายเป็นปัญหาไม่รู้จบ

ผมอยากจะเล่าว่า

ชนบางเผ่านั้น คนแก่จะสมัครใจตายดีกว่าเป็นภาระของลูกหลาน และถือกันเป็นประเพณีเสียด้วย เช่น

คนชราชาวเอสกีโมสมัยก่อนนั้น เมื่ออายุมากเรี่ยวแรงถดถอยลง พอถึงฤดูหนาวก็จะให้ลูกหลานจับใส่เลื่อนหิมะ แล้วผู้ชราคนนั้นก็จะไถเลื่อนไปเอง เพื่อพบกับความตายในฤดูหนาวอันเยือกเย็น ซึ่งเป็นไปด้วยใจสมัคร เพราะไม่ต้องเป็นภาระลูกหลาน

คนป่าแอฟริกาบางเผ่า ลูกหลานจะออกไปหาอาหารแต่ละครั้งเป็นแรมเดือน ทิ้งพ่อแม่ที่แก่เฒ่าอยู่เบื้องหลัง เมื่อพวกเขากลับมาถึงที่ตั้งเผ่า เพื่อนำอาหารเช่นเนื้อสัตว์ กลับมาเป็นเสบียงให้พ่อแม่ ก่อนที่จะออกเดินทางรอนแรมตามฝูงสัตว์ไป หากเขาเห็นพ่อแม่แก่มาก ก็จะให้ผู้บังเกิดเกล้าปีนต้นไม้สูง เมื่อพ่อแม่ปีนไปสุดยอดไม้แล้ว พวกคนในเผ่าจะช่วยกันเขย่าและโยกลำต้นอย่างรุนแรง ตัวพ่อแม่ต้องจับโอบลำต้นให้มั่น ถ้าพลัดตกลงมาก็ตาย แสดงว่าพ่อแม่อ่อนแอจะอยู่คอยลูกหลานอีกฤดูกาลไม่ไหว ดังนั้นลูกหลานที่ออกไปติดตามฝูงสัตว์เพื่อล่าเป็นอาหาร จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ด้วยเห็นพ่อแม่ตกจากต้นไม้ ตายไปต่อหน้าต่อตาไปแล้ว

หากผู้เฒ่าท่านเกาะต้นไม้แน่นเหนียว เขย่าแล้ว โขยกอีกก็ไม่ตก พ่อแม่จะปีนลงมาจากต้นไม้อยู่ต่อไปได้ เพราะแสดงว่าพ่อแก่แม่เฒ่าผู้นั้น ยังแข็งแรงดีอยู่ ลูกหลานไม่ต้องห่วง พวกเขาสามารถออกล่าสัตว์ต่อไป โดยไม่ต้องพะวักหน้าพะวงหลังแต่อย่างใด

ฟังแล้ว...น่ากลัวอยู่เหมือนกันนะ !

ชาวอินเดียแดงเกือบทุกเผ่า คนแก่จะยอมตายอยู่กับกระโจมที่ตั้ง เมื่อถูกข้าศึกไม่ว่าเป็นชนเผ่าอื่นหรือกองทหารม้าสหรัฐโจมตี นี่ก็เป็นเพราะอินเดียแดงชราเหล่านั้น ไม่ยอมให้ลูกหลานหอบไปเป็นภาระ ทำให้การหลบหนีข้าศึกล่าช้าลง เผลอๆตายหมดทั้งเผ่า คนแก่ที่จะถูกพาไปคือผู้เฒ่าที่เป็นนักเล่าเรื่อง หรือ storyteller ประจำเผ่าเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นผู้เก็บงำประวัติศาสตร์และความรู้ต่างๆของชนเผ่านั้นๆเอาไว้ ท่านผู้เฒ่าที่ทำหน้าที่นี้จะถูกหอบหิ้วไปด้วย ทิ้งไม่ได้ เพราะหากท่านผู้นี้ตายไป ประวัติของเผ่าสูญหมด จึงต้องรักษาไว้

ถ้าบังเอิญไปเกิดเป็นอินเดียแดง คงจะมีอายุยาวเป็นแน่แท้ เพราะดูท่าผมต้องทำหน้าที่นี้ !

ผมว่าโชคดีที่เมืองไทยเรา มีพระพุทธศาสนาเป็นรากฐานวัฒนธรรม ความเมตตาเป็นสิ่งประเสริฐประจำใจชาวเรา ระบบครอบครัวจึงยังดีอยู่ คนแก่จึงยังเป็นบุคคลที่มีคุณค่าในสังคม อย่างน้อยในต่างจังหวัด พ่อแม่ที่เป็นหนุ่มสาวเดินทางเข้ามาทำงานในกรุงเทพ หรือไปขายแรงงานในต่างประเทศ ลูกๆของพวกเขาเหล่านั้น ก็ได้ปู่ย่าตายายเป็นผู้ดูแลเอาใจใส่แทน เด็กๆยังพอมีความอบอุ่นพอสมควร แม้ขาดพ่อแม่ก็ไม่ว้าเหว่นัก

ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงคิดว่า

การที่เราจะก้าวไปสู่ความเป็น ชราชน ได้อย่างดีนั้นผมเห็นว่า ตอนที่ยังหนุ่มสาวควรจะต้องมีอาชีพการงานที่มั่นคงเป็นหลักแหล่ง ซึ่งสำคัญมาก เพราะจะทำให้เป็นคนชราผู้มีเศรษฐกิจการเงินอยู่ในเกณฑ์ดี หรืออย่างน้อยก็พออยู่พอกินไม่เดือดร้อน และเมื่อถึงวัยชราเราก็สามารถนำประสบการณ์เหล่านั้น มาสร้างความสุขให้แก่ตนเอง และแนะนำคนอื่นได้ โดยเฉพาะบุตรหลาน ซึ่งเราอยู่เป็นที่พึ่งทางใจให้พวกเขาได้เป็นอย่างดี

สำหรับตัวผมเองนั้น ชีวิตยามนี้สบายพอสมควรตามอัตภาพ แต่ยังพยายามทำตามที่คิดไว้ ด้วยการเขียนถ่ายทอดประสบการณ์ให้ท่านผู้อ่านฟังทุกอาทิตย์ รวมทั้งทำตำรับตำราในวิชาสาขาที่ตนเองได้ร่ำเรียนมาและมีความชำนาญ เพื่อถ่ายทอดให้กับผู้ร่วมอาชีพต่อไป โดยมีความมุ่งหมายที่จะทำให้วัยสูงอายุของตัวเอง เป็นไปอย่างมีคุณภาพ คือพยายามเป็น Senior citizen เอง โดยไม่ต้องรอให้ใครมาตั้ง

มีเรื่องที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีอายุคือ หลายปีมานี้ผมสังเกตเห็นผู้ที่อยู่ในวัยก่อนเกษียณเล็กน้อย เช่นเหลืออีกหนึ่งหรือสองปี รวมทั้งท่านที่เกษียณแล้ว จะสมรสกันมาก แต่ก่อนนี้แทบจะไม่มี หรือเป็นข่าวให้ได้ยินกัน ซึ่งต่างจากปัจจุบันนายทหารและนายตำรวจระดับ ‘พลเอก’ รุ่นโตกว่าผม (บางท่านเคยอยู่ในตำแหน่ง ๕ เสือ ทบ.ด้วยซ้ำ) แต่งงานกับสาวอายุน้อยกว่ามาก ก่อนเกษียณเพียงไม่กี่เดือน

บางท่านก็แต่งหลังเกษียณไม่เท่าไหร่ แต่ที่สมรสกับผู้มีวัยใกล้เคียงกันก็พอมีให้เห็น ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับพลตำรวจเอก และกำลังจะแต่งงานกับสาวสวย หลังจากที่ท่านเกษียณไปหลายปีแล้ว

คงจะเป็นข่าวใหญ่ให้หนุ่มๆอิจฉากันเล่น...ไวๆนี้แหละ !

การแต่งงานกับคนสูงอายุนั้น ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไปหากใจตรงกัน ก็สามารถอุปถัมถ์ค้ำชูกันไป ที่ปรากฏมาแต่โบราณที่เห็นได้ชัดก็อย่างท่าน นะบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ศาสดาแห่งอิสลาม ท่านแต่งงานกับคอดีญะหฺเศรษฐีนีม่าย ผู้มีเกียรติจากตระกูล อะซัดแห่งเผ่ากุเรชซึ่งเป็นนายจ้างของท่าน และท่านนะบีเป็นหัวหน้ากองคาราวานของนาง นำสินค้าไปขายยังประเทศซีเรีย และได้สมรสกันเมื่อท่านนะบีมีอายุได้ ๒๕ ปี และภริยาของท่านมีอายุกว่า ๔๐ ปี มีบุตรด้วยกันถึงหกคน เป็นที่ประจักษ์ว่า ท่านมีความรักภริยาเป็นอย่างมาก

รุ่นพี่ของผมที่แต่งงานไปกับสาวที่อายุน้อยกว่า ๒ ถึง ๓ รอบ มีชีวิตอยู่กันด้วยความสุขน่าอิจฉามากๆก็มี เพียงแต่ผมไม่สามารถบอกได้ว่าท่านคือใคร เพราะดูเหมือนจะไปล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวมากไป

ความสุขของการมีชีวิตคู่ ไม่ได้อยู่ที่อายุสูงกว่ากันแค่ไหน หากแต่อยู่ที่หัวใจตรงกัน ! (หวานซะไม่มีละ!!)

หากหนุ่มคนไหนอิจฉา ก็อยากแนะนำให้ลองไปฟังเพลงที่โด่งดังมากๆ เมื่อราวสามสิบปีที่แล้ว ขับร้องโดยคุณบุปผา สายชน นักร้องลูกทุ่งที่เคยโด่งดังมากๆ ชื่อเพลงแสนจะตรงไปตรงมาว่าชื่อเพลง “รักคนแก่ดีกว่า” เนื้อเพลงเขาบอกไว้อย่างนี้ครับ


         ถึงเขาแก่แล้วฉันก็จะรักใครจะทำไม
ถึงเขาแก่ไปไม่เกินกว่าวัยน้องของพ่อ
ขี้เกียจจะหลงคนหนุ่มนัก ขี้เกียจจะรักคนรูปหล่อ
ขี้เกียจจะง้อคนรูปงาม
         ถึงเขาแก่แล้วฉันก็จะรักใครจะทำไม
ฉันรักจิตใจเขาใครเล่าใครไหนจะห้าม
แก่ๆอย่างนี้สิเด็ดนัก บทบาทความรักไม่ค่อยห่าม
โอนอ่อนผ่อนตามแสนจะเอาใจ


สมัยนั้นผมยังเป็นหนุ่มอยู่ ตอนที่เพลงนี้ฮิตมากๆ เข้าไนท์คลับทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด เป็นต้องได้ยินเพลงนี้ และวลีสำคัญคือ “แก่ๆอย่างนี้สิเด็ดนัก” เป็นที่ติดปากผู้คนในยุคนั้น จนกระทั่งคุณบุปผาเธอเสียชีวิตไปเพราะโรคภัยไข้เจ็บ เพลงนี้จึงเลือนหายไป แต่คุณบุปผาก็ได้ฝากผลงานเพลงเอาไว้มากมาย ทำให้คนที่ทำแผ่นเสียงร่ำรวยกัน อย่างเพลงเพลงยมบาลเจ้าขา เป็นต้น

คนแก่เด็ดแค่ไหนนั้น ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง

รุ่นพี่ของผมที่สนิทกันมาก ก่อนเกษียณได้พบรักกับสาวน้อยคนหนึ่งกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐ ในคณะที่เรียนค่อนข้างยาก เพราะเป็นแขนงเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เธอเป็นคนเรียนเก่งมากตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะวิชาคำนวณ ตอนเรียนครบ ๔ ปี ติดอยู่วิชาเดียวก็เลยตัดสินใจกลับไปควบคุมกิจการที่บ้านในต่างจังหวัด แล้วลงทะเบียนวิชาที่ติดทิ้งไว้ พอดีพบกับรุ่นพี่ของผม ซึ่งเป็นผู้บังคับการจังหวัดเข้า

กามเทพยิงศร เปรี้ยงเข้าให้ ต่างคนต่างถูกใจกัน !

เธอสอบวิชาที่ติดไว้ในปีที่ ๕ อีกสองครั้งไม่ผ่าน ต้องเรียนปีที่ ๖ ซึ่งรุ่นพี่ผมคนรักของเธอจะครบเกษียณอายุในเตือนตุลาคม (หลายปีมาแล้ว)

ตอนเข้ากรุงเทพเพื่อไปสอบครั้งหลังสุด สาวน้อยได้ตัดสินใจตรงเข้าไปบอกอาจารย์เจ้าของวิชาที่ติดอยู่ ผู้ได้ชื่อว่า “หิน” ที่สุดในเรื่องคะแนนว่า

“อาจารย์ขา...แฟนหนูกำลังจะเกษียณอีกไม่กี่เดือนนี้แล้วนะคะ ถ้าอาจารย์ไม่ให้จบ หนูคงไม่ได้แต่งงานแน่ๆค่ะ !”

เชื่อไหมครับว่า เธอผ่านการสอบฉลุยและได้รับปริญญาไปเรียบร้อย ตอนนี้กำลังจะจบปริญญาโท ได้ครองชีวิตรักอยู่กับรุ่นพี่ผมอย่างมีความสุข...

มองดูแล้ว....ให้อิจฉาเป็นที่สุด !

.......................


หมายเหตุ อืมม์...นานๆ เขียน ‘เข้าข้างตัวเอง’ บ้าง ก็ครึ้มดีเหมือนกันนะครับ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น