xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 197 “มันกินบ้าน...แล้วผลาญเมือง!”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้...ผมต้องออกกำลังอย่างหนัก เพราะรู้สึกอึดอัดท้องเป็นอันมาก เพราะเมื่อคืนไปรับประทานอาหารที่บ้านเพื่อน ภริยาเขาทำเนื้ออบให้รับประทาน เธอมีฝีมือในการทำอาหารมาก แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนมาทางนี้

การกินเนื้อเป็นอาหารเย็นนั้น ผมหลีกเลี่ยงมานานแล้ว เพราะมีความรู้สึกว่ามันไม่สบายท้อง เนื่องจากพอมีอายุเข้าก็รับประทานเนื้อน้อยมาก อาหารหลักของผมคือปลา แม้แต่กุ้งหรือหมึก โดยเฉพาะหมึกแช่ ผมก็หลีกเลี่ยง เพราะกลัวสารตกค้างต่างๆ เวลาจะทานอาหารพวกนี้ ก็ต้องพกยาแก้แพ้เอาไว้ ก็น่าแปลกที่พออายุมากกลับแพ้ของพวกนี้ แต่ร่อนชะไรก่อนเคยแพ้แค่ผู้หญิง ตอนนี้มาแพ้อาหารทะเลบางอย่างเข้าอีก

นี่แสดงว่า ความชราจะมาเยือนแล้วอย่างนั้นหรือ ?

เมื่อไม่นานผมได้ดูรายการโทรทัศน์ชื่อรายการ “The Hero – ผู้ชนะสิบทิศ” รูปแบบรายการ Game Show เน้นความสนุกสนานด้วย Action Game วัดความเก่งของผู้แข่งขัน เพื่อเฟ้นหาสุดยอดแชมป์ของประเทศไทย ซึ่งปกติผมก็ไม่เคยดูรายการหลังสองทุ่ม เพราะหลังข่าวในพระราชสำนักแล้ว ผมจะผลอยหลับไปทันที ไปตื่นอีกทีตอนตีสาม แต่ที่ได้ดู“ผู้ชนะสิบทิศ”วันนั้นเพราะไปธุระนอกบ้าน รายการนี้เขาแข่งคนกินจุกัน ทราบว่ารายการนี้เขามีแข่งอยู่สองอย่าง คือ ‘แข่ง งัด’ ข้อกับ ‘แข่ง’ กินจุกัน บางคนก็บอกว่าแข่งแค่นี้แล้วมันไปเกี่ยวกับผู้ชนะสิบทิศตรงไหน ตรงนี้ก็ต้องถามผู้จัดดู

เมื่อผมยังเป็นเด็ก ได้รู้จักกับเจ้าหน้าที่ที่ดินที่จังหวัดสมุทรปราการ ชื่อลุงพุ่ม เป็นคนไทยที่ตัวสูงใหญ่กว่าบิดาผมอีก ทั้งๆที่พ่อผมเองก็สูงที่สุดในโรงเรียนนายร้อยทหารบก แต่ลุงพุ่มเตี้ยกว่าพ่อผมหน่อยแต่ใหญ่กว่าพ่อผม เพราะแกอ้วน

ลุงพุ่มเป็นพนักงานเดินรังวัด แต่ก่อนการทำงานเขาใช้โซ่ในการทำรังวัด ผมเคยเดินตามแกลากโซ่ไปวัดที่ดินในทุ่งนาสำโรง ขนาดผมซึ่งเป็นนักกีฬาฟิตจัดและกำลังบ้าต่อยมวยด้วย แต่ผมเดินสู้ลุงพุ่มไม่ได้ เพราะต้องย่ำลงไปในโคลน ยกขาแต่ละครั้งก็หนักอึ้ง เดินไม่ทันแก

พอตกกลางวันเจ้าของที่ดินคือแม่ผมเอง จัดอาหารเลี้ยง คือขนมจีนแกงไก่ ผมกินได้แค่สองจาน กินขนมจีนไป ๔ จับ แต่ผมเห็นลุงพุ่มกิน ๓๐-๔๐ จับ กินแล้วนอนพักกรนเหมือนเรือกลไฟแป๊บเดียว ก็ออกไปรังวัดต่อได้แล้วน่าอัศจรรย์มาก

ในรายการ “The Hero – ผู้ชนะสิบทิศ” ผมเห็นคุณผู้หญิงคนหนึ่งชื่อคุณพิม (ไม่ทันฟังนามสกุล) ตัวเล็กบางๆสูงประมาณสัก ๑๕๐ เซ้นติเมตร แต่เธอสามารถเอาชนะได้อย่างสบายๆ โดยคุณพิมสามารถรับประทานบะหมี่ติดต่อกันได้ถึง ๒๖ ชาม ผมกินสองชามก็แย่แล้ว คนที่เขาดูรายการนี้ซึ่งติดตามเธอทุกอาทิตย์ บอกว่าเธอกินเยลลี่ได้ทีละ ๓ กิโล กินไส้กรอกได้ครั้งละ ๑๐๐ แท่ง มันช่างน่าอัศจรรย์เพียงไรกันนี่ ที่ตัวเองคิดว่าลุงพุ่มกินเก่งแล้ว คงสู้คุณพิมไม่ได้

ตอนกินก๋วยเตี๋ยวนั้น คู่แข่งที่เป็นหัวหน้าวินมอร์เตอร์ไซด์ตัวโตทีเดียว ตอนแรกๆก็กินไล่กันดี แต่พอเกินสิบจานแล้ว คนตัวโตกว่าแผ่วลงเห็นได้ชัด กินไม่ถึง ๒๐ ชาม ด้วยซ้ำ

ผมไม่ได้ติดตามคุณพิมทุกอาทิตย์ แต่ให้คนคอยดูและให้เล่าให้ฟัง ปรากฏว่าเธอเอาชนะติดต่อกันได้ถึง ๑๐ ครั้ง ได้รางวัลแจ๊กพอตไปห้าแสนบาท รวมกับแชมป์แต่ละสัปดาห์ได้ครั้งละหนึ่งหมื่นบาท ก็เป็นหกแสนบาทพอดิบพอดี

คนที่เล่าเขาชื่นชมคุณพิมเป็นอันมาก เพราะเมื่อเธอได้เงินแต่ละครั้งก็ส่งเงินให้คุแม่ นี่ได้รางวัลใหญ่ ก็ให้แม่หมด ทำให้ผมพลอยยินดีกับคนที่รักแม่ ได้รางวัลไปให้มารดาผู้บังเกิดเกล้าใช้จ่ายยามท่านมีอายุแล้ว

เรียกว่าคุณพิม “สู้เพื่อแม่” แบบรายการเด็กของคุณ ธงชัย ประสงค์สันติ ก็คงพอได้

ความจริงแล้ว การกินจุแข่งกันนั้น มีการจัดกันแบบเอาสนุกตามจังหวัดต่างๆมานมนานแล้ว บางทีก็มีการจัดในสถานที่อย่างโรมแรมใหญ่ เช่น โรงแรมนารายณ์ เขามีการจัดกินสุกี้แข่งขันกัน เพราะในโรงแรมเขามีการจัดแข่งขันรับประทานสุกี้บุฟเฟต์มาราธอน เพื่อเป็นการโปรโมทโรงแรม

จากการจัดแข่งในต่างประเทศ ที่เผยแพร่ทางเคเบิล ที.วี. ซึ่งความสามารถด้านนี้ ตัวใหญ่เล็กไม่สำคัญ หากแต่ความเด่นอยู่ตรงกระเพาะใครรับปริมาณอาหาร และน้ำหนักของอาหารได้มากกว่ากัน

ดังเราจะเห็นจากข่าวไม่กี่วันนี้ ว่าอีตาโคบายาชิ หนุ่มญี่ปุ่นเจ้าของฉายา "เจ้าสึนามิ” แข่งเลยดีกว่าครับ โคบายาชินี้ก็ตัวไม่โต ตัวสูงก็ ๑๖๐ เท่านั้กว่าซม.คว้าตำแหน่ง กินจุ-กินไว ที่ฮ่องกง โดยแชมป์กินเร็วไปโดยฟาดซาลาเปา ๑๐๐ ลูก ในเวลาเพียง ๑๒ นาที ทิ้งห่างคนที่ได้อันดับ ๒ ลิบลิ่ว เพราะคู่แข่งกินได้เพียง ๔๗ ลูก ห่างกันแบบไม่เห็นฝุ่น แบบเดียวกับคุณพิมของเราเอาชนะหนุ่มร่างโตหัวหน้าวินมอเตอร์ไซด์ ตอนกินก๋วยเตี๋ยวชิงตำแหน่งผู้ชนะสิบทิศ

คนไทยที่ผมคุยด้วยหลายคน อยากให้มีการจัดการกินแข่งระหว่างผู้ชนะสิบทิศของเรากับจอมเขมือบแดนโซบะคละปลาดิบคนนี้จริงๆ

หากผมเป็นคุณทักษิณ จะเอารายการแข่งขันนี้เป็นจุดขายของบ้านเรา โดยให้กินผลไม้ที่ขายไม่ออก เช่นทุเรียน ชั่งน้ำหนักหมอนทองแกะเม็ดคนละ ๑๐ กิโล หรือลิ้นจี่ ลำไยคนละ ๒ เข่ง อะไรทำนองนี้ แล้วชิงรางวัลคนละล้านไปเลย ผมว่าสปอนเซอร์เพียบ ไม่เชื่อก็ลองดู

บางคนเขาเรียกผู้ที่กินจุ หรือกินมูมมามว่า “กินยังกะชูชก” เขาหมายถึงชูชกในเวสสันดรชาดก ซึ่งแกเป็นขอทานแต่มีเงินเอาไปให้พราหมณ์ที่มีลูกสาวสวยชื่อนางอมิตดากู้ พอไม่มีเงินคืนขอทาน พราหมณ์ผัวเมียเลยยกลูกสาวให้ตาแก่ นางอมิตดาให้สามีไปขอโอรสของพระเวสสันดอนมาเป็นคนใช้ อีตาชูชกนั้นรักเมียสาวมาก (เมียสาวๆใครก็รัก!) ก็เดินทางไปขอให้ โดยต้องเดินทางฝ่าฟันอุปสรรคเข้าไปในป่าต่างๆนานา และความพยามก็ได้ผล ทูลขอโอรสกัณหา ชาลี มาจนได้

เมื่อเดินทางผ่านเมืองสีวี พระเจ้าสญชัยพระราชบิดาของพระเวสสันดร ทราบข่าวจึงขอไถ่ สองกุมารจากชูชก และโปรดให้จัดข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูพราหมณ์เฒ่าขอทาน อีตาชูแล้วชกแกไม่เคยได้บริโภคอาหารดีๆ ทั้งกินทั้งยัดเข้าไปจนท้องรับไม่ไหว ถึงแก่ไหลตายไปในที่สุด

คนไทยเลยมีสำนวนว่ากินอย่างกะชูชก น่าจะหมายถึงการกินอย่างตะกละตะกราม มูมมาม(เหมือนนักการเมือง) ไม่เคยพบเห็นกินมากเข้าไปก็ไหลตายไปเอง อยากรู้เหมือนกันว่า

พวกนักการเมืองกินมากๆ แล้วจะตายโหงอย่างชูชกกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? แต่ที่ถูกเมียน้อยยิงตายนั้น ตัวอย่างมีแน่นอน !

มื่อเร็วๆนี้ผมได้อ่านบทความในไทยรัฐ โดยผู้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องการคอรัปชั่นของนักการเมืองตั้งแต่ยุคอดีตประธานาธิบดีมาร์คอส มาจนถึงการกล่าวหานายนายโจเซฟ “อีแหรป” เอสตราดา อดีตประธานาธิบดีนักแสดง ผู้เป็นดาราขวัญใจคอหนังคนผู้พิสมัยการเดินดิน ‘ไข่บารู้ด’ ที่คนไทยเรียกว่า ‘ไข่ข้าว’ หรือถ้าเรียกให้เก๋ก็คือ ไข่ร้างรัง (ชื่อดีจริงๆ) ซึ่งความรู้น้อยด้อยปัญญาการศึกษาต่ำ แต่อุดมความกล้าในเรื่องการกินสินบาทคาดสินบน จนถูกดำเนินคดี จนมาถึงยุคปัจจุบันประธานาธิบดี กลอเรีย มาคาปากัล อาโรโย่ คนตัวเล็กใจสู้ แต่สามีและสมาชิกครอบครัวก็มามีเรื่องกล่าวหาว่า สวาปาม “ส่วย” จากบรรดาบ่อนการพนันเถื่อนอีกต่างหาก

ผู้เขียนใช้ชื่อบทความ ว่า

“กินบ้าน กินเมือง” แบบมาราธอน ในวัฏจักร “วงจรอุบาทว์”

ความจริงแล้วคำว่า กินบ้านกินเมือง นั้น เป็นคำโบราณที่มีความหมายดี พระเจ้าพิมพิสารทรงตั้งนายบ้านเพื่อปกครองลูกบ้าน ภาษาบาลีเรียกว่า คามโภชกะ แปลว่า ผู้กินบ้าน ตรงกับคำเก่าว่า กินบ้านกินเมือง เพราะตามธรรมเนียมในครั้งนั้น ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าบ้านเจ้าเมือง มีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขราษฎร ดับร้อนผ่อนเย็นให้ผู้คนในปกครอง ย่อมมีอำนาจในการเรียกเก็บส่วยในบ้านเมืองนั้น เพื่อการบริโภคแห่งตน

แต่พอมาถึงยุคนี้ คำว่า “กินบ้านกินเมือง” นั้น กลายเป็นความหมายไม่ค่อยดี เช่น

“ในเมืองสาระขันขันนั้น ทั้งพรรครัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างฝ่ายก็กล่าวหากันว่า กินบ้านกินเมือง ด้วยกันทั้งคู่ แต่ฝ่ายค้านนั้นชัดเจน เพราะอดีตรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลเดิม เข้าไปนอนกินข้าวแดงในคุกเรียบร้อยแล้ว กำลังจะเดินตามไปอีกสองคนคือไอ้พวกโกงยางคนบ้านเดียวกัน !”

อย่างนี้เป็นต้น

ผมว่าไม่น่าใช้คำว่ากินบ้านกินเมืองอย่างโบราณ เพราะความหมายมันดีเกินไป น่าจะใช้สำนวนใหม่ เพื่อไม่ให้ซ้ำกับสำนวนเดิม เป็น “กินบ้าน-ผลาญเมือง” เสียมากกว่า คือได้รับเลือกจากประชาชนมาให้ทำหน้าที่ “กินบ้าน” แต่พวกมันไม่ทำหน้าที่ ดันกลับ “ผลาญเมือง” จนประเทศเสื่อมทรามลง เหมือนอย่างไอ้รัฐบาลบุฟเฟต์แดกคาบิเนต์นั่นแหละ

ในสมัยอดีตพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง พระเจ้าพิมพิสารถือกำเนิดมาเป็น ‘นายเสมียน’ มีหน้าที่เลี้ยงดูพระสงฆ์ในศาสนาของอดีตพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทำหน้าที่เป็นผู้จัดเลี้ยงพระสงฆ์จำนวนมาก คล้ายกับเป็นเลขานุการต้องเบิกเงินจากท้องพระคลังมาจัดเลี้ยง ‘นายเสมียน’ ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ ทำงานด้วยความโปร่งใสไม่คิดคดไม่คิดโกง หมายความว่า ไม่กินเงินค่าสบงจีวรพระ ไม่กินบาตรพระ ไม่กินข้าวพระ ในการก่อสร้างก็ไม่กินกุฏิวิหารการเปรียญของพระ ไม่กินโบสถ์ของพระฯลฯ

นายเสมียนทำความดีไม่มีคอรัปชัน แต่ญาติที่พระองค์นำมาช่วยงานในชาติที่เป็นนายเสมียนนั้น มีความประพฤติแปลกแยกไป คือ

บรรดาญาติทั้งหลายเหล่านี้ เป็นคนฟันดี ขากรรไกรดี สามารถกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ในตอนต้นก็ช่วยงานด้วยดี ทำทีว่ากูนั้นซื่อสัตย์ แต่เนื้อแท้ไอ้พวกนี้มีความโลภเป็นเจ้าเรือน ทุจริตยักยอกของพระพระ ซื้อเข้าของมาเลี้ยงพระก็ลงบัญชีแพง โดยตกลงกับผู้รับเหมา กินตั้งแต่อิฐ หิน เหล็ก ดิน น้ำมันฯลฯ (เหมือนไอ้พวกนักการเมือจอมคอรัปชั่นที่เราเห็นกันอยู่ ไม่มีผิดเลย) เรียกว่าทุจริตคดโกงของสงฆ์ทุกรูปแบบ

เมื่อนายเสมียนตายไปเกิดเป็นเทวดา ครบกำหนดแล้วจุติลงบนโลกมา เป็นพระเจ้า
พิมพิสาร
ส่วนไอ้พวกญาติก็ไปสู่นรกอเวจีกันเป็นทิวแถว พ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว กลายเป็นเปรต รู้จักกันในนาม ‘เปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร’

ญาติเปรตพวกนี้ ได้พากันมามาปรากฏร่างหน้าสะพรึงกลัวให้พระองค์เห็น จึงทรงทูลถามพระพระพุทธเจ้าว่า เปรตพวกนี้มันแห่มาปรากฏตัวทำไมกัน พระเจ้าข้า? พระบรมศาสดาจึงทรงเฉลยเรื่องในอดีตชาติให้พระองค์ทราบ และทรงให้พระเจ้าพิมพิสารทำบุญกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้พวกญาติเปรตพวกนี้ (แต่เปรตโกงบ้านเมืองของเรา ไม่ต้องไปอุทิศให้มันนะ!)

ศ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิตที่เคารพของผม บอกว่าการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลของเรา คงสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ครั้งพระเจ้าพิมพิสารในสมัยพุทธกาลนี้เอง และท่านยังบอกต่อไปว่า

เมื่อเปรตได้ส่วนบุญที่แบ่งไปให้ สีหน้าก็เปรตแต่ละตัวค่อยแจ่มใสดีขึ้น พร้อมกับปากของพวกมันก็พร่ำคำขอบคุณว่า “พหุต ธันเยวาท” แปลเป็นภาษาปะกิตว่า “Thank you very much!”

แต่ผมสงสัยจริงๆ ว่าแล้วไอ้ที่มันโกงที่วัดเอาไปขายทำกำไร แปรรูปเป็นสนามกอล์ฟและบ้านจัดสรรได้กำไรมหาศาลนั้น หากตายไปแล้ว....
...พวกมันจะตกนรกขุมไหนกันนะ? .. เพราะกรรมมันหนักเหลือเกิน ...ไอ้เปรตธรณีสงฆ์พวกนี้น่ะ


พวกนักการเมืองที่ทำการตรวจสอบคนอื่นเขานี่ก็เหมือนกัน หากลองเอาแว่นขยายส่องดูแล้วก็จะเห็นเบื้องหลังอันขยะแขยง แต่ไอ้พวกนี้มันกินเงินหลวงงบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นของหลวงและสมบัติของประชาชน ขนาดหนังสือพิมพ์เขายังเอามาลง (แต่ผู้คนคงลืม)

มเลยต้องขอย้อนไปเก็บเอามาให้อ่านกัน แต่ขอใช้อักษรย่อหน่อย เพราะเป็นการนำความมาบอกต่อคนอื่น ทั้งๆที่คัดเอามาจากหนังสือพิมพ์ประเทศอะไรผมไม่บอก แต่ข่าวเขาเป็นอย่างนี้ครับ

ข่าวจาก นสพ.ประชาแช่งธุรโกง ฉบับ พฤหัสบดีที่ ๙-อาทิตย์ที่ ๑๒ พ.ย.๔๓
ฟาสต์แดกฟู้ดคาบิเนต ๔ เดือนฟาดไปแสนล้าน

รัฐบาล พลเอก ชช. ถูกขานนามว่า บุฟเฟต์แดกคาบิเนต ก่อนถูกคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งประเทศ (รสป.) ยึดอำนาจไม่นานกล่าวกันว่าครั้งนั้น รัฐมนตรีบางคนเสนอโปรเจ็กต์แสนล้านโดยใช้กระดาษ ๓ แผ่นแต่รัฐบาลชุดปัจจุบัน (ของรัฐบาล นาย ช. (๒) ก่อนยุบสภา) ซึ่งหลายคนก็ล้วนเป็นรัฐมนตรีที่เคยร่วมในบุฟเฟต์แดกคาบิเนต ก็ใช้โอกาสก่อนรัฐบาลประกาศยุบสภาทิ้งทวนโครงการ ตั้งแต่มูลค่าไม่กี่ล้านจนถึงโปรเจ็กต์มูลค่าหลายหมื่นล้าน
ผู้สังเกตการณ์ตั้งข้อสังเกตว่า ขนาดโครงการที่ผ่าน ครม.ทุกวันอังคาร (ตามรายการที่แนบมา) มีมูลค่าไม่สูงเท่ากับสมัยรัฐบาล พลเอก.ชช. แต่จะมีความถี่สูงมาก หรือที่เรียกว่า กินจุกกินจิก นั่นเอง

โครงการ "ทิ้งทวน" ของรัฐบาล นาย ช. (๒) ก่อนยุบสภา สัปดาห์นี้ไม่ได้ สัปดาห์หน้าก็เสนอเข้ามาใหม่ เรียกว่าดันจนผ่าน ครม. ยกเว้นว่า เป็นโครงการที่เหตุผลไปไม่ได้จริง ก็จะถูกพรรคร่วม โดยกระทรวงการคลังและสภาพัดลมรุมต้านอย่างสุดฤทธิ์ แกนนำของพรรคร่วม ๒ พรรค อย่างน้อย ๒ คนพูดตรงกันว่า ไม่ต้องการคบพรรคแกนนำ เป็นพันธมิตร เพราะพรรคแกนนำเลือกที่จะใช้ที่ประชุม ครม. ผ่านเฉพาะโครงการของพรรคพวกตนเองเท่านั้น
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุม ครม. (๑๗ ตุลาคม) ที่ นาย สท. รมว.กระทรวงคมนาคม หนีบโครง การจัดซื้อเครื่องบิน ๕ ลำมูลค่ากว่า ๓ หมื่นล้านของสายการบินไถลแห่งชาติเข้าที่ประชุม จึงถูกรุมซักอย่างหนักจาก "นาย สว. และ "นาย กพ."........ข้อสงสัยของพรรคร่วม คือ เมื่อยังไม่ได้เลือกแบบเครื่องบิน แล้วเหตุไฉนจึงมีการจ่ายมัดจำให้บริษัท โบกิ้ง ไปแล้ว ๒ ลำๆ ละ ๒ ล้านเหรียญยูเอส.......การยิงคำถามตรงของพรรคร่วม สร้างความอ้ำอึ้งให้แก่ "นาย สท." และพรรคแกนนำ
เมื่อถูกพรรคร่วมรัฐบาลแอนตี้อย่างหนัก จึงไม่แปลกที่ในการประชุม ครม. ๒ นัดสุดท้าย ท่าทีของพรรคเก่ากะลาแกนนำ จะผ่อนปรนให้กับพรรคร่วมรัฐบาลมากขึ้น
สังเกตได้จากการประชุม ครม.นัดสุดท้าย (๗ พ.ย.) มีราย การปล่อยผีโปรเจ็กต์กันอย่างทั่วฟ้า เช่น แผนแม่บทโครงการพัฒนาทุ่งนังกุลาขี้แย พ.ศ. ๒๕๔๕ -๒๕๔๙ วงเงิน ๑๐,๔๖๕.๒๑ ล้านของพรรคชาติไถ ก็ผ่าน ครม.จนได้หลังจากเคยถูกเบรกมาแล้ว ขณะที่พรรคแกนนำเสนอขออนุมัติแผนแม่บทพัฒนาพื้นที่และฟื้นฟูเมืองชุมชนดินดอนแดง มูลค่ารวมเฉียดหมื่นล้านเข้ามาในวาระเพิ่มเติม.........เวรกรรม....
ส่วนกระทรวงการคลังส่งเรื่องนโยบายการบริหารงานสุรา หลังปี ๒๕๔๒ เข้ามา ครม. เป็นการทิ้งทวนอำลา เบ็ดเสร็จ ๔ เดือนสุดท้ายรัฐบาล นาย ช. ผ่านโครงการต่างๆ ไปมากกว่าแสนล้าน


ท่านผู้อ่านเห็น ‘ฤทธิ์’ คนพวกนี้ แล้วหรือยังครับ?

ย่าเพิ่งลืมง่ายนะ เวลาคนพวกนี้เขาจะมี สมัชชาบีฑาประชาชน ต้องเอาหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ไปแปะหน้าหอที่เขาจะประชุมกัน แล้วเอ่ยถามว่า
พวกแกมันทำจริง อย่างที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้เขาว่าหรือเปล่า ...หือ?

นี่ขนาดลงหนังสือพิมพ์ฉบับใหญ่ ที่ผู้คนอ่านมากพอสมควรที่ลงบทความนี้ แต่เหตุไฉนจึงลืมเลือนกันง่ายดายนัก !

ต้องขอตั้งคำถามฝากท่านผู้อ่านว่า ว่า คนพวกนี้... “มันกินบ้าน แล้วผลาญเมือง!” กันหรือเปล่า?

เอาละ...ย้อนกลับมาถึงเรื่องคุณพิม ผู้ชนะสิบทิศอีกครั้ง

มสงสัยจริงๆว่า เมื่อรับประทานอาหารอย่างก๋วยเตี๋ยว ๒๖ ชาม เข้าไป แต่คุณพิมยังคงตัวเล็กน้ำหนักเบานิดเดียว หมายความว่าไอ้ที่กินเข้าไป กับที่ขับออกมาต้องมีปริมาณใกล้เคียงกัน ไม่อย่างนั้นคุณพิมน่าจะตัวเบ้อเริ่ม หรือไม่ก็ต้องใหญ่กว่าที่เห็นนี้แหละ แม้ว่าจะมีคนพูดว่า คุณพิมพเมททาโบลิซึ่มสูง การเผาผลาญในร่างกายรวดเร็วก็ตามที

แล้วพวกที่ทุจริต กินอิฐ กินปู กินหิน ฯลฯ เวลาขับถ่ายเค้าจะเจ็บก้นไม้น้า ? เพราะต่อให้เมททาโบลิซึ่มสูงเพียงไร คงเอาไว้ไม่อยู่

ที่สำคัญคือ ไอ้เปรตธรณีสงฆ์นี่สิครับ เวลามันไปใช้กรรมในนรกแล้ว ใช้กรรมแล้วต้องกลับไปเป็นเปรตอย่างญาติพระเจ้าพิมพิสารนั่นน่ะ

มันจะต้องขับถ่ายออกมาก้อนเท่า ‘สนามกอล์ฟ กับบ้านจัดสรร’ ตามกรรมที่มันก่อ หรือไม่ ?

คงทรมานขนาดหนัก เลยเชียวนะนั่น
ก็ดูคุณผู้ชายที่หกล้ม ไปถูกขวดเปล่ายาธาตุสรรพคุณเยี่ยมเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง คือยาธาตุ ๔ ตรากิเลน เสียบทวารบานนั่นปะไร แกยังให้สัมภาษณ์ว่า
เจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส ซะเหลือเกิน

จึงอยาก ‘แช่ง’ ไอ้พวก ‘เปรตธรณีสงฆ์’ มันหกล้มโดนขวดยาธาตุเสียบซะบ้าง...ตั้งแต่ในชาตินี้ นี่แหละ !!!


............................

หมายเหตุ - ผมฟังสมาชิก ‘ขี้แพ้’ อภิปรายแล้วหงุดหงิด ผู้คนพากันวิจารณ์ว่า มีแต่บรรดาพวก ‘ขี้ขึ้นอยู่บนหัวขมอง’ คิดได้แค่นั้น บ้างก็ว่าทั้งเขลาทั้งขลาด จนต้องปลงสังเวช ประชาชีเลยพากันก่นโคตรเอาสนุกปาก

คอลัมน์วันนี้เลยออกมาค่อนข้างจะมีอารมณ์ แต่รับรองว่าฉบับหน้า คือตอนที่ ๑๙๘ ขื่อตอนว่า ท่านจะอ่านได้อย่างสบายอารมณ์ เพราะตอนต่อไปชื่อ “ถามตรงๆ คุณรักฉันหรือเปล่าคะ !? ฟังชื่อแล้ว อย่าลืมตามอ่านเชียวนะครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น