หัวค่ำของวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมงฟอร์ต แต่ผมก็นั่งฟังปาฐกถาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างตั้งใจจนแทบจะเรียกได้ว่าเกาะติดอยู่หน้าจอโทรทัศน์ช่อง 9 กับ ช่อง 11 เลยก็ว่าได้
ปาฐกถาของท่านนายกรัฐมนตรีในวันนั้นไม่ได้มีเนื้อหาอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเท่าใดนัก เพราะ ณ ขณะนั้นเวทีของงานครบ 72 ปี โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ได้กลายเป็นเวทีประกาศนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทยทั้งประเทศโดยสมบูรณ์ ภายใต้สภาวะของวิกฤตศรัทธา ที่กระแสความเชื่อถือและไว้วางใจของประชาชนต่อผู้นำประเทศตกต่ำที่สุดในรอบ 4 ปีครึ่งที่ผ่านมา จนท่านนายกฯ ต้องกล่าวดักไว้ตั้งแต่ตอนว่า
"เศรษฐกิจทุนนิยมนั้น คำว่าความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ หรือเรียกว่า Trust and Confidence ใครเชื่อเราเขาก็ให้เรากู้ คนเขาไม่เชื่อเราเขาก็ไม่ให้เรากู้ ตัวผมเองนี่ วันที่คนเขาไม่เชื่อผมเนี่ย แลกเช็กแสนหนึ่งเขายังไม่ให้แลกเลย ถ้าจะให้แลกเขาจะต้องขอดอกฯ แพงหน่อย เพราะความเสี่ยงสูง แต่วันนี้ถ้าบอกว่าอยากได้ตังค์สัก 100 ล้าน รับรองนายธนาคารที่นั่งอยู่นี่ให้ผมกู้แน่ไม่ต้องมีอะไรค้ำประกัน
"เพราะฉะนั้นความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ประเทศไทย พวกเราถ้าเราไม่เชื่อถือพวกเรากันเอง เราดูถูกประเทศไทย เราดูถูกความน่าเชื่อถือของประเทศ เราดูถูกบรรยากาศเศรษฐกิจประเทศ อันตราย เพราะถ้าเราไม่เชื่อจะให้คนอื่นมาเชื่อมันยาก ......"
คำกล่าวของท่านนายกฯ ทางทฤษฎีแล้วเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องทุกประการ อย่างไรก็ตามด้วยสถานะ และการกระทำที่ผ่านมาของท่านนายกฯ และคนรอบตัว ส่งให้การปลุก ความเชื่อถือและความเชื่อมั่น (Trust and Confidence) ของประชาชนที่มีต่อผู้บริหารประเทศนั้นมิอาจเป็นไปได้ ในเมื่อ
- สนามบินสุวรรณภูมิกำลังเป็นข่าวถูกรุมทึ้งทั้งจาก คนในครอบครัวและคนรอบตัวท่านนายกฯ อย่างตะกละตะกราม ทั้งเรื่อง CTX ทั้งเรื่องที่จอดรถ
- ปัญหาเรื่องการทุจริตลำไย 50,000 ตัน ที่ปัจจุบันรัฐบาลต้องกลบกระแสข่าว และโหมกระแสด้วยการจัดดึงภาคเอกชนให้ช่วยกันซื้อลำไย ทั้งยังจัด 'มหกรรมกินลำไยช่วยชาติ' ขอร้องประชาชน โดยใช้วิธีโฆษณาว่า "กินลำไยเป็นการช่วยชาติ"(หรือช่วยนักการเมืองคอร์รัปชั่นก็ไม่ทราบ)"
- ปัญหากล้ายาง ที่ท่านนายกฯ รีบออกมาอุ้มบริษัทเอกชนที่มีข่าวว่า สมคบคิดกับรัฐมนตรีและคนใกล้ชิดท่านนายกฯ เอารัดเอาเปรียบเกษตรกรอย่างไร้ยางอาย
- ปัญหาการปั่นหุ้นของบริษัทปิคนิค คอร์ปอเรชั่น (PICNI) ที่สุดท้ายแม้ คุณสุริยา ลาภวิสุทธิสิน จะยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แต่ผลกระทบที่ส่งตามมาก็ คือ ไม่เพียงมาร์เกตแคปของตลาดหุ้นไทยจะลดต่ำลงมากกว่า 12,000 ล้านบาทแล้ว ความเชื่อมั่นของนักลงทุนภายในและภายนอกที่มีต่อตลาดหุ้นไทยก็ถูกดึงให้ลดต่ำลงอย่างมาก เพราะ เรื่องบริษัทปิคนิคนี้ไม่เป็นเพียงแค่ปัญหาของตลาดหุ้น แต่ยังถือว่าเป็นปัญหาที่ส่งผลลบต่อความน่าเชื่อถือในระดับประเทศ
- ปัญหากลุ่มวังน้ำเย็น หรือ 'สุริยะ-สุริยา' ที่เนื้อแท้แล้วก็คือ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายหญิงและเจ๊ใหญ่ ที่สามารถโยงไปได้ถึงรากฐานความขัดแย้งในด้านผลประโยชน์ภายในพรรคไทยรักไทย ที่สะท้อนออกมาถึงวิธีการแก้ไขปัญหาประเทศของท่านนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีว่า ลำดับความสำคัญอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ภายในพรรคเป็นอันดับแรก มิใช่วางอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นหลัก
- ปัญหาเรื่องการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่รัฐบาลกำลังหลับหูหลับตาผลักดันอย่างเต็มสูบให้สามารถเข้าตลาดหุ้นได้รวดเร็วที่สุด ทั้งๆ ที่ปัญหาคาใจประชาชนอย่าง การแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ที่เมื่อแปรรูปแล้วหุ้นส่วนใหญ่กลับไปตกอยู่ในเงื้อมมือของ เครือข่าย และ Nominee นักการเมืองยังไม่ได้รับคำตอบ ซ้ำด้วยตัวเลขกำไรสุทธิกว่า 62,000 ล้านบาทของ บริษัท ปตท. จำกัด ในปี 2547 ที่เพิ่มขึ้นจากตัวเลขกำไรสุทธิของปี 2546 กว่า 25,000 ล้านบาท
กำไรของ ปตท. ที่เพิ่มขึ้นในที่นี้ หมายความถึง เงินในกระเป๋าของเหล่าผู้ถือหุ้นอภิสิทธิชนที่เพิ่มขึ้น สองต่อทั้งราคาหุ้นและเงินปันผลที่ได้รับจำนวนมหาศาล ภายใต้ภาวะวิกฤตพลังงานและน้ำมันของประเทศที่ประชาชนทั่วประเทศต้องเป็นผู้แบกรับ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปี 2548 ที่ระดับราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสูงสุดในประวัติศาสตร์ กำไรสุทธิของปตท. ย่อมสูงกว่า 62,000 ล้านอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงเรื่องเล็กๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรม 'พูดอย่างทำอย่าง' ของ ท่านนายกฯ และคนใน ไม่ว่าจะเป็น นโยบายรณรงค์การประหยัดพลังงาน และการรณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันดับไฟ ที่เป็นเพียงนโยบายชั่วครั้งชั่วคราว ที่ตัวผู้รณรงค์เองก็มิได้สนใจจะปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นการขับรถสปอร์ตซดน้ำมันมาประชุมครม.ของอดีตรมช.พาณิชย์ หรือ การออกมาเปิดเผยโดยคนขับรถของท่านนายกฯ เองว่า รถท่านนายกฯ เองก็ไม่เคยสนใจที่จะเติมน้ำมันช่วยชาติอย่าง แกสโซฮอล เช่นกัน
ฯลฯ
'ปัจจัยภายใน' เหล่านี้ ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาที่เกิดจาก 'ปัจจัยภายนอก' มิอาจเป็นไปได้อย่างราบรื่น และมิอาจซื้อใจประชาชนให้ร่วมแรงร่วมใจ แก้ปัญหาในหลายๆ เรื่องได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาด้านราคาน้ำมันโลก หรือ ปัญหาไฟใต้ ที่ล่าสุดมีการประกาศพระราชกำหนดการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีเสียงคัดค้านกันไปทั่วจนได้รับฉายาว่า 'พ.ร.ก.ติดหนวด'
ในเรื่องนี้ผมขอถือวิสาสะ แนะนำให้ท่านนายกฯ ผู้ชื่นชอบอ่านตำราฝรั่ง กลับไปหา 'สามก๊ก' ฉบับภาษาไทยโดยเฉพาะในตอน จุดจบของ "สิงห์สำอาง" ลิโป้ มาอ่าน
เป็นที่ทราบกันดีว่า 'ลิโป้' นั้นเป็นยอดฝีมือในการรบ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นขุนศึกที่มีฝีมือในเพลงอาวุธเหนือกว่าใครในเรื่องสามก๊กเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วจุดจบของลิโป้ก็มาถึงด้วยเหตุผลที่สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า
"หากเหตุภายในมิอาจเอาชนะ เหตุภายนอกย่อมโหมกระหน่ำซ้ำ"
หนังสือ กรุสมบัติสามก๊ก แปลโดย บุญศักดิ์ แสงระวี วิเคราะห์ถึง จุดจบของลิโป้เอาไว้ว่า แม้ลิโป้จะกล้าหาญชาญชัยไม่มีใครสู้ตลอดมา ฝีมือเพลงอาวุธก็เหนือกว่าใครๆ นักวางแผนและขุนพลที่ห้าวหาญก็มีฝีมืออยู่ไม่น้อย แต่เหตุความพ่ายแพ้ของลิโป้ที่สำคัญมิได้อยู่ที่ความเข้มแข็งของกองทัพโจโฉ แต่อยู่ที่ปัจจัยภายในของตัวลิโป้เองที่มิอาจจะสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ ส่วนเมื่อมีเสียงเตือนจากผู้หวังดี ลิโป้ก็กลับปฏิเสธไม่ฟังเสียอีก
หนังสือกรุสมบัติสามก๊ก ยังเขียนวิเคราะห์ในตอนท้ายไว้อย่างน่าสนใจด้วยว่า
มูลเหตุที่ผลักดันให้สรรพสิ่งพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปนั้น มักจะประกอบขึ้นจากสองด้าน
ด้านหนึ่งคือความขัดแย้งภายในของสรรพสิ่ง ซึ่งเรียกกันว่า "เหตุภายใน"
อีกด้านหนึ่งคือความขัดแย้งระหว่างสิ่งนี้กับสิ่งอื่นที่เรียกว่า "เหตุภายนอก"
เหตุภายในเป็นมูลฐานของการเปลี่ยนแปลง เหตุภายนอกเป็นเงื่อนไขของการเปลี่ยนแปลง เหตุภายนอกเกิดบทบาทโดยผ่านเหตุภายใน ความพ่ายแพ้ของลิโป้ก็อยู่ที่ว่า เขาเชื่อและอาศัยแต่ฝีมือเพลงอาวุธของตัวเองอย่างเหลือเกิน ไม่รับฟังความคิดเห็นที่ถูกต้อง ไม่อาศัยความร่วมมือร่วมใจของแม่ทัพนายกอง ในที่สุดก็บั่นทอนกำลังของตนเองให้อ่อนแอลง ซึ่งหมายความว่า เหตุภายในกองทัพลิโป้เองได้เกิดบทบาทอย่างสำคัญที่ทำลายตนเองอยู่ตลอดเวลา
การโจมตีของโจโฉได้เร่งความพ่ายแพ้ของลิโป้ให้เร็วขึ้น นี่ก็คือบทบาทของเหตุภายนอก แต่เมื่อพูดถึงที่สุดแล้ว ถ้าปราศจากเหตุภายใน เหตุภายนอกก็มิอาจจะขยายบทบาทของตัวมันให้เกิดขึ้นมาได้
อวสานของลิโป้พูดถึงที่สุดแล้ว เกิดขึ้นเพราะความงี่เง่าของตัวลิโป้เอง!
ปาฐกถาของท่านนายกรัฐมนตรีในวันนั้นไม่ได้มีเนื้อหาอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเท่าใดนัก เพราะ ณ ขณะนั้นเวทีของงานครบ 72 ปี โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ได้กลายเป็นเวทีประกาศนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทยทั้งประเทศโดยสมบูรณ์ ภายใต้สภาวะของวิกฤตศรัทธา ที่กระแสความเชื่อถือและไว้วางใจของประชาชนต่อผู้นำประเทศตกต่ำที่สุดในรอบ 4 ปีครึ่งที่ผ่านมา จนท่านนายกฯ ต้องกล่าวดักไว้ตั้งแต่ตอนว่า
"เศรษฐกิจทุนนิยมนั้น คำว่าความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ หรือเรียกว่า Trust and Confidence ใครเชื่อเราเขาก็ให้เรากู้ คนเขาไม่เชื่อเราเขาก็ไม่ให้เรากู้ ตัวผมเองนี่ วันที่คนเขาไม่เชื่อผมเนี่ย แลกเช็กแสนหนึ่งเขายังไม่ให้แลกเลย ถ้าจะให้แลกเขาจะต้องขอดอกฯ แพงหน่อย เพราะความเสี่ยงสูง แต่วันนี้ถ้าบอกว่าอยากได้ตังค์สัก 100 ล้าน รับรองนายธนาคารที่นั่งอยู่นี่ให้ผมกู้แน่ไม่ต้องมีอะไรค้ำประกัน
"เพราะฉะนั้นความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ประเทศไทย พวกเราถ้าเราไม่เชื่อถือพวกเรากันเอง เราดูถูกประเทศไทย เราดูถูกความน่าเชื่อถือของประเทศ เราดูถูกบรรยากาศเศรษฐกิจประเทศ อันตราย เพราะถ้าเราไม่เชื่อจะให้คนอื่นมาเชื่อมันยาก ......"
คำกล่าวของท่านนายกฯ ทางทฤษฎีแล้วเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องทุกประการ อย่างไรก็ตามด้วยสถานะ และการกระทำที่ผ่านมาของท่านนายกฯ และคนรอบตัว ส่งให้การปลุก ความเชื่อถือและความเชื่อมั่น (Trust and Confidence) ของประชาชนที่มีต่อผู้บริหารประเทศนั้นมิอาจเป็นไปได้ ในเมื่อ
- สนามบินสุวรรณภูมิกำลังเป็นข่าวถูกรุมทึ้งทั้งจาก คนในครอบครัวและคนรอบตัวท่านนายกฯ อย่างตะกละตะกราม ทั้งเรื่อง CTX ทั้งเรื่องที่จอดรถ
- ปัญหาเรื่องการทุจริตลำไย 50,000 ตัน ที่ปัจจุบันรัฐบาลต้องกลบกระแสข่าว และโหมกระแสด้วยการจัดดึงภาคเอกชนให้ช่วยกันซื้อลำไย ทั้งยังจัด 'มหกรรมกินลำไยช่วยชาติ' ขอร้องประชาชน โดยใช้วิธีโฆษณาว่า "กินลำไยเป็นการช่วยชาติ"(หรือช่วยนักการเมืองคอร์รัปชั่นก็ไม่ทราบ)"
- ปัญหากล้ายาง ที่ท่านนายกฯ รีบออกมาอุ้มบริษัทเอกชนที่มีข่าวว่า สมคบคิดกับรัฐมนตรีและคนใกล้ชิดท่านนายกฯ เอารัดเอาเปรียบเกษตรกรอย่างไร้ยางอาย
- ปัญหาการปั่นหุ้นของบริษัทปิคนิค คอร์ปอเรชั่น (PICNI) ที่สุดท้ายแม้ คุณสุริยา ลาภวิสุทธิสิน จะยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แต่ผลกระทบที่ส่งตามมาก็ คือ ไม่เพียงมาร์เกตแคปของตลาดหุ้นไทยจะลดต่ำลงมากกว่า 12,000 ล้านบาทแล้ว ความเชื่อมั่นของนักลงทุนภายในและภายนอกที่มีต่อตลาดหุ้นไทยก็ถูกดึงให้ลดต่ำลงอย่างมาก เพราะ เรื่องบริษัทปิคนิคนี้ไม่เป็นเพียงแค่ปัญหาของตลาดหุ้น แต่ยังถือว่าเป็นปัญหาที่ส่งผลลบต่อความน่าเชื่อถือในระดับประเทศ
- ปัญหากลุ่มวังน้ำเย็น หรือ 'สุริยะ-สุริยา' ที่เนื้อแท้แล้วก็คือ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายหญิงและเจ๊ใหญ่ ที่สามารถโยงไปได้ถึงรากฐานความขัดแย้งในด้านผลประโยชน์ภายในพรรคไทยรักไทย ที่สะท้อนออกมาถึงวิธีการแก้ไขปัญหาประเทศของท่านนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีว่า ลำดับความสำคัญอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ภายในพรรคเป็นอันดับแรก มิใช่วางอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นหลัก
- ปัญหาเรื่องการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่รัฐบาลกำลังหลับหูหลับตาผลักดันอย่างเต็มสูบให้สามารถเข้าตลาดหุ้นได้รวดเร็วที่สุด ทั้งๆ ที่ปัญหาคาใจประชาชนอย่าง การแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ที่เมื่อแปรรูปแล้วหุ้นส่วนใหญ่กลับไปตกอยู่ในเงื้อมมือของ เครือข่าย และ Nominee นักการเมืองยังไม่ได้รับคำตอบ ซ้ำด้วยตัวเลขกำไรสุทธิกว่า 62,000 ล้านบาทของ บริษัท ปตท. จำกัด ในปี 2547 ที่เพิ่มขึ้นจากตัวเลขกำไรสุทธิของปี 2546 กว่า 25,000 ล้านบาท
กำไรของ ปตท. ที่เพิ่มขึ้นในที่นี้ หมายความถึง เงินในกระเป๋าของเหล่าผู้ถือหุ้นอภิสิทธิชนที่เพิ่มขึ้น สองต่อทั้งราคาหุ้นและเงินปันผลที่ได้รับจำนวนมหาศาล ภายใต้ภาวะวิกฤตพลังงานและน้ำมันของประเทศที่ประชาชนทั่วประเทศต้องเป็นผู้แบกรับ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปี 2548 ที่ระดับราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสูงสุดในประวัติศาสตร์ กำไรสุทธิของปตท. ย่อมสูงกว่า 62,000 ล้านอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงเรื่องเล็กๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรม 'พูดอย่างทำอย่าง' ของ ท่านนายกฯ และคนใน ไม่ว่าจะเป็น นโยบายรณรงค์การประหยัดพลังงาน และการรณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันดับไฟ ที่เป็นเพียงนโยบายชั่วครั้งชั่วคราว ที่ตัวผู้รณรงค์เองก็มิได้สนใจจะปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นการขับรถสปอร์ตซดน้ำมันมาประชุมครม.ของอดีตรมช.พาณิชย์ หรือ การออกมาเปิดเผยโดยคนขับรถของท่านนายกฯ เองว่า รถท่านนายกฯ เองก็ไม่เคยสนใจที่จะเติมน้ำมันช่วยชาติอย่าง แกสโซฮอล เช่นกัน
ฯลฯ
'ปัจจัยภายใน' เหล่านี้ ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาที่เกิดจาก 'ปัจจัยภายนอก' มิอาจเป็นไปได้อย่างราบรื่น และมิอาจซื้อใจประชาชนให้ร่วมแรงร่วมใจ แก้ปัญหาในหลายๆ เรื่องได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาด้านราคาน้ำมันโลก หรือ ปัญหาไฟใต้ ที่ล่าสุดมีการประกาศพระราชกำหนดการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีเสียงคัดค้านกันไปทั่วจนได้รับฉายาว่า 'พ.ร.ก.ติดหนวด'
ในเรื่องนี้ผมขอถือวิสาสะ แนะนำให้ท่านนายกฯ ผู้ชื่นชอบอ่านตำราฝรั่ง กลับไปหา 'สามก๊ก' ฉบับภาษาไทยโดยเฉพาะในตอน จุดจบของ "สิงห์สำอาง" ลิโป้ มาอ่าน
เป็นที่ทราบกันดีว่า 'ลิโป้' นั้นเป็นยอดฝีมือในการรบ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นขุนศึกที่มีฝีมือในเพลงอาวุธเหนือกว่าใครในเรื่องสามก๊กเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วจุดจบของลิโป้ก็มาถึงด้วยเหตุผลที่สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า
"หากเหตุภายในมิอาจเอาชนะ เหตุภายนอกย่อมโหมกระหน่ำซ้ำ"
หนังสือ กรุสมบัติสามก๊ก แปลโดย บุญศักดิ์ แสงระวี วิเคราะห์ถึง จุดจบของลิโป้เอาไว้ว่า แม้ลิโป้จะกล้าหาญชาญชัยไม่มีใครสู้ตลอดมา ฝีมือเพลงอาวุธก็เหนือกว่าใครๆ นักวางแผนและขุนพลที่ห้าวหาญก็มีฝีมืออยู่ไม่น้อย แต่เหตุความพ่ายแพ้ของลิโป้ที่สำคัญมิได้อยู่ที่ความเข้มแข็งของกองทัพโจโฉ แต่อยู่ที่ปัจจัยภายในของตัวลิโป้เองที่มิอาจจะสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ ส่วนเมื่อมีเสียงเตือนจากผู้หวังดี ลิโป้ก็กลับปฏิเสธไม่ฟังเสียอีก
หนังสือกรุสมบัติสามก๊ก ยังเขียนวิเคราะห์ในตอนท้ายไว้อย่างน่าสนใจด้วยว่า
มูลเหตุที่ผลักดันให้สรรพสิ่งพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปนั้น มักจะประกอบขึ้นจากสองด้าน
ด้านหนึ่งคือความขัดแย้งภายในของสรรพสิ่ง ซึ่งเรียกกันว่า "เหตุภายใน"
อีกด้านหนึ่งคือความขัดแย้งระหว่างสิ่งนี้กับสิ่งอื่นที่เรียกว่า "เหตุภายนอก"
เหตุภายในเป็นมูลฐานของการเปลี่ยนแปลง เหตุภายนอกเป็นเงื่อนไขของการเปลี่ยนแปลง เหตุภายนอกเกิดบทบาทโดยผ่านเหตุภายใน ความพ่ายแพ้ของลิโป้ก็อยู่ที่ว่า เขาเชื่อและอาศัยแต่ฝีมือเพลงอาวุธของตัวเองอย่างเหลือเกิน ไม่รับฟังความคิดเห็นที่ถูกต้อง ไม่อาศัยความร่วมมือร่วมใจของแม่ทัพนายกอง ในที่สุดก็บั่นทอนกำลังของตนเองให้อ่อนแอลง ซึ่งหมายความว่า เหตุภายในกองทัพลิโป้เองได้เกิดบทบาทอย่างสำคัญที่ทำลายตนเองอยู่ตลอดเวลา
การโจมตีของโจโฉได้เร่งความพ่ายแพ้ของลิโป้ให้เร็วขึ้น นี่ก็คือบทบาทของเหตุภายนอก แต่เมื่อพูดถึงที่สุดแล้ว ถ้าปราศจากเหตุภายใน เหตุภายนอกก็มิอาจจะขยายบทบาทของตัวมันให้เกิดขึ้นมาได้
อวสานของลิโป้พูดถึงที่สุดแล้ว เกิดขึ้นเพราะความงี่เง่าของตัวลิโป้เอง!