xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 194 “เนื้อทอง...ของแม่”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้...ผมจิบกาแฟขมแล้ว ดูข่าวโทรทัศน์และรายการเกี่ยวกับงานวันแม่ ที่มีการดำเนินการกันอย่างคึกคัก และก่อนหน้านั้น ก็ได้ยินเสียงเพลง “ใครหนอ” กับ “ค่าน้ำนม” อันเป็นสัญลักษณ์ของงานวันสำคัญของผู้เป็นลูก ที่จะได้ไปกราบมารดาผู้ให้กำเนิด ซึ่งสถานีวิทยุต่างๆนำมาเปิดให้ประชาชนได้รับฟังกัน เพื่อให้ระลึกถึงพระคุณของแม่ที่เฝ้าเลี้ยงดูกล่อมเกลี้ยง เลี้ยงมอบดูทั้งความรักและความอบอุ่นให้กับลูก

วันแม่นั้นเวียนมาถึงทีไร ให้คิดถึงไออุ่นจากแม่เสมอ

เรื่องไออุ่นของแม่นั้น ผมเขียนเอาไว้ และขออนุญาตนำมาเสนอท่านผู้อ่านในโอกาส ‘วันแม่’อีกครั้ง ผมเขียนเอาไว้อย่างนี้ครับ

...คนไทยนั้นเขาถือว่าผ้าถุงที่แม่นุ่งนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์ นายทหารนายตำรวจหลายคนเวลาจะลงรบ ไปกราบลาแม่ออกสงคราม แม่จะฉีกชายผ้าถุงให้ นายทหารรุ่นพี่ติดกัน ที่สนิทกันกับผมท่านหนึ่งเกษียณไปหลายปีกแล้ว คือ พลโท พิชัย ก้อนทรัพย์ ก่อนออกสนามรบคุณแม่ของท่านฉีกชายผ้าถุงส่งให้ แล้วอวยพรลูกรักว่าให้แคล้วคลาดปลอดภัย

“พี่ก้อน”
(ชื่อเล่นของท่านพลโท พิชัย ก้อนทรัพย์) ของผมจะเอาผ้าถุงของคุณแม่คล้องสะพายแล่ง ไม่ยอมให้หลุดออกจากตัวเมื่ออยู่ในสมรภูมิ เพราะอานุภาพของแม่จะคุ้มครอง กลิ่นผ้าถุงของแม่จะทำให้เหมือนได้ใกล้ชิด ด้ไออุ่นจากแม่ ทำให้เกิดขวัญและพลังใจ ไม่หวาดกลัวศัตรู เข้าสู่ ยุทธบริเวณและทำการรบด้วยความมั่นใจ หน่วยของท่านซึ่งเป็นทหารราบโดนถล่มหนักด้วยปืนใหญ่ขนาด ๑๓๐ มิลลิเมตร ของฝ่ายตรงข้าม ปืนชนิดนี้น่าสะพรึงกลัวเพราะร้ายกาจนัก ไม่น่าเชื่อว่ากระสุนปืนใหญ่ได้แต่ตกอยู่แค่รอบขอบฐาน เสียงดังกึกก้องเท่านั้น แต่ไม่เคยหลุดเล็ดรอดเข้ากลางฐานทำอันตราย ‘พี่ก้อน’ของผมกับทหารใต้บังคับบัญชาได้เลย เป็นที่น่าอัศจรรย์

มาถึงพ.ศ.นี้ก็เถอะ ความเชื่อนี้สำหรับทหารไทยยังไม่คลาย ผมรับรองว่าทหารของเราที่ไปอิรัค ต้องมีหลายคนคาดผ้าถุงของแม่ไปด้วย ไม่เชื่อให้นักข่าว “ผู้จัดการ” ลองไปสัมภาษณ์ดูก็ได้
....(กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๐๗ “กลิ่นแก้มนางหอม...ฮื่อ...ใช่..ฮ้อม หอม !” )

วันแม่ปีนี้มีคนคุยให้ฟังถึงเรื่องน่ารักเกี่ยวกับแม่ เป็นเรื่องที่เคยได้ยินมานานแล้ว บางคนให้ความเห็นว่า อาจนำเรื่องของฝรั่งนำมาดัดแปลง แต่จะขอเล่าเอาไว้ในเวอร์ชั่นของผมอย่างนี้ครับ

เด็กชายวัย ๘-๙ ขวบ เดินหน้ายู่ยี่ไปหาแม่ แล้วยื่นกระดาษที่ถือในมือซึ่งยับเหมือนหน้าตัวเอง ให้กับมารดา แล้วพูดเสียงอ่อยๆ ว่า “คุณแม่ ช่วยดูบัญชีค่าแรงหน่อยครับ”

ผู้เป็นมารดารับมาอ่านดู ก็พบข้อความดังต่อไปนี้
บัญชีค่าแรงและค่าใช้จ่าย ของลูก (ด.ช.เขียด)
รายการที่ ๑. ค่าแรงถูบ้าน ๑๐ บาท
รายการที่ ๒. ค่าแรงทิ้งขยะ ๑๐ บาท
รายการที่ ๓. ค่าแรงล้างรถ ๓๐ บาท
รายการที่ ๔. ค่าแรงถือตะกร้าตามแม่ไปหิ้วของที่ตลาด ๑๕ บาท
รายการที่ ๕. ค่าน้ำชา ‘โออิชิ’ ที่ซื้อดื่มระหว่างรอคุณแม่ช้อบปิ้ง ๒๐ บาท
รวม ๕ รายการ เป็นเงินที่คุณแม่ค้างจ่าย ๘๕ บาท (แปดสิบห้าบาทถ้วน)

คุณแม่อ่านรายการค้างจ่ายลูกชาย ที่ชอบทำบัญชีเหมือนนายกทักษิณฯเรียบร้อย ก็เขียนเอาดินสอเขียนต่อท้ายบัญชีไปว่า

บัญชีค่าแรงและค่าใช้จ่าย ของคุณแม่

๑. ค่าอุ้มท้อง ด.ช.เขียด ๙ เดือน เต็ม....คุณแม่ยังไม่ได้คิด
๒. ค่านมผงใช้เลี้ยงทารกตั้งแต่ ด.ช.เขียดเกิด ตามจำนวนกระป๋องที่วางไว้ในโรงรถ...คุณแม่ยังไม่ได้คิด
๓. ค่ายาวัคซีน ค่าหมอเด็ก...คุณแม่ยังไม่ได้คิด (รวมทั้งค่าหมอฟันด้วย)
๔. ค่าของเล่นจำนวนมาก...คุณแม่ยังไม่ได้คิด
๕. ค่าเล่าเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึง ป.๓ ...คุณแม่ยังไม่ได้คิด (รวมทั้งที่ต้องจ่ายต่อไปอีกหลายปี...ยังไม่ได้คิดด้วย)
๖. ค่าน้ำนมจากเต้าของคุณแม่เอง...ก็ยังไม่ได้คิด
ฯลฯ...ยังไม่ได้คิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ที่ยังไม่ได้คิดทั้งหมด เพราะเห็นว่าของบางอย่างก็คิดเป็นเงินได้ แต่บางรายการก็คิดเป็นเงินไม่ได้ เช่นรายการลำดับที่ ๖ และที่สำคัญ แม่เองไม่เคยจะคิดเงินจากลูกเขียดเพราะความรักของแม่ที่มีต่อลูก ไงจ๊ะ!....
ลงชื่อ คุณแม่...ผู้รักลูกมาก


เขียนเสร็จคุณแม่ส่งบัญชีคืนให้พ่อหนูนักบัญชีลูกชายอ่านจบ เขียนต่อท้าย ด้วยลายมือเท่าหม้อแกง เพื่อให้มารดาอ่านได้ชัดเจน ข้อความนั้นมีว่า

...ได้รับเงินและของจากคุณแม่ครบถ้วนแล้ว...และดูเหมือนว่า หักกลบลบหนี้กันแล้วลูกยังเป็นหนี้อีกมาก
รักคุณแม่ มากๆครับ
จาก...ลูกเขียด

เรื่องนี้ ฟังแล้ว...ก็น่าเอ็นดูดี !

อย่างไรก็ตาม วันนี้ผมมีเรื่องมาเล่าที่ตรงข้าม กับเรื่องที่เพิ่งเอามาถ่ายทอดให้ฟัง ดังนี้ คือ

เมื่อปลายเดือนที่แล้ว ผมได้มีโอกาสดูภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ทางเคเบิลทีวี ชื่อ The Human Stain นำแสดงโดย Anthony Hoppkins ไม่แน่ใจว่าหนังเรื่องนี้ฉายทางโรงใหญ่ในเมืองไทยหรือเปล่า แต่ดูแล้วจะว่าประทับใจก็ไม่เชิง หรือไม่ถูกใจก็ไม่ใช่อีกเพราะหนังมันพิกล

หนังเรื่องนี้เปิดฉากให้เห็นตัวเอกของเรื่อง ซึ่งแสดงนำโดย Anthony Hoppkins เป็นศาสตราจารย์ ผู้เชี่ยวชาญทางวรรณคดีอังกฤษ ชื่อโคลแมน สอนหนังสือในมหาวิทยาลัย บังเอิญแกหลุดปากใช้ คำ Slang ที่แสลงมากๆ โดยอีตาคนนี้เรียกนักศึกษาผิวสีที่ไม่เข้าห้องเรียนว่าเป็นพวก Spook

คำๆนี้เป็นภาษาพูด มีความหมายว่าผี และเรียกคนผิวดำ ในทางที่ออกไปในลักษณะเหยียดหยาม พอๆกันกับคำว่า Nigro , Nigger หรือ Nig

คณะกรรมการของมหาวิทยาลัยลงความเห็นว่า Spook เป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสมสำหรับคนที่เป็นครูบาอาจารย์จะใช้เรียกนิสิตนักศึกษาผิวสี โปรเฟสเซอร์ โคลแมนโกรธจัดยื่นใบลาออก ก่อนที่จะครบเกษียณอายุงานไม่เท่าไหร่ พอภริยาของแกรู้เรื่องแกตกงานเข้าก็เสียใจมาก เกิดอาการป่วยโดยเส้นเลือดอุดตันเฉียบพลัน เดทสะมอเร่ไปเลย

ศาสตราจารย์ โคลแมน กลัดกลุ้มหนัก เพราะรักภริยามาก ความรักอาลัยคู่ครองที่ตายไป กอบกับความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว เลยถลำไปคบค้ากับผู้หญิงที่มีชีวิตเหลวแหลกในอดีต เป็นภารโรงในมหาวิทยาลัย แถมยังแบกจ๊อบเป็นคนรีดนมวัวในฟาร์มตอนเช้า ตกบ่ายมาเป็นพนักงานไปรษณีย์ อีตาอาจารย์หลงรักเอาจริงๆจังๆซะด้วย

หนังเขาย้อนกลับให้ดูอดีตตัวเอกชองเรื่อง ซึ่งก็คือศาสตราจารย์คนนี้ ความจริงแล้วแกไม่ใช่คนขาว หากแต่เป็นคนดำที่มีผิวขาว ตรงนี้ขออธิบายว่า ตอนที่คนอัฟริกันที่ไปประเทศสหรัฐในยุคแรกๆนั้น เข้าเมืองในฐานะทาสที่ถูกซื้อหามา ผู้หญิงผิวสีกลายเป็นเมีย หรือถูกข่มเหงทางเพศจากคนผิวขาวชายเป็นจำนวนมาก จนมีลูกมีเต้าด้วยกัน ดังนั้นระยะสองร้อยกว่าปีของการตั้งชาติสหรัฐ มีลูกครึ่งผิวขาว-ดำเป็นจำนวนมาก และที่สีผิวจางก็มีมากๆเพราะผสมปนเปกับคนขาว ๒-๓ ชั่วอายุคน บางทีในครอบครัวเดียวกัน พี่น้องออกมาดำบ้าง ขาวบ้าง หรือคละกันไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก

โปรเฟสเซอร์ โคลแมน นี้ก็เช่นเดียวกัน เกิดมาในบ้านที่พ่อเป็นพนักงานบริการบนรถไฟ แม่เป็นพยาบาล ตัวแกเองมีพี่ชายและน้องสาวอย่างละคน ทั้งพี่และน้องผิวสีหมด เหลือแต่แกขาวอยู่คนเดียว พ่อเสียชีวิตขณะกำลังเสิรฟอาหารบนเคบินตู้เสบียงรถไฟ

ตอนเป็นหนุ่ม อีตาโคลแมนรักกับสาวผิวขาวแบบดูดดื่มหวานเจี๊ยบ จนถึงเวลาที่เหมาะสม ก็พาสาวเจ้าไปบ้าน รับประทานอาหารเย็นกับแม่ที่เพิ่งเป็นม่ายไม่นาน ตอนทานอาหารก็คุยกันดี พอนั่งรถไฟกลับเมืองที่คู่รักทั้งสองอาศัยอยู่ ฝ่ายสาวเจ้าทำใจไม่ได้ ที่จะต้องแต่งงานกับคนเชื้อสายผิวสี คงกลัวลูกออกมากระดำกระด่างหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ก็เลยต้องเลิกรากันไปในที่สุด

เจ้าหนุ่มจึงอกหัก อดแต่งงานกับสาวคนแรกไป

หนุ่มโคลแมนเสียใจมาก แทบไม่เป็นผู้คน แต่อย่างว่าแหละครับ คนหนุ่มถึงจะถูกหักอกก็แค่ประเดี๋ยวประด๋าว เดี๋ยวเดียวก็มีรักใหม่อีก คราวนี้ก็เป็นสาวผิวขาวอีก จนจะแต่งงานกัน คราวนี้แกไปหาแม่เพื่อบอกเรื่องตัวเองจะแต่งงานอีกครั้ง แต่ไม่ได้พาสาวเจ้าไปด้วย เพราะคงกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม พอโคลแมนก็บอกกับแม่เรื่องจะแต่งงาน แม่ผู้เป็นมารดาถามว่าไม่พาสาวมากินข้าวเพื่อดูตัวรู้จักกับกับแม่หรือ ?

หนุ่มผิวขาวแต่มาจากแม่และพ่อที่ผิวดำบอกว่า ไม่พามาเพราะเกรงว่าจะเหมือนคราวที่แล้ว แถมยังกล้าบอกกับแม่ไปอีกว่า ตอนไปนี้จะไปใช้ชีวิตอย่างคนขาว โดยจะไม่ติดต่อกับครอบครัวของตนอีก

ไม่บอกก็ต้องรู้ว่า...แม่เสียใจมากแค่ไหน

เธอพูดกับบุตรชาย ว่า

“สำหรับลูกแล้ว แม่ไม่คิดว่าลูกขาวหรือดำ แต่ลูกเป็น Golden Boy ของแม่เสมอ”

คำว่า Golden Boy หรือ “เด็กทอง” หรือ “เด็กเนื้อทอง” เราจะเห็นเขาใช้เป็นฉายาเด็กที่มีความประพฤติดี อย่างนักมวยชื่อ ออสการ์ เดอลา ฮอยย่า นักชกเหรียญทองโอลิมปิค และแชมป์โลกเข็มขัดหลายเส้น เป็นคนเชื้อสายแมกซิกัน แต่ความเก่งกาจในเชิงชก บวกกับเป็นคนเรียบร้อย ประพฤติดี ชาวอเมริกันให้ฉายา Golden Boy

“เด็กทอง” หรือ “เด็กเนื้อทอง” นั้น ใช่จะมีแต่ฝรั่ง คนไทยเรียกเด็กว่า พ่อเนื้อทอง แม่เนื้อทอง หรือพ่อทอง แม่สุวรรณ อะไรทำนองนี้ อย่างในเพลงกล่อมเด็กชื่อ พัดกระดาษ ที่ว่า

....พ่อพัดกระดาษเอย นอนเอยนอนไม่หลับเอย
แม่จับมาพัดโบกให้พ่อทอง ร้อนจี่ของพ่อจงหนีโลกเอย
นกนวลเอยของพ่อลอย ให้พ่อร้อยชั่งเอย...

ไม่ใช่ Golden Boy ธรรมดา หากเป็น Golden Boy หรือพ่อทองหนักถึงร้อยชั่งเลย เบาอยู่ซะเมื่อไหร่กัน !

บางทีก็ใช้ชมผู้หญิงว่าเธอสวยราวกับมีเนื้อเป็นทอง อย่างเพลงของ คุณชรินทร์ นันทนาคร “เนื้อทองของพี่ เจ้าหนีพี่ไป ...” อย่างนี้เป็นต้น

สำหรับแม่แล้ว ไม่ว่าลูกจะขี้ริ้วขี้เหล่ พิกลพิการ ลูกก็เป็น Golden Boy ของแม่เสมอ

เมื่อลูกชายไม่ยอมเปลี่ยนใจ ในการยอมรับความจริง แม่ผู้เศร้าโศก เลยบอกว่า
“ลูกเอ๋ย...เจ้าขาวเหมือนสำลี...แต่คิดเหมือนทาส”

ใช่ครับ...เจ้าโปรเฟสเซอร์นี่ คิดเหมือนคนเป็นทาสที่ตกเป็นทรัพย์ของนายเงิน กลายเป็นสัตว์มีเจ้าของ ไม่ใช่คนอีกต่อไป หรืออาจเทียบได้กับคนคุก ไม่มีอิสระเสรี ทั้งๆที่ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำเพราะกระทำความผิด...แต่

ตัวเองกลับ สร้างความเท็จ เป็นกำแพงสีเหลี่ยม กักขังตนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งศาสตราจารย์อกตัญญูคนนี้ ก็เป็นไปอย่างที่แม่ว่าจริงๆ คือมีชีวิตอย่างซ่อนเร้นเกรงคนจะล่วงรู้ถึงชาติพันธ์กำพืดของตัวเองว่าเป็นคนดำ ผิวสีไม่ขาวจริงๆ เลยกลายเป็นรอยด่าง หรือ Stain ที่ตัวแกก็ต้องคอยปิดๆบังๆไปตลอดชีวิต

นอกจาก Stain หรือรอยด่างของตัวเอกแล้ว หญิงที่คนสุดท้ายมีความสัมพันธ์กับ โปรเฟสเซอร์ซึ่งจบชีวิตไปพร้อมกับแกเพราะอุบัติเหตุ ก็ยังมีรอยด่างจากชีวิตในอดีต ผัวเก่าเป็นทหารกลับจากสงครามเวียตนาม ป่วยทางจิต พอมาถึงบ้านกลายเป็นไอ้พวกชอบซ้อมทำร้ายเมีย จนบางครั้งตื้บเมียโคม่าไปสองวันเลยก็มี ส่วนลูกก็ตายในกองไฟเพราะไฟไหม้บ้าน ชีวิตตัวละครที่เกี่ยวข้องหนัง ล้วนแล้วแต่มีความกระดำกระด่าง มีรอยมลทินเปรอะเปื้อนไปด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

ดูหนังเรื่องนี้ไปก็ให้อึดอัด ชีวิตอะไรของมัน ถึงบัดซบได้ปานฉะนี้ แต่ที่แน่ๆคือสงสารและเห็นใจ ผู้หญิงที่เป็นแม่คนนี้เหลือเกิน ที่เธอต้องตรอมตรมเพราะความอกตัญญูของลูกชาย

แต่คิดอีกทีก็ก็สมน้ำหน้า ไอ้ศาสตราจารย์เฮงซวยที่มันต้องรถคว่ำตายไปรู้แล้วรู้รอด เพราะบาปกรรมที่มันทำกับแม่ !

คนที่ทำให้แม่เสียใจนั้นเป็นบาป ดูโทรทัศน์ที่เขาโฆษณาให้อดเหล้าเข้าพรรษาเพื่อแม่ ลูกชายเมาแอ๋กลับบ้าน แม่ผู้ชราถามว่า

“กินข้าว หรือยัง...ลูก?”

เป็นคำถามที่ท่านผู้อ่านคงคุ้น เพราะคุณแม่ของท่านคงถามด้วยประโยคนี้เสมอ ยิ่งผมที่แยกบ้านจากท่านไปตั้งแต่เรียนจบ พบแม่ทีไรก็ได้ยินคำพูดที่เหมือนเป็นประโยคทอง ซึ่งแสดงความห่วงใยที่มีต่อผม กลัวลูกจะอดอยาก

แม้จนกระทั่งขณะเขียนคอลัมน์นี้ เหมือนเสียงแม่ของตัวคนเขียนเอง ยังดังกึกก้องอยู่เต็มสองหู !

ในชีวิตผมเข้าไปเรือนจำและทัณฑสถานบ่อย เพื่อสอบผู้ต้องขังหรือนักโทษ หลายคราวที่ผมเห็นหญิงสูงอายุ นุ่งผ้าถุงหรือนุ่งจูงกระเบน นัยน์ตาแห้งผาก ใบหน้าอมทุกข์ รออยู่ในแถวผู้เยี่ยมของญาติผู้ต้องขัง มือหิ้วของกินและส้มสูกลูกไม้มาเป็นของฝาก

สอบถามแล้วก็ทราบว่า เดินทางมาจากต่างจังหวัด เพื่อเยี่ยมเยียนลูกชายที่ต้องโทษในเรือนจำ

คุกกั้นได้แค่กายระหว่างแม่กับลูก แต่กำแพงเรือนจำมหันตโทษ กั้นความรักและห่วงใยที่แม่มีต่อลูกไม่ได้ !

คนที่อยู่ในคุกรู้กันบ้างหรือเปล่า ว่าพวกเขาทำให้คนเป็นแม่ ทุกข์ระทมแค่ไหน !?
อยากรู้จริงๆ

คนอยู่นอกคุกที่ไม่รักแม่ รู้กันบ้างไหมว่า ถ้าคบคนชั่ว มั่วสุมเสพยา พาตัวเข้าไปในวงโจร ยกพวกไปตีกัน ไล่ฆ่าคนอย่างไม่มีเหตุผล ไม่ช้าไม่นาน ก็อาจทำความลำบากให้กับแม่ หรือมาม้า(ชาวไทยเชื้อสายจีนเรียกแม่) หรือมะ (คนไทยมุสลิมเรียกมารดา) ของตัวเอง ที่จะต้องให้ผู้บังเกิดเกล้า ไปต่อแถวเยี่ยมญาติในเรือนจำอย่างที่ผมเล่า

อีกไม่กี่วัน จะถึง ‘วันแม่’ มาคิดดี ทำดีให้กับแม่ให้ท่านชื่นใจ แล้วชวนกันไปกราบแม่กันเถอะ ถ้าหากท่านยังมีคุณแม่อยู่

เพราะคงโชคดีกว่าผม ที่ต้องจุดธูป ไปกราบแม่ตัวเองบนสวรรค์ !

วันเป็นมิ่งมหามงคลของชาวไทยกำลังจะมาถึง ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๘ นี้แล้วคือ วันเฉลิมพระชนม์พรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์พระบรมราชินีนาถ และเป็น “วันแม่แห่งชาติ”

ชาวไทยทั้งปวงตระหนักในน้ำพระราชหฤทัย อันเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาของพระองค์ ที่ทรงเผื่อแผ่กว้างขวางไปยังประชาชนทั่วพระราชอาณาจักร รวมทั้งคนต่างชาติ ต่างภาษา ผู้ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ถึงวันนี้แม้สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงมีพระชันษาเพิ่มขึ้น แต่พระองค์กลับทรงงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหตุด้วยน้ำพระราชหฤทัย และพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรของพระองค์ ที่ไม่มีวันแห้งเหือดหรือลดลงแม้แต่น้อย แต่นับวันกลับเพิ่มปริมาณมากขึ้น เปรียบดังแม่น้ำใสสะอาดบริสุทธิ์ที่ไหลบ่ามา หล่อเลี้ยงชีวิตให้ชาวเราได้ดื่มกินกันได้อย่างบริบูรณ์ ทุกฤดูกาล โดยไม่มีที่สิ้นสุด

ตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่ากึ่งศตวรรษ ที่ทรงเป็นพระบรมราชินีนาถ คู่พระราชหฤทัยองค์พระประมุขของชาติ ทรงพระราชทานในสิ่งดีงามและเป็นประโยชน์แด่คนไทย โดยไม่เลือกว่าจะมีเชื้อชาติ ศาสนาใด โดยทรงมุ่งแต่ประโยชน์สุขของประชาชนในชาติเป็นสำคัญ

ในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาปีนี้ จะเป็นวาระที่ไทยทั้งชาติ จะพร้อมใจกับประดับธงชาติ และธงสีฟ้ามีพระปรมาภิไธยย่อ ส.ก. ที่หน้าบ้านและอาคารของตน และเมื่อถึงเวลา ๑๙.๒๙ น. เราจะไปจุดเทียนชัย และขับร้องเพลงถวายพระพรชัยมงคล ดังได้เคยปฏิบัติมาเป็นประจำทุกปีมิได้ขาด ถวายแด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของชาวเรา และเปล่งเสียงถวายพระพรพร้อมกันว่า

“ขอสมเด็จพระบรมราชินีนาถของเรา...ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ! ”

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะฯ
ข้าพระพุทธเจ้า

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


.............................

กำลังโหลดความคิดเห็น