เช้าวันนี้....จิบกาแฟขมแล้ว เปิดเพลง “วอลทซ์นาวี” จากเทปที่เก็บไว้นานแล้ว ด้วยระลึกถึงนาวิกโยธินสองนายที่สูญเสียชีวิตไปอย่างนึกไม่ถึง เพราะความที่เป็นทหารที่มีเกียรติยศ มุ่งมั่นในการรักษาชีวิตเพื่อนร่วมชาติ จนไม่ใช้อาวุธประจำกายพาตนให้หลบพ้นจากภยันตรายที่กำลังจะมาถึงตนอยู่ตรงหน้า นำความเสียดายและเสียใจมาสู่พี่น้องเพื่อนร่วมชาติของเรายิ่งนัก
ทั้งสองท่านได้กระทำหน้าที่เยี่ยงชายชาติทหาร ด้วยความกตัญญูรู้คุณต่อชาติบ้านเมืองสมเป็นตัวอย่างกับเยาวชนของชาติต่อไปในอนาคต
แฟนคอลัมน์นี้ บางท่านอาจได้อ่านข่าว หนูน้อยยอดกตัญญูล่องโฟมฝ่าเกลียวคลื่นหาเศษปลา จุนเจือครอบครัว ที่คุณศักรภพน์ เสนอทางผู้จัดการออนไลน์เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๔๘
เด็กสองคนนี้คนพี่ชื่อ ด.ช.กฤษฎา “น้องจอม”สมโภชน์ อายุแค่ ๑๐ ขวบ คนน้องชื่อ ด.ช.อนุวัฒน์ "น้องจิ๊บ" สมโภชน์ อ่อนกว่าคนพี่สามปี ตอนนี้ ๗ ขวบ ทั้งคู่เป็นลูกชายของ นาย นาวิน สมโภชน์ อายุ ๓๖ ปี และนางจุฑาทิพย์ แซ่ลิ้ม อายุ ๒๙ ปี ซึ่งพักพิงอยู่ในเพิงพักหลังเล็กๆ ตั้งอยู่เลขที่ ๓๐๒/๒๗๐ ในชุมชนคลองศาลาแดง ม.๖ ต.ท้ายบ้าน อ.เมืองจังหวัดสมุทรปราการ
ผมรู้จักตำบลนี้ดี เพราะเคยเป็นนายตำรวจกองเมืองสมุทรปราการตั้งแต่สำเร็จการศึกษาใหม่ๆ
พ่อเด็กเป็นลูกเรือประมงมาก่อน ต่อมาก็มาร่วมกับแม่ทำกะปิขายส่งโรงงาน ตอนนี้ร่างกายไม่แข็งแรงทั้งคู่ ครอบครัวยากจนลง แต่ลูกน้อยทั้ง ๒ ต้องช่วยพ่อแม่ในการหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ด้วยการนำโฟมมาดัดแปลงสภาพเป็นเรือ เพื่อในการล่องปากอ่าวแม่น้ำเจ้าพระยา หาปลาและเก็บขวดที่ลอยน้ำมาขาย มองดูแล้วน่าทึ่ง
ใครไม่เคยไปปากน้ำเจ้าพระยา น่าจะลองไปดูว่า
ถ้าเอาโฟมมาทำเป็นเรือมันเสี่ยงแค่ไหน ปากแม่น้ำก็กว้าง เรือเดินสมุทรสัญจรไปมาก็ไม่น้อย เวลาเรือใหญ่แล่นก็จะมีคลื่น ถ้าโฟมเกิดพลิกคว่ำแล้วลอยออกไปโดยเด็กว่ายไม่ไปเกาะโฟมไม่ทัน
กำลังน้อยๆอย่างเด็กทั้งคู่ จะว่ายเข้าหาฝั่งได้หรือ ?
ระหว่างรับราชการเป็นนายตำรวจท้องที่ สภ.อ.เมืองสมุทรปราการ ข้ามไปมาระหว่างสองฝั่งเจ้าพระยาเสมอ เคยเอาเรือเร็ววิ่งไล่จับพวกขนของหนีภาษีในแม่น้ำนี้ก็หลายครั้ง รู้ดีว่ามันน่ากลัวมากทีเดียว เด็กทั้งคู่ต้องมีความกล้าหาญเป็นอย่างมาก ที่จะกระทำเสี่ยงตายอย่างนั้น
พี่น้องทั้งคู่ใช้เวลาอย่างน้อยในวันละ ๑-๒ ชั่วโมง ลอยเรือโฟมทำเองกลางแดดเปรี้ยงๆ เพื่อออกไปหาปลาและเก็บขวดที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำนำมาขาย บางครั้งต้องบากหน้าไปขอปลาจากเจ้าของเรือเพื่อนำมาขายและเก็บไว้กินบ้าง แม้จะถูกด่าทอแต่ก็ต้องทน โดยในแต่ละวันจะได้ปลาประมาณไม่เกินห้ากิโลกรัม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเศษปลาที่ท้องแตก เด็กบอกว่า
“ปลาก็นำมาทำกับข้าวไว้ให้พ่อและแม่ ส่วนขวดก็จะนำไปขายเพื่อนำเงินมาซื้อขนมกินเพราะจะไม่ต้องขอแม่อีก ส่วนเรื่องความกลัวไม่เคยคิด เพราะอยากได้ปลาอยากได้ขวดไปขายมากว่า ”
วันไหนมื่อกลับบ้าน พ่อกับแม่ออกเรือไปหาปลาหรือรับจ้างออกเรือยังไม่กลับ “จอมและจิ๊บ”จะช่วยกันหุงข้าวทำอาหารรอท่าพ่อแม่
ผมดูภาพแล้วมีความรู้สึกว่า ความกล้าหาญของหนูน้อยทั้งสอง ไม่ต่างกับนักสำรวจชาวสเปนที่อาสาเจ้านายของตนที่ต้องการขยายอาณาจักร กำลังลงเรือมุ่งหน้าหาดินแดนใหม่ ไปยึดดินแดนอันไกลโพ้นแต่เต็มไปด้วยทรัพยากรที่มั่งคั่ง แต่ดินแดนในความฝันที่ว่านั้น หนทางจึงดูช่างห่างไกล ต้องการความสามารถของนักเดินเรือที่กล้าหาญ ทรหดอดทน เพื่อให้บรรลุภารกิจนั้นให้จงได้
นักสำรวจสเปนที่เต็มใจจะเสียงล้วนแล้วแต่รักในการผจญภัย เพื่อได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์ และเพื่อความมั่งคั่งและบำเหน็จรางวัลของตนเอง จึงพาตัวลงเรือเดินสมุทร แล้วเดินทางมุ่งหน้าไปด้วยความหวัง ซึ่งจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการ
แต่เด็กสองคนนี้ต่างออกไป เพราะเขาไม่ได้หวังรางวัล หากทำไปด้วยความกตัญญูโดยแท้ !
ความกตัญญูนั้นเป็นคุณสมบัติอันสำคัญของความเป็นมนุษย์ เรื่องราวเกี่ยวกับความรู้คุณนั้นเป็นที่ยกย่องของมนุษย์และเทวดา และการตอบแทนบุญคุณที่เรียกว่ากตเวทีนั้น เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ของการที่ได้เกิดมาชาติหนึ่ง โดยเฉพาะความกตัญญูกตเวทีต่อผู้บุพพาการี
หนูน้อยทั้งสองเกิดมาสู้ชีวิต กอบด้วยความกตัญญูกตเวทีตั้งแต่วัยเด็ก เป็นที่สรรเสริญของผู้คนอย่างกว้างขวาง และบัดนี้ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ใจบุญรับอุปถัมภ์การศึกษา คนไทยได้หลั่งไหลความช่วยเหลือครอบครัว "น้องจอม" ผู้มีจิตศรัทธาที่บริจาคให้ความช่วยเหลือให้โดยหวังว่า หนูน้อยทั้งคู่ไม่ต้องออกไปลอยคอเสี่ยงชีวิตกลางแม่น้ำอีกต่อไป
เรื่องของลูกกตัญญูนั้น แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ผู้คนก็ยังจดใจบันทึกเป็นตำนาน มีเรื่องเล่าขานกันมาตลอด ที่จำได้แม่นคือเรื่องราวของ ‘แม่ทัพกู้’
แม่ทัพกู้นั้นเป็นนักรบมีชื่อของจีน มีนิสัยซื่อตรง ได้ลาออกจากราชการด้วยความเบื่อหน่าย แต่บิดาของท่านยังรับราชการเป็นนายอำเภอต่างเมือง
ท่านเป็นลูกกตัญญูและเทิดทูนบูชาพระคุณบิดามารดามาก ทุกครั้งที่ท่านได้รับจดหมายจากบิดา แม่ทัพกู้จะรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดหมดจด จัดโต๊ะให้เรียบร้อยกางจดหมายของบิดาไว้บนโต๊ะ ทรุดตัวคุกเข่าอ่านอย่างนอบน้อม อ่านจบก็จะคารวะด้วยความสำนึกในพระคุณ เมื่อบิดาตาย ท่านเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ท่านเดินทางไกลนับร้อยลี้ไปจัดงานศพให้บิดาท่านแขวนรูปบิดาไว้บนฝาผนัง ตั้งโต๊ะบูชา ทำการสักการะกราบไหว้ด้วยผลไม้น้ำชาไม่เคยขาดทุกเช้าเย็นจนชั่วชีวิต
แม่ทัพกู้จึงได้ชื่อว่า ลูกกตัญญู มาจนทุกวันนี้
เรื่องของลูกกตัญญู ท่านผู้อ่านที่มีอายุหน่อยคงจำเด็กหญิงคนหนึ่ง ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ด.ญ.ยอดกตัญญูปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐนำมาลงข่าว และกลายเป็นเรื่องราวโด่งดังไปทั้งเมือง
ยังพอจำชื่อ ‘วัลลี’ กันได้ไหมครับ?
พ.ศ.นั้น เด็กหญิงวัลลี ณรงค์เวทย์ นักเรียน ป.๕โรงเรียนวัดโรงธรรม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นเด็กที่ปัญหาทางสายตา เวลาอยู่ในชั้นเรียนต้องนั่งอยู่แถวหน้า เธอวิ่งไปมาระหว่างโรงเรียนกับบ้าน เพราะหนูวัลลีมีคุณแม่ป่วยที่เป็นอัมพาต นอนแน่นิ่งให้ป้อนข้าวป้อนน้ำ แถมในบ้านยังมีคุณยายชราช่วยตัวเองไม่ได้ มองก็ไม่ค่อยเห็นสายตาเสื่อมอยู่อีกคน
วัลลีตอนนั้นอยู่แค่ ป.๕ แต่เธอต้องรับผิดชอบภาระหนักอึ้งในชีวิตของเธอ ต้องต่อสู้อย่างทรหด ด้วยความรักแม่ รักยาย และความกตัญญูที่มี วัลลีไม่ย่อท้อในการปฏิบัติดูแลทั้งสองท่านด้วยความอดทนยิ่ง และเมื่อหนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าวความกตัญญูของแม่หนู คนไทยก็ยื่นมือเข้าไปช่วยกันโอบอุ้ม
คนไทยนั้นรักและนับถือน้ำใจผู้มีความกตัญญูต่อผู้บุพพการี และเคารพสรรเสริญต่อผู้มีความกตัญญูต่อประเทศชาติ ราชบัลลังก์
ชีวิตของวัลลีนั้น ดังสนั่นขึ้นไปอีกเมื่อท่านเจ้าคุณพยอม (พระราชธรรมนิเทศ) เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ตอนนั้นท่านก็ยังไม่ได้เป็นพระราชาคณะ แต่เจ้าคุณหลวงพี่เองก็ลือชื่อในการที่เป็นเด็กรักแม่ ท่านกตัญญูต่อโยมมารดาเป็นที่สุด ได้นำเรื่องราวของวัลลีไปเป็นตัวอย่างในการเทศอบรมประชาชนผู้คนก็ชอบกันมาก (ตอนนี้ท่านออกการ์ตูน “เณรพยอมจอมยุ่ง” สอนจริยธรรมเด็กวัยรุ่น ลองซื้อไปให้ลูกหลานท่านดูกัน ได้ทำบุญด้วย)
เรื่องของวัลลีกลายเป็นภาพยนตร์ผมได้ดูหนังเรื่องนี้ด้วย มีคุณ สมฤดี นุ่มอำพันธ์ แสดงเป็นวัลลี แม่แสดงโดยคุณเปียทิพย์ คุ้มวงศ์ ส่วนยายนั้นแสดงโดย “ป้าหอม” คุณ มาลี เวชประเสริฐ (ท่านเสียชีวิตไปนานแล้ว) ส่วนวัลลีตัวจริงเรียนจบ แต่งงานกับตำรวจเมืองสมุทรสงคราม ตอนนี้เป็นคุณแม่และมีกิจการร้านค้าเป็นของตัวเองอีกด้วย
กรณีของหนูวัลลีฯเธอมีความกตัญญู ที่เป็นคุณธรรมประจำใจของชาวไทย ที่เหมือนกับเด็กชายน้อยๆสองคนข้างต้นนั้น แตกต่างกันบ้างคือเป็นความกตัญญูของพ่อหนูทั้งสอง ประกอบด้วยความกล้าหาญและกระทำการเสี่ยงชีวิต โดยออกลอยหาปลาด้วยวัสดุอุปกรณ์กล่องโฟมเท่านั้น เพื่อหารายได้มา จุนเจือครอบครัวเพื่อช่วยเหลือพ่อแม่ผู้ป่วยไข้
ที่ผมบอกว่าความกล้าหาญของเด็กนั้นบริสุทธิ์ และอาจเป็นความกล้าเหนือผู้ใหญ่ด้วยซ้ำไป เพราะอะไรนั่นหรือ ?
ตอบได้ว่า เพราะเด็กยังมีความรู้น้อย ไม่มีประสบการณ์ และมีความ ignorance อยู่มาก เช่นหากเป็นผู้ใหญ่เรียนมาก รู้มาก จะตระหนักถึงอันตรายได้ดีกว่า เช่น หากเป็นผมก็คงไม่กล้าลอยโฟมออกไปเก็บขวดหรือเศษปลาอย่างเด็ก เพราะเรารู้อันตรายจากกระแสน้ำ เรือ และอื่นๆ แต่เด็กไม่รู้ จึงพูดแต่เพียงว่า “....ส่วนเรื่องความกลัวไม่เคยคิด....”
ความกล้าหาญของเด็กนั้น เป็น ความกล้าหาญที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง แต่ปัจจุบันก็มีผู้ที่พยายามบิดเบือนความหาญกล้าที่บริสุทธ์ของเด็กๆในชาติเรา ไปเป็นเครื่องมือของตน โดยนำลัทธิ อุดมการณ์ หรือบาครั้งก็ใช้เงินเข้ามาล่อ
ฉะนั้น ผู้ใหญ่ที่หาประโยชน์จากเด็กก็สามารถใช้เด็กกระทำผิด หรือนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตนได้โดยง่าย
หลายท่านอาจไม่ทราบว่า ปีนี้มีเด็กๆในโลกของเรากว่า ๒๕๐,๐๐๐ คน (สองแสนห้าหมื่นคน) ถูกนำไปใช้ในฐานะ “ทหารเด็ก” หลากหลายหน้าที่ด้วยกัน อาทิ ฝ่ายสู้รบ คนดูต้นทาง สายลับ และทาสกาม โดยในเขตหรือภูมิภาคที่มีความขัดแย้งกันนั้น เด็กมักจะตกเป็นเป้าถูกทำร้าย และยังมีการละเมิดทางเพศต่อเด็กหญิงนับหมื่นราย นี่เป็นตัวเลขจากสหประชาชาติโดยตรง แต่ยังดีที่ปีนี้มีจำนวนทหารเด็กลดลงราว ๕๐,๐๐๐ (ห้ามหมื่นคน) จากปีที่แล้ว
กรณีสามจังหวัดภาคใต้ของเราก็ไม่ได้แตกต่างไปเลย เยาวชนจำนวนหนึ่งถูกปลุกปั่นจากลัทธิความเชื่อผิด และสร้างคำสอนขึ้นให้โดยมีเจตนาชั่วร้ายแอบแฝง โดยดัดแปลงให้ผิดเพี้ยนไปจากแนวทางของศาสนาที่บริสุทธิ์ เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือของผู้แสวงประโยชน์ส่วนตนและหมู่คณะ
ในจำนวนนี้มีเยาวชนจำนวนหนึ่งที่ติดยาเสพติดอย่างงอมแงม แม้ศาสนาจะห้ามการดื่มสุราอย่างเด็ดขาด แต่ยาเสพติดอย่างบุหรี่ไม่ได้มีการห้ามเอาไว้
เมื่อติดบุหรึ่แล้วเยาวชนเหล่านี้จำนวนไม่น้อย ก้าวหายาเสพติดที่แรงขึ้น โดยเฉพาะยาบ้า สารระเหยฯลฯ ซึ่งเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่าเมื่อพวกเขาเสพยาแล้ว ผนวกกับการปลุกปั่นยุยงส่งเสริมผสมผสานเข้าด้วย
จากความกล้า ก็กลายเป็นความบ้าบิ่น !
กล้าแม้แต่แค่ถือมีด พร้า กระท้าขวาน เข้าโจมตีด้วยการบุกเข้าประชิดกองกำลังของรัฐ วิ่งเข้าชนลูกปืนเจ้าหน้าที่ เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากอย่างน่าเสียดายยิ่ง หากเป็นคนดีมีสติเขาไม่ทำกัน เพราะตายแน่ๆ !!
เหตุการณ์อย่างนี้ไม่ใช่เกิดแค่บ้านเรา ในประเทศจีนเมื่อมีการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (ระหว่างปีพ.ศ.๒๕๐๙-๒๕๑๙ )เยาวชนจำนวนมากเข้าร่วมขบวนการปฏิวัติจำนวนมาก กระแสปฎิวัติถูกปลุกระดม ลุกลามไปทั่วประเทศ แม้แต่เยาวชนในจีนตอนใต้ ที่นับถืออิสลาม ซึ่งเข้าร่วมขบวนการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นจำนวนหนึ่ง ลุกขึ้นประกาศว่า
การห้ามกินหมู ตามคำสอนของพระศาสดาเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
จึงชักจูงบรรดาผู้ใหญ่ของตน ให้เชื่อตามแนวความคิดแบบปฏิวัติของพวกตนด้วย แต่บรรดาผู้ใหญ่ไม่เอาด้วย !
เมื่อรัฐบาลจีนเข้าปราบปรามการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เยาวชนที่บอกว่าการบริโภคสุกรเป็นความถูกต้อง ก็หลบหนีการจับกุมคุมขัง เข้าไปซ่องสุมกำลังกันเป็นหมู่บ้านตามพรมแดนด้านใต้ของประเทศจีน สุดท้ายกลายเป็นโจรผู้ร้ายไปทั้งกลุ่ม
เมื่อรัฐบาลจีนโดยท่าน เติ้ง เสี่ยว ผิง นำทหารออกกำราบปราบปรามขบวนการปฏิวัติวัฒนธรรมในเมืองจนสงบราบคาบเรียบร้อยแล้ว ได้หันมาจัดการกับพวกปฎิกิริยาที่ต่อต้านพระศาสดาและหันมากินหมู ด้วยการเข้าปิดล้อมหมู่บ้าน แล้วยิงถล่มด้วยปืนใหญ่แบบล้างผลาญให้สิ้นซากเลยทีเดียว
ใครอยากรู้ความจริงในเรื่องนี้เพิ่มเติม ลองหาทางคุยกับ ศาสตราจารย์ เจี่ย แยนจอง (ยรรยง จิระนคร) ที่หนังสือในเครือ ‘มติชน’ ให้คำยกย่องว่าเป็น “ศาสตราจารย์สองแผ่นดิน” ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในประเทศไทย ให้ท่านเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง จะได้รับความรู้ว่า
พวกที่มุ่งหาประโยชน์จากเด็กและเยาวชนในโลกนี้นั้น กระทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่การข่มเหง กดขี่ ใช้เงินจ้าง ยาเสพติด ให้ข่าวลวง ปลุกระดมในรูปแบบต่างๆ สารพัดที่พวกมันจะทำ โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องตามศีลธรรม
เยาวชนสามจังหวัดภาคใต้ของเรา ที่ก่อเหตุรุนแรงก็ตกอยู่ในวัฎจักรเดียวกันนี้อย่างไม่ผิดเพี้ยน น่าสงสารมาก เพราะนับแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ พวกเขาจำนวนมากไม่จบชีวิตอย่างน่าอเนจอนาถเป็นจำนวนมาก และอีกจำนวนไม่น้อยต้องลงเอยในคุกตะราง อันจะนำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจให้กับบิดามารดา ญาติพี่น้อง ซึ่งหลายท่านออกมาให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตานองหน้า หลังจากที่บุตรหลานเสียชีวิตเพราะการปะทะกับเจ้าหน้าที่ว่า
ไม่เคยมีรู้มาก่อนเลยว่า ลูกหลานที่เป็นคนดีในสายตาตน ได้แอบไปฝึกฝนและกลายไปเป็นผู้ก่อการร้ายเมื่อใด ?
เมื่อผู้เป็นพ่อแม่ไม่ว่าชาติ ภาษา หรือศาสนาใด เมื่อชีวิตก้าวสู่วัยชรา แม้ท่านจะร่ำรวยเงินทอง แต่ก็ยังปรารถนาที่จะลูกๆได้ช่วยดูแล เพราะต่างเชื่อว่าผู้ที่สืบสายเลือด ย่อมเอาใจใส่ดูแลตนมากกว่าบุคคลอื่น จึงมีคำกลอนที่รู้จักกันดี คือ
ยามแก่เฒ่าหวังเจ้า เฝ้ารับใช้
ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา
หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ"
เกือบสองปีที่ผ่านมา เราได้เห็นผู้เป็นบิดามารดาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวนนับร้อย กลับต้องเป็นฝ่ายปิดตาให้ลูกๆ พลางร่ำไห้คร่ำครวญน่าเวทนา แล้วเดินตามร่างของลูกไปกูโบท์ (สุสานมุสลิม) เพื่อให้บุตรซึ่งเป็นที่รัก ได้ทอดร่างในหลุมศพตลอดกาล ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจและเสียดายอย่างยิ่ง
จึงอยากให้คนที่เป็นพ่อแม่ ที่ยังมีลูกอยู่ในความปกครองในพื้นที่สามจังหวัด ได้ช่วยกันปกป้องคุ้มครองลูกหลานให้อยู่ในสายตา จงกีดกันเด็กของท่านไม่ให้ไปซ่องสุมกับพวก ‘ไซตอน’ เหล่ามารร้ายหรือ ที่จะมายุยงทำลายครอบครัวท่าน แล้วลูกหลานของท่านจะปลอดภัย
เพราะทางฝ่ายราชการเอง จะปล่อยให้มีการล่วงละเมิดกฎหมายไม่ได้เด็ดขาด !
แม้การสู้รบจะต้องยืดเยื้อ หรือกินเวลาอยู่บ้าง สุดท้ายความเสียหายก็จะตกอยู่ในฝ่ายผู้ก่อการร้ายมากกว่าทางบ้านเมือง เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่น่าสลดใจกรณีสองนาวิกโยธินแล้ว ชัดเจนว่า
การรุกเข้าใส่ของฝ่ายรัฐจะเข้มข้นยิ่งขึ้น และแข็งแกร่งด้วยมีทรัพยากรที่มากกว่า !!
นอกจากนั้นแล้วรัฐบาลเริ่มตระหนักแล้วว่า การใช้ระบบกฎหมายอย่างจริงจัง ประกอบกับความเมตตาต่อผู้บริสุทธิ์ จะทำให้ความสงบกลับคืนมาสู่ท้องถิ่นโดยเร็ว กลยุทธและมาตรการทางกฏหมายต่างๆ จะต้องถูกงัดมาใช้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพด้วย
ฝ่ายที่จะรักษาชาติบ้านเมืองจะต้องเอาชนะศึกภายในครั้งนี้ เหมือนทุกครั้งในอดีต ไม่มีวันวันแพ้ ไม่มีแม้แต่เสมอ
ต้องเอากันให้ เสร็จเด็ดขาดกันไป !
ฉะนั้น ขอให้บรรดาบิดามารดาในสามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งมีความเสียงสูง จงเฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูบุตรอยู่ใน ดำรงชีวิตอย่างสงบ สันติ ประกอบศาสนกิจตามแนวทางอิสลามเยี่ยงศาสนิกที่ดี พวกเขาจะได้เติบโตไปเป็นคนมีคุณธรรมความดีงาม และที่สำคัญ
จะได้ไม่ต้องไปรับโทษจองจำให้เรือนจำมหันตโทษ และมีชีวิตยืนยาว เป็นหลักของครอบครัว เป็นกำลังชาติบ้านเมืองอันเป็นที่รักยิ่งของเราสืบไป
ประเทศไทยของเรานั้น ไม่ได้กีดกันความแตกต่างกันทางเชื้อชาติ ศาสนาของประชาชนคนในชาติ
มุสลิมะอย่าง พระยาราชวังสัน (หวัง) เคยตำแหน่งเป็นแม่ทัพเรือของชาติ ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และมีแม่ทัพเรือที่เป็นมุสลิมต่อไปอีกหลายรัชกาล
มาถึง พ.ศ.นี้ นายทหารซึ่งเป็นมุสลิมะอีกท่านหนึ่ง ก็มีโอกาสก้าวขึ้นสูงสุดในตำแหน่งกองทัพบกของชาติ อย่างไม่เคยปรากฏมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า
บ้านเมืองไทยของเรานั้น พระมหากษัตริย์ทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวาง นอกจากจะทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ศาสนาสำคัญทั้งห้าในประเทศแล้ว ยังทรงมี พระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายทหารกองทัพไทย โดยเฉพาะตำแหน่ง ‘ผู้บัญชาการทหารบก’ ในปีนี้ เป็นไปตามหลักทศพิธราชธรรมโดยแท้ ไม่ว่านายทหารผู้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญยิ่งนั้น จะเป็นศาสนิกของศาสนาใด
ความนี้ได้เป็นที่ประจักษ์ พรมหาบารมีและพระเกียรติคุณขององค์พระประมุขชาติไทยเรา แพร่ไปอย่างกว้างขวาง ในบรรดาหมู่ผู้นำและกองทัพต่างๆในภูมิภาคต่างๆของโลก !
.......................................