เช้าวันนี้....จิบกาแฟขมแล้วอ่านหนังสือพิมพ์ ดูคอลัมน์ทำนายโชคชะตาราศีประจำวัน ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมากนัก เพราะวันไหนเขาทำนายดีก็รู้สึกว่าดีใจ แต่หากหมอทายออกทะเลว่ามีแต่โชคร้ายทั้งวัน หากไม่จำเป็นก็ดี จะได้ไม่ต้องออกจากบ้านไปให้เสียน้ำมันยุคที่ราคาแพงอย่างนี้ หรือหากว่าเขาทายว่ามีเคราะห์ร้ายมาเยือนแน่ จะได้คลุมโปงนอนอยู่บ้านเสียเลยรู้แล้วรู้รอด เป็นการหลบดวงไป
เมื่ออาทิตย์กว่ามานี้ ผมอ่านหนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก พลิกดูโชคชะตาราศีของตัวเอง ในคอลัมน์ ‘ดูดวง’ ของหมอไพศาล ราศีสิงห์ เกิดระหว่าง ๑๗ ส.ค.-๑๖ ก.ย. ท่านว่าเอาไว้อย่างนี้ครับ
...จดหมายที่เขียนไปสมัครงาน คุณจะได้รับจดหมายเรียกตัวไปสัมภาษณ์ที่ดีใจมาก คุณไม่ควรไปงานศพ ถ้าไปควรติดใบทับทิมไปด้วย คุณจะได้รับอุบัติเหตุลื่นล้มบาดเจ็บ แต่คุณจะโชคดีได้หมอที่ชำนาญที่สุดรักษาให้ คุณจะมีโชคดีจากนายหน้า จากคนที่ขี้เหนียว ที่แก่จนแม่เป็นห่วง จะพบคนถูกใจแล้วล่ะ...
อ่านแล้วเห็นว่าคำทำนายของคุณหมอไพศาลแล้ว เห็นว่าเรื่องจดหมายที่เรียกตัวไปสัมภาษณ์งานใหม่นั้นไม่เกี่ยวกับผมแน่ เพราะอายุปูนนี้แล้วไปสมัครที่ไหนก็คงไม่มีใครเขารับ ดังนั้นจึงไม่ต้องเตรียมตัวไปรับการสัมภาษณ์จากใครที่ไหนทั้งนั้น
ส่วนเรื่องงานศพนั้น ระยะนี้เพื่อนฝูงคนรู้จักไม่ค่อยจะตาย เลยไม่ต้องตะเกียกตะกายไปหาใบทับทิมตามคำแนะนำของคุณหมอ และแถวบ้านผมไม่เห็นมีใครปลูกทับทิมกัน ส่วนคำทำนายว่า จะหกล้มหกลุกได้รับบาดเจ็บนั้นเห็นทีต้องระวังเต็มที่ เพราะต่อให้มีหมอเทวดา อย่างนายแพทย์ฮูโต๋ว จากเรื่องสามก๊กผมก็ไม่ปรารถนาไปรับการรักษาจากท่าน สู้แคล้วคลาดจากอุบัติภัยทั้งหลายทั้งปวงจะดีกว่า และที่คุณหมอบอกว่าจะได้ค่านายหน้านั้น เห็นทีจะไม่ได้รับแน่ เพราะตอนนี้ไม่ได้วิ่งเต้นเป็นนายหน้านายหอกับเขาที่ไหน จึงไม่มีโอกาสได้เงินจากใคร
ที่ดีใจและถูกใจมากที่สุด เห็นจะตรงที่คุณหมอไพศาล ท่านทำนายเอาไว้ว่า
...ที่แก่จนแม่เป็นห่วง จะพบคนถูกใจแล้วล่ะ...
เฮ้อ! โล่งใจกับเขาเสียที
แม้ว่าแม่ของผมท่านจะไปอยู่บนสวรรค์แล้ว แต่ก็คงเป็นห่วงลูกเสมอ และท่านก็คงดีใจถ้าลูกชายจะพบคนถูกใจเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง หรือสองคน (นะแม่นะ!)
การที่พบคนถูกใจและได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ร่วมความสุข แชร์ความทุกข์ เป็นคู่คิดซึ่งกันและกัน มันก็น่าจะเป็นของดีสำหรับผู้เขียนในยามที่อายุสูงขึ้นถึงวัยนี้
คิดแล้วก็...ครึ้มอกครึ้มใจเลยทีเดียว
ถ้าเป็นผู้ชายและอยู่มาตลอดชีวิต ไม่ได้มีคู่ครองเลย ในประเทศไทยมีเป็นจำนวนมาก ที่เห็นชัดเจนก็คือบรรดาพระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ พระสงฆ์องค์เจ้าที่ท่านบวชและใช้ชีวิตอยู่ในบวรพระพุทธศาสนา และเป็น สุปฎิปันโน คือพระผู้ปฏิบัติดี ปฎิบัติงาม ปฏิบัติง่าย ซึ่งท่านก็มีชีวิตอย่างสุขสงบ อิ่มเอิบไปด้วยบุญญาบารมีที่สั่งสมไว้ ลูกศิษย์ลูกหาแวะเวียนไปกราบไหว้ มีกิจนิมนต์มิได้ขาด เพราะคนที่ไปหาพระสงฆ์นั้น จะมีความสุขด้วยร่มเงาของพระสงฆ์ เหมือนเมื่อครั้งพระพุทธองค์เสด็จกรุงกบิลพัสดิ์ พระนางสิริมหามายาพระชายาทรงให้พระราหุลทูลขอสมบัติจากพระพุทธองค์ แต่พระศาสดาไม่ได้ทรงตรัสตอบ คงย่างพระบาทไปเรื่อย ราหุลตามเสด็จตามพระราชบิดาไปถึงนิโครธารามที่พระพุทธองค์ทรงประทับ เมื่อราหุลองค์น้อยหมอบเฝ้าพระพุทธเจ้า มีความรู้สึกเป็นสุขสงบ จนอุทานออกมาว่า
“สุขา ชาโต สมณฉายา!”
แปลว่า ภายใต้ร่มเงาของสมณะนี้ ทำให้เราเป็นสุขสงบ ผมก็เห็นจริงตามนั้น เพราะเวลาอยู่ใกล้ท่านเจ้าคุณอาจารย์ของผมคราวใด รู้สึกมีความสงบเยือกเย็นและเป็นสุขจริงๆ
ผู้ชายโสดที่ไม่ใช่พระสงฆ์ ที่มีความสมบูรณ์เพียบพร้อม ทั้งตำแหน่งหน้าที่การงาน และเป็นที่เคารพชื่นชมของประชาชน ก็มีอย่างที่เห็นๆกัน คือ ท่านประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นั่นไง
แต่ผู้หญิงอยู่เป็นโสดอยู่นานๆเข้า นั้นกลับมีปัญหา และถ้อยคำที่เจ็บปวดสำหรับสตรีที่มีอายุแล้วยังอยู่เป็นโสด ก็คือคำว่า “ขึ้นคาน”
สำนวน "ขึ้นคาน" หมายถึง หญิงโสดที่มีอายุ เพราะหาคู่แต่งงานที่คู่ควรไม่ได้ มักใช้พูดกับผู้หญิง
สำนวนขึ้นคานนี้ ขุนวิจิตรมาตรา สันนิษฐานว่า มาจากการนำเรือที่จะซ่อมขึ้นมาบนบก ซึ่งต้องทำฐานไว้รองเรือในขณะซ่อม เรียกว่า คานเรือ เรืออยู่บนคานไม่ได้นำลงมาใช้ เรียกว่า ขึ้นคาน
ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับท่านอาจารย์ ขุนวิจิตรมาตรา สักเท่าไหร่ เพราะเรือที่จะนำมาขึ้นคานซ่อมนั้น ต้องเป็นนาวาที่ออกผจญภัยสำรวจโลก จับปลา หรือหากเป็นเรือรบก็ออกศึกมานาน โต้สายลมแสงแดด ฝ่าฟันคลื่นลมต่อสู้กับท้องทะเลที่บ้าคลั่งมายาวนาน ตอนนี้ตัวเรือไม่สมบูรณ์ พื้นกระดานเริ่มสึก สีถลอกเรือเริ่มมีสนิม ใต้ท้องมีเพรียงเกาะมาก จึงเอาขึ้นฝั่งมาขึ้นคานซ่อมบำรุงใหม่ ทาสีสันให้สวยงาม แล้วกลับออกไปโต้คลื่นสู้กับพายุร้ายกลางทะเลได้ใหม่
สำนวนนี้น่าจะใช้กับผู้ชายมากกว่า ไม่ต้องดูไปไกลเพราะได้กับตัวคนเขียนเอง ตอนนี้แม้ไม่ป่วยไข้แต่ก็หยุดพักขึ้นคานซ่อมบำรุงสุขภาพ เพื่อให้อยู่ในสภาพดี จะได้ออกโต้คลื่นลมตามวิสัยลูกทะเล ในชีวิตของก็ขึ้นซ่อมมาหลายครั้งแล้ว แต่การ “ซ่อม” ของผมคือการพักผ่อนอย่างจริงจัง แต่อีกไม่กี่วันก็ต้องไปต่างประเทศ จะลงจากคานซ่อม ออกทะเลไปเล่นจิงโจ้โล้สำเภากันได้อีกแล้ว
การที่ผู้หญิงไม่ได้แต่งงานนั้น หากจะเปรียบไปก็เหมือนเรือต่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่อยู่ในอู่บางกอกด๊อก ลงน้ำไม่ได้ซะทีเพราะไม่มีใครมาซื้อมาขอ หรือยังไม่ได้เวลาเหมาะเจาะที่จะปล่อยลงแม่คงคาต่างหาก น่าจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า
คนไทยนี้ก็แปลก บางทีในครอบครัวเดียวกัน ทั้งลูกสาวลูกชายอายุมากแต่ไม่ได้แต่งงานทั้งคู่ พ่อแม่ก็ไม่กังวลเรื่องลูกชาบ แต่กลับเป็นห่วงลูกสาวว่าจะ “ขึ้นคาน” มากกว่าและมักจะพูดในทำนอง
“ผู้ชายน่ะ ช่างมันเถอะ ปล่อยให้มันเป็น พ่อพวงมาลัย ไปก่อน เดี๋ยวมันคิดได้มันก็หาเมีย มีหลานให้ฉันเองแหละจ้ะ !” ว่าไปนั่น
แล้วอะไรที่เป็นเหตุให้ ‘ผู้หญิงขึ้นคาน’ กันล่ะ?
ผมว่าแทบไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอก ที่จะสมัครใจไปอยู่ “หมู่บ้านคานทองนิเวศน์” อย่างที่เขาแดกดันกันเอาไว้ แต่เคยอ่านในเวป ‘ผู้จัดการ’ นี่แหละ เขาบอกว่าผู้หญิงที่มีสัญญาณเตือนภัยว่า จะต้องเข้าไปเป็นสมาชิกบ้านทรายทอง ไม่ใช่บ้านคานทองนั้น
สัญญาณเตือนภัย มีหลายอย่างเท่าที่จำได้ก็ เช่น
ถึงวันเกิดวันวาเลนไทน์เขาได้ดอกไม้กัน นี่อะไรอยู่มาอายุปาเข้าไปตั้ง ๓๕ แล้ว ยังไม่เคยได้รับกับเขาสักดอก หรือตั้งแต่อยู่ชั้นอนุบาลมาจนจบมหาฯ ขนาดอยู่ในกลุ่มเริ่ด แต่กลับไม่มีใครมามอง สะพานก็ทอดไปจนกระดานจะผุแล้วไม่มีใครข้าม ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นพวกที่อยู่คนเดียว วันๆไม่อยากคบหาสมาคมกับมนุษย์หน้าไหน หรือไม่ก็เป็นพวกไม่สนใจกฎระเบียบของสังคม จะหาว จะเรอ ไม่สำรวมกริยา พูดจาไม่เข้าหูคน หาเรื่องเขาไปทั่ว
อย่างนี้หาคนมาสู่ขอคงลำบาก !
บางคนคิดว่าตัวเองเพอร์เฟคไปเสียทุกอย่าง ทั้งรูปร่าง หน้าตา ฐานะ มองผู้ชายเหยียดเขาเป็นขยะไปเสียทั้งหมด ไอ้คนนี้ก็ไม่หล่อ คนโน้นก็ไม่รวย ส่วนคนที่มาใกล้ชิดมารยาทก็ไม่เรียบร้อย พาเข้าบ้านไม่ได้เดี๋ยวคุณแม่จะโกรธ ส่วนคนที่คุณพ่อมองไว้ให้ก็เชยบรรลัย พาไปงานร่วมรุ่นมหาวิทยาลัย เพื่อนฝูงคงแดกดันเราตาย ฯลฯ
เรียกว่ามองไปที่ไหนก็เห็นแต่จุดต้อยต่ำของผู้ชายไปเสียทั้งหมด อาจเป็นคนอารมณ์ไม่ปกติ เห็นผู้ชายทีไร อยากยกเอาส้นสูงยันหน้าไปทุกคนเลยก็เป็นได้
หรือไม่ก็เป็น ‘ทอม’ นั่นปิดประตูตาย เอากาว ‘ลาเท๊กซ์’ หยอดรูกุญแจ ไม่ให้ใครเขาไขเขาเจาะเข้ามาได้เลยชั่วชีวิต !
สตรีบางพวกที่ตั้งสะเป๊คผู้ชายเอาไว้สูงมาก รูปต้องหล่อ พ่อรวย แต่ไม่สำรวย ทำงานหนัก รักเสียงเพลง มารยาทงามเหมือนผู้ดีกรุงโกสินทร์ ณ สุขุมวิท (แต่เป็นโรคจิต ชอบไปเล่นแมงมุมขยุ้มหลังคากับเมียชาวบ้าน)
....หาเข้าไปเถอะ
บางคนผู้ชายนัดครั้งแรกเป็นคุณหมอด้วย หวังว่าจะได้ไปดูหนัง ฟังเพลงเต้นรำกันให้มีความสุขกันสองต่อสอง หนอยดันพาไปดูงานกับเขาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา เข็ดขี้อ่อนขี่แก่ไปเลยกลัวการเดทกับหนุ่มนับตั้งแต่บัดนั้น
พอผู้ชายรู้ว่าเธอเป็นคนเลือกมากก็เกิดความกลัว ค่อยๆลี้หลบไป สรรหาจนพออายุล่วงสามสิบไปนิดๆก็ปลอบใจตัวเองว่า คานทองยังเตี้ยอยู่ โดดลงเมื่อไหร่ก็คงทัน แต่พออายุมันไถลเข้าไปสี่สิบแล้ว ตอนนี้แหละครับ เริ่มมีคอนกรีตเสริมเหล็กลอยขึ้นมา ดันคานทองจนสูงเท่าตึกสองชั้นแล้ว จะโดดลงทั้งที ก็ต้องรวบรวมความกล้าเป็นอย่างมากทีเดียว !
พออายุห้าสิบปีเข้าแล้ว มองไปเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ก็ต้องปลอบใจกันว่า
ไปอยู่คานทองนิเวศน์กันดีกว่า...นะเธอนะ !
ผมว่าการแต่งงานนั้นมันเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นการนำคนมาอยู่ด้วยกัน เราคงได้ยินสำนวนไทยที่บอกว่า “คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า” คือเมื่อความต้องการทางเพศและการก่อกำเนิดบุตร เพื่อการสืบทอดตระกูล ทำให้มีประเพณีการสมรสเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ แต่เมื่อแต่งงานกันแล้ว แรงดึงดูดที่ทำให้คนเข้ามาอยู่ร่วมกันนั้น อาจกลับกลายเป็น ปฏิกิริยาในทางตรงข้าม คือผลักให้ห่างจากกันเสียก็ได้ ทั้งนี้เพราะแรงดึงดูดคือความรักใคร่นั้นจางหายไป แต่เมื่ออยู่ร่วมกันแล้ว ความแตกต่าง หรือนิสัย ความคิด ที่ไม่เหมือนกันเริ่มแสดงออกซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ
การอยู่ร่วมกันนั้น ต้องการความรัก ความเข้าใจ ความเสียสละระหว่างกัน เป็นต้นทุนที่สูงมาก อันนี้กระมังที่ทำให้ชาย-หญิงอาจกลัวการแต่งงาน หากเป็นฝ่ายชายก็ไม่เป็นไร ส่วนที่เป็นผู้หญิง ก็มีคำพูดที่ออกมาในทางดูถูก หรือนินทาอย่าง
“ยัยนี่อยู่มานาน ขึ้นคาน ‘รา’ จับเขลอะไปหมด ก็ไม่เคยมีใครเขามาสนใจ !”
“อายุปูนนี้แล้วนะ ยังไม่ได้แต่งงานอีก คงต้องไปสุมกับพวกที่สิงสถิตอยู่คานทองนิเวศน์อีกซะละมั้ง !!”
พูดอะไรทำนองนี้ออกมาทำนองนี้ ให้สะเทือนใจกันเล่นอย่างคะนองปาก
ทั้งๆที่การสมรสนั้น ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา ความชอบ และเหตุผลส่วนตัวของทั้งฝ่ายชายและหญิง เพราะการมีคนอีกคนหนึ่งที่ต้องมาอยู่ร่วมกันกับเราทุกวันนั้น มีเรื่องที่ต้องนำมาเป็นเหตุปัจจัยสำหรับการตกลงปลงใจ ทั้งความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยอาทรกัน ความเป็นเพื่อนคู่คิด ความเอาใจใส่สนใจกัน อารมณ์ขัน การปลุกปลอบใจให้กำลังใจระหว่างกัน นี่แหละที่เขาเรียกว่าเป็นหุ้นส่วนชีวิต
เรียกว่าต้องดูกันให้ลึกซึ้งที่เดียว
ฉะนั้น สำหรับสุภาพสตรีแล้ว ถ้ามีความรู้ความสามารถจะอยู่ได้เอง มีรายได้มั่นคง ถ้าไม่สามารถหาคู่ครองได้เหมาะสมแล้ว หากผมเป็นผู้หญิงคนนั้น
ขออยู่บนคานทองนั่งดูลมชมวิวคนเดียวไปเอง ดีกว่าโจนลงมาพื้นดิน ให้เปลืองตัวไปเปล่าๆปลี้ๆ !
ขอยืนยันว่า ผู้ที่สมัครใจอยู่เป็นโสดก็มีถมไป และอยู่ได้ด้วยความสง่างามอย่างสตรีที่ผมเคารพมาก ท่านเป็นผู้หญิงที่หน้าตาสวย สูงสง่า ท่าทางดี แต่ท่านรักความเป็นครูมาก สั่งสอนลูกศิษย์มาตลอดชีวิตเลยลืมเรื่องแต่งงานไป คนแถวลาดพร้าวรู้จักกันดี นักเรียนที่ท่านสอนมามีจำนวนหลายหมื่น พอจะเลือกตั้งผู้แทนราษฎรแต่ละครั้ง ผู้สมัครก็ไปหามิได้ขาด แม้อายุกว่าแปดสิบปีแล้ว ท่านยังทำงานทุกวันมิได้ขาด
ดังนั้น ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงาน แต่มีความสุขในการดำรงชีวิต มีเป้าหมาย ประสพความสำเร็จในหน้าที่การงาน ก็เป็นที่ยกย่อง การแต่งงานไม่ได้เป็นเรื่องวัดคุณค่าของคนเสียเมื่อไหร่กัน สำหรับสำนวนขึ้นคาน หากนำมาใช้กับสตรีผมถือว่าเป็นเรื่องดูถูกกันทีเดียว เป็นการพูดจาคะนอง ติฉินนินทาเพื่อความสนุกสนานตามประสาคนปากมากเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงานนั้น ไม่ใช่ว่าจะมีความรัก หรือมีคู้รักไม่ได้ ใครที่ได้ดูหนังเรื่อง Elizabeth จะเห็นว่า สมเด็จพระราชินี เอลิซาเบธ ที่ ๑ ของอังกฤษแม้พระองค์จะทรงหลงรักขุนนางรูปงาม Lord Robert Bradley มีเมียแล้ว แต่สำหรับพระองค์แล้ว ประเทศชาติสำคัญกว่าความรักมากมายนัก เมื่อทรงรวมศาสนาในประเทศทั้งคาทอลิคและโปรเตสแตนท์เป็นนิกาย Church of England ก็ทรงประกาศในที่ประชุมมหาสมาคมว่า จะไม่ทรงอภิเษกสมรสอย่างเด็ดขาด เพราะพระองค์ตรัสว่า
“ I have become a virgin. Observe, Lord Burghley, I am married..to England. ”
คือได้ทรงประกาศว่า ได้อภิเษกแล้วกับประเทศอังกฤษของพระองค์ จึงแสดงโดยนัยว่า
ไม่มีที่ว่าง สำหรับการที่จะทรงมีคู่ครองอีกต่อไป !
ที่ประทับใจผมมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือก่อนเสด็จทรงออกขุนนาง เพื่อทรงประกาศพระราชเจตนารมณ์อันแน่วแน่นี้ ได้ทรงปลงพระเกศาอย่าง นางชี ของคริสตศาสนา ทรงสวม วิก และแต่งพระพักตร์ด้วยแป้งขาวซีดพระอริยาบทเคร่งขรีม สีพระพักตร์ดูราบเรียบไร้ความรู้สึก เหมือนจะทรงยืนยันความมุ่งมั่นในคำมั่น ที่จะทรงอุทิศพระองค์ให้กับประเทศชาติอย่างแน่วแน่ ไม่มีเรื่องส่วนพระองค์มาเจือปนแม้แต่สักนิด แล้วอาณาจักรอังกฤษในรัชสมัยของ Queen Elizabeth1 ก็แผ่พระราชอำนาจไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ปูรากฐานความมั่นคงมั่งคั่งให้อังกฤษก้าวขึ้นเป็นมหาอาณาจักร ที่ทรงอำนาจอันยิ่งในที่สุด
หากท่านผู้อ่านติดตามคอลัมน์นี้มาตั้งแต่แรก ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการประกวดนางงาม นางสาวไทย เพราะตัวเองเป็นคนชอบดูการประกวดนางงาม เคยเป็นกรรมการการประกวดหลายหน มีประสบการณ์สนุกสนานในเรื่องของการประชันกัน บนเวทีความสวยความงามอย่างที่เคยเล่าให้ฟัง
ที่ชอบใจมากคือเขามีการประกวด “มิสคานทอง” แต่ไม่มีโอกาสได้ไปดูเพราะติดธุระ การประกวดนี้ไม่ดังเหมือนกันกับ นางสาวไทย บางคนอาจฟังไม่คุ้นหูเท่าไหร่นัก เพราะส่วนใหญ่เราคงเคยได้ยินแต่ มิสทีนไทยแลนด์ มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส มิสยูลีค ฯลฯ แต่มิสคานทองนั้น เป็นเวทีเฉพาะสำหรับผู้มีคุณสมบัติพิเศษ คือโสด (แน่ละ) และไม่มีบุตรมาก่อน ตรงนี้สเป๊คล๊อคแน่นหนา แต่ไม่รู้ว่าเขามีวิธีตรวจกันอย่างไร และต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบปี ซึ่งผมว่าน้อยไปหน่อย
การประกวด “มิสคานทอง ” ผมว่ามีประโยชน์ เพราะจะทำความมั่นใจให้กับผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน และเป็นการประกาศกับสังคมว่า ผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน สวย มีคุณค่าต่อสังคม ก็ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก
การประกวดปีแรกก็ได้ น.ส. เสาวภา เทพหัสดิน ณ อยุธยา สาวปริญญาโท มสธ. คว้าตำแหน่ง "มิสคานทอง" คนแรกของไทยไปครอง ส่วนคณะนางงามนั้น มีระดับปริญญาเอกและโทอีกเป็นกะตั๊ก สำหรับปีหลังสุดนี่ก็ได้ น.ส. สมาภรณ์ ชูกิจ นักจัดรายการวิทยุที่รู้จักกันดีคว้ามงกุฎไปครองเรียบร้อย น่าชื่นชมทั้งคู่ และหวังว่า
อีกไม่นานทั้งสองมิสคานทองทั้งสองรายคงจะได้แต่งงาน (หรือแต่งไปแล้วก็ไม่ทราบ) เพราะไม่มีใครเขาปล่อยคนสวยๆ เก่งๆ ไว้นานเกินรอ
ให้เสียของไปเปล่าๆ ไม่เข้าการหรอก
เชื่อผมเหอะ !
ก่อนจบคอลัมน์วันนี้...ขอย้อนกลับไปตามคำนายทายทัก ของคุณหมอไพศาล ที่ทายทัก ว่า... “ที่แก่จนแม่เป็นห่วงจะพบคนถูกใจแล้วล่ะ”...นั้น
หากคำทำนายของคุณหมอ กลายเป็นความจริง บอกได้เลยว่า
สตรีวัยสูงตามกติกาขนาด มิสคานทอง นั้น บอกได้ตรงๆว่า ไม่ได้เป็นปัญหากับผมเลยแม้แต่น้อย...จริงจิ๊ง...จิง จิง
เพี้ยง...ขอให้คุณหมอ ‘ทายแม่น’ ทีเถอะน่า !
จะได้รู้กันสักทีเถอะ ไอ้ที่เคยได้ยินผู้หญิงเขาพูดกัน ว่า
“ผู้ชายยิ่งแก่...ยิ่งหอม นะคะ !!” น่ะ
จริงหรือเปล่า...จ๊ะ!!!?
................................................