xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 190 “แม่ผัวลูกสะใภ้...ใครว่านิยายน้ำเน่า !?”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้วต้องรีบออกกำลังยืดเส้นยืดสาย เพราะรู้สึกมีอาการตึงทั่วตัว เพราะเมื่อวานนี้ผมขับรถพาเพื่อนสนิทคนหนึ่งออกนอกกรุงเทพไป แต่ไปไม่ไกลนัก เพราะตอนนี้น้ำมูกน้ำมันแพง เลยไปหาอาหารอร่อยรับประทานกันแค่เมืองกรุงเก่า ตามประสาคนวัยทอง และนั่งคุยกันหลายชั่วโมงไปหน่อย เลยเกิดอาการเมื่อยขบบ้าง

เพื่อนเล่าให้ผมฟังถึงปัญหาที่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับ คือภริยาไม่ค่อยชอบหน้าลูกสะใภ้ ซึ่งอยู่ร่วมบ้านกันด้วยข้อกล่าวหาหลายอย่าง แต่ฟังดูไม่ร้ายแรง เช่น แต่งตัวไม่ถูกกาละเทศะ ไม่เอาใจใส่สามีคือลูกเพื่อนผมเท่าที่ควร รวมทั้งสั่งสอนลูกหรือหลานของเพื่อนผมไม่ดี แต่ฟังนานเข้าคล้ายๆภริยาของเขาค่อนข้างหมั่นไส้ หรือไม่ก็เหม็นหน้าลูกสะใภ้เอาการทีเดียว

ผมถามว่า แล้วตัวเขาเองรู้สึกอย่างไร ? เจ้าตัวตอบว่า สำหรับเขาไม่ได้คิดอะไรมากนัก (ผู้ชายมักเป็นอย่างนี้) แต่ภริยาพูดกรอกหูทุกวันจนรำคาญ ผมถามต่อว่าแล้วคุณนายของเขาพูดกับลูกชายหรือยัง ? ได้รับคำตอบว่ายัง รวมทั้งตัวเขาเองก็ไม่รู้จะพูดกับลูกชายอย่างไรดี

ดูเพื่อนของตัวเองแล้วเห็นว่า ตลอดเวลาที่คบหากันมาครึ่งศตวรรษ เขาเป็นคนดีมีศีลธรรม มีความยุติธรรมประจำใจ ความสามารถในการปกครองผู้คนนั้นอยู่ในขั้นดี ลูกน้องรัก แต่เรื่องใกล้ตัวกลับเหมือนผงใกล้ตา

แม่ผัวลูกสะใภ้นั้น ใครว่าเป็นเรื่องนิยายน้ำเน่านั้น บอกได้ว่าไม่ใช่เลย ทุกวันนี้ความขัดแย้งอมตะยังคงมีอยู่ และจะไม่มีวันหดหายไปจากโลกนี้เป็นอันขาด เพียงแต่ว่าอาจพูดถึงน้อยลง เพราะโลกของเรามีปัญหาอย่างอื่นมากขึ้น เรื่องนี้อาจไม่โดดเด่นเหมือนสมัยก่อน

เคยเรียนกับท่านผู้อ่านว่า ในสังคมไทยโบราณนั้น คำว่าครอบครัวมีความหมายถึงหน่วยย่อยของสังคม คือการอยู่ร่วมกันของชายหญิง มีเพศสัมพันธ์ด้วยกัน เพาะปลูกร่วมกัน มีและแบ่งปันอารมณ์และความรู้สึกร่วมกันทั้งทุกข์และสุข ลักษณะของครอบครัวในสังคมเกษตรกรรมจึงเป็นครอบครัวขยาย และในสังคมไทยมีความพิเศษ คือ

แม้ความสำคัญอยู่ที่ผู้นำของครอบครัวคือฝ่ายชายก็จริง แต่เรื่องในบ้านแล้ว อยู่กับฝ่ายหญิงโดยเด็ดขาด อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่า กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๒๕ “ผู้หญิงมีกล้าม...กล้ามโต๊..โต !” สตรีไทยนั้นมีความสำคัญเป็นผู้กุมเศรษฐกิจของบ้าน หรืออยู่ตรงที่ว่า

“ Who holds the purse strings ?”
หรือใครเป็นคนกุมสายกระเป๋า ? ผมทำความเข้าใจตรงนี้ไว้ว่า

...ต้องขออธิบายเล็กน้อยว่า เมื่อคนอเมริกันสมัยก่อนเขาหาเงินได้ จะเก็บเงินไว้ในกระเป๋าที่มีสายรูดปิดเปิด จะเอาเงินออกจากกระเป๋าไปใช้จ่ายก็รูดเปิด ควักเงินแล้วก็รูดปิด ดังนั้นผู้ที่กุมสายกระเป๋าก็จะมีอำนาจ เพราะเป็นฝ่ายกุมเงินของบ้าน ซึ่งฝรั่งมะกันนั้น อีตาสามีเป็นผู้คุมเบ็ดเสร็จ เมียจะเอาเงินไปใช้อะไรก็ต้องแบมือขอ ผัวรู้หมดเอาไปซื้ออะไรบ้าง แต่การรักษาเงิน หน้าที่เก็บสตางค์นี้ เป็นสิทธิโดยชอบของผู้หญิงไทยมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ สตรีอเมริกันเพิ่งออกจากบ้านมาทำงาน หาเงินเก็บใส่กระเป๋าตัวเองก็อีตอนสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างที่เล่าให้ฟังตอนต้น...

เมื่อฝ่ายหญิงกุมอำนาจทางเศรษฐกิจในบ้าน ลูกชายแต่งงานเอาสะใภ้เข้าบ้าน ต้องอยู่ในโอวาทของแม่สามีที่กุมความยิ่งใหญ่ในบ้าน ในสังคมชาวจีนนั้นเรื่องนี้ใหญ่กว่าคนไทยมาก เป็นเพราะจารีตประเพณีของเขาเคร่งครัด แต่คนไทยโบราณมีพระพุทธศาสนาเป็นหลัก เรื่องความเมตตาต่อผู้อยู่ใต้ปกครองนั้น มีอยู่ในหัวใจของผู้คนส่วนใหญ่ แม้กระนั้นความขัดแย้งก็ยังมีให้เห็น เพราะทั้งแม่ผัวและลูกสะใภ้ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างรักผู้ชายคนเดียวกัน คือลูกชายของแม่ผัวและสามีของลูกสะใภ้ จะเรียกว่า ‘แย่งกันรัก’ ก็คงไม่ผิด

หากท่านผู้อ่านมีลูกแล้ว คงสังเกตเห็นว่า ยามลูกยังเด็กเห็นพ่อแม่เป็นพระเจ้า แต่พอไปโรงเรียนอนุบาล เริ่มมีพระเจ้าองค์ใหม่ เข้ามาเบียดแทนทีพ่อและแม่พระเจ้าองค์เก่า นั่นคือคุณครูที่โรงเรียน แต่ลูกยังอยู่ก็ยังอยู่กับพ่อแม่

ถ้าลูกชายโตไปมีครอบครัว หมายถึงลูกชายที่น่ารักของแม่ จะได้ผู้หญิงที่มีความสำคัญเข้ามาเบียดแทนที่แม่ที่ดูแลเขามาตลอดชีวิตอีกคนหนึ่ง และเป็นครั้งที่สองถัดจากคุณครู คราวนี้เอาคนที่แม่รักไปตลอด ไม่เหมือนคุณครูที่มีเวลาเฉพาะการศึกษาขั้นต้นเท่านั้น

หากเป็นวิวาห์คือฝ่ายชายไปอยู่กับฝ่ายหญิง ในสมัยโบราณนั้น ครอบครัวฝ่ายหญิงได้แรงงานชายเพิ่มเข้ามา แต่ถ้าเป็นอาวาหมงคลคือฝ่ายหญิงไปอยู่บ้านฝ่ายชาย ต้องตกอยู่ในอำนาจของมารดาสามี หากฝ่ายหญิงที่เป็นภริยาลูกชายไม่พอในสภาพความเป็นไปในบ้าน และลุกขึ้นมามาต่อต้าน สงครามในบ้านก็เกิดขึ้น

ดังนั้นเรื่องราวของความขัดแย้งนี้เอง จึงสร้างให้สองฝ่ายคือระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้ เป็น “คู่กัด” มหาอมตะนิรันดร์กาล แม้ในสมัยพระพุทธกาล ความขัดแย้งระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้ก็มีให้เห็นแล้ว เรื่องมีอยู่ว่า

กาลครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จไปยังคฤหาสน์ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี พระองค์ทรงได้ยินเสียงอื้ออึงเหมือนตลาดค้าปลาของชาวประมง เมื่อทรงสอบถาม ท่านเศรษฐีก็ทูลว่าลูกสะใภ้กำลังโต้เถียงกับแม่ผัวคือภริยาท่านเศรษฐี เพราะลูกสะใภ้คนนี้ชื่อนางสุชาดา ( คนละคนกับนางสุชาดา ที่ถวายข้าวมธุปายาส) เป็นผู้มาจากตระกูลที่ร่ำรวย จึงไม่ยำเกรงแม่สามีพูดหรือสั่งสอนอะไรเธอก็เถียงไม่ลดละ

พระพุทธองค์จึงให้นางสุชาดาเข้าเฝ้า นางถวายบังคมแล้ว พระศาสดาได้มีพระดำรัสสั่งสอนเรื่องภริยาบุรุษ ๗ จำพวกคือ
คือ ภริยาเสมอด้วยเพชฌฆาต ๑ เสมอด้วยโจร ๑ เสมอด้วยนาย ๑ เสมอด้วยแม่ ๑ เสมอด้วยพี่สาวน้องสาว ๑ เสมอด้วยเพื่อน ๑ เสมอด้วยทาสี ๑ ทรงตรัสถามว่า “ดูกรนางสุชาดา ภริยาของบุรุษ ๗ จำพวกนี้แล เธอเป็นจำพวกไหนใน ๗ จำพวกนั้น”
นางสุชาดากราบทูลว่า นางไม่มีความรู้ขอให้สมเด็จพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรมนี้ให้แก่นางด้วย จึงทรงมีพระดำรัสว่า
ดูกรนางสุชาดา ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว นางสุชาดาหญิงสะใภ้ในเรือนทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระบรมศาสดาตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
ภริยาผู้มีจิตประทุษร้าย ไม่อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูลยินดีในชายอื่น ดูหมิ่นสามี เป็นผู้อันเขาซื้อมาด้วยทรัพย์พยายามจะฆ่าผัวภริยาของบุรุษเห็นปานนี้เรียกว่า วธกาภริยาภริยาเสมอด้วยเพชฌฆาต
สามีของหญิงประกอบด้วยศิลปกรรม พาณิชยกรรม และกสิกรรม ได้ทรัพย์ใดมา
ภริยาปรารถนาจะยักยอกทรัพย์ แม้มีอยู่น้อยนั้นเสีย ภริยาของบุรุษเห็นปานนี้เรียกว่า โจรภริยา ภริยาเสมอด้วยโจร
ภริยาที่ไม่สนใจการงาน เกียจคร้าน กินมาก ปากร้าย ปากกล้าร้ายกาจ กล่าวคำหยาบ ข่มขี่ผัวผู้ขยันขันแข็ง ภริยาของบุรุษเห็นปานนี้เรียกว่า อัยยาภริยา ภริยาเสมอด้วยนาย
ภริยาใดอนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูลทุกเมื่อ ตามรักษาสามีเหมือนมารดารักษาบุตร รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ไว้ ภริยาของบุรุษเห็นปานนี้เรียกว่า มาตาภริยา ภริยาเสมอด้วยมารดา
ภริยาที่เป็นเหมือนพี่สาวน้องสาว มีความเคารพในสามีของตน เป็นคนละอายบาป เป็นไปตามอำนาจสามี ภริยาของบุรุษเห็นปานนี้เรียกว่า ภคินีภริยา ภริยาเสมอด้วยพี่สาวน้องสาว
ภริยาใดในโลกนี้เห็นสามีแล้วชื่นชมยินดี เหมือนเพื่อนผู้จากไปนานแล้วกลับมา เป็นหญิงมีตระกูล มีศีลมีวัตรปฏิบัติสามี ภริยาของบุรุษเห็นปานนี้เรียกว่า สขีภริยา ภริยาเสมอด้วยเพื่อน
ภริยาใดสามีเฆี่ยนตี ขู่ตะคอกก็ไม่โกรธ ไม่คิดพิโรธโกรธตอบสามี อดทนได้ เป็นไปตามอำนาจสามี ภริยาของบุรุษเห็นปานนี้เรียกว่า ทาสีภริยา ภริยาเสมอด้วยทาสี
ภริยาที่เรียกว่าวธกาภริยา ๑ โจรีภริยา ๑ อัยยาภริยา ๑ ภริยาทั้ง ๓ จำพวกนั้น ล้วนแต่เป็นคนทุศีลหยาบช้า ไม่เอื้อเฟื้อ เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงนรกส่วนภริยาที่เรียกว่า มาตาภริยา ๑ ภคินีภริยา ๑ สขีภริยา ๑ ทาสีภริยา ๑ ภริยาทั้ง ๔ จำพวกนั้น เพราะตั้งอยู่ในศีลถนอมรักไว้ยั่งยืน เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติ
ดูกรนางสุชาดา ภริยาของบุรุษ ๗ จำพวกนี้แล เธอเป็นภริยาจำพวกไหน ใน ๗ จำพวกนั้น ฯ
นางสุชาดาทูลตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำหม่อมฉันว่า เป็นภริยาของสามีผู้เสมอด้วยทาสี ฯ


อย่างนี้ไม่บอกผมก็ทราบว่า ท่านผู้อ่านที่เป็นชายจำนวนหนึ่ง คงอยากได้คู่ครองแบบทาสีภริยา ซึ่งนางสุชาดาตั้งใจจะอยู่ในภริยาประเภทนี้กันเป็นอันมาก !

ผู้เขียนคอลัมน์เป็นคนชอบดูภาพยนตร์ เมื่อตอนเป็นเด็กวัยรุ่น หนังเรื่องเกี่ยวกับแม่ผัวลูกสะใภ้ ที่ผมประทับใจมากที่สุดคือ “โบตั๋น” ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของคุณเสน่ห์ โกมารชุน ศิลปินผู้ล่วงลับไปแล้ว ที่วาดภาพ “โบตั๋น” เป็นลูกสาว ‘เจ๊กฮง’ ที่หอบหมวยอาภัพมาจากเมืองจีนตั้งแต่หกขวบ เมื่อเป็นสาวรุ่นเกิดรักใคร่กับจักรกฤษณ์ ลูกชายคุณหญิงเจ้าของบ้านติดกับสวนผักที่เจ๊กฮงเช่าอยู่ ความรักระหว่างหนุ่มไทยกับอาหมวย ถึงขั้นได้เสียกันจนโบตั๋นท้อง แล้วมีอันพรากจากกัน เพราะฤทธิ์แม่ผัวเฮงซวยใจดำและร้ายกาจ เหมือนไม่ใช่มนุษย์

หนังเรื่อง “โบตั๋น” นี้ คุณวิไลวรรณ วัฒนพานิช ดาราเจ้าน้ำตาประเทศไทย เล่นเป็นนางเอก ตามบทแล้วเธอร้องไห้มากมายเหลือกำลัง ผมเป็นแฟนคุณวิไลวรรณขนานแท้ อินกับหนังเรื่องนี้มากไปตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ เพราะมีผลต่อเนื่องมาจนถึงตอนโตเป็นหนุ่มจนกระทั่งเป็นคุณปู่

ทุกวันนี้จึงทนเห็นน้ำตาผู้หญิงไม่ได้ มีอันต้องพ่ายแพ้ราบคาบ พังพาบเสียทุกคราวไป !

ภาพยนตร์เรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้ใช่มีแต่เมืองไทยเท่านั้น เมื่อเร็วๆนี้มีหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งชื่อ MONSTER -IN-LAW หรือ แม่ผัวตัวแสบ ในบ้านเรา โดยมีเจน ฟอนดา เล่นเป็นแม่ผัวที่หวงลูกชายสุดชีวิต เธอไม่ยอมให้ เจนนิเฟอร์ โลเปซ ลูกสะใภ้แย่งความรักไป ตอนแรกๆดูคล้ายแม่ผัวได้เปรียบ แต่ลูกสะใภ้พอตั้งหลักได้ ตีโต้ตอบดุเดือด ทั้งสองฝ่ายจึงปะคารมกันอย่างถึงพริกถึงขิง เป็นที่ชอบใจของคอหนังฝรั่งกันยิ่งนัก แต่สำหรับแฟนหนังและโทรทัศน์เมืองไทยแล้ว มุกแม่ผัวลูกสะใภ้นี้ คนบ้านเราเห็นมาทะลุปรุโปร่ง ทุกแง่ทุกง่ามจนพรุนไปหมดแล้ว เลยอาจไม่ประทับใจอะไรมากมายนัก

MONSTER -IN-LAW นั้น ยังไม่ร้ายเท่าแม่ผัวในชีวิตคนจริง

หากท่านผู้อ่านหากเคยดูภายนต์เรื่อง “คนบาปที่พรหมพิราม” เรื่องจริงนั้นสาวเคราะห์ร้ายถูกแม่ผัวที่ไม่ชอบหน้า เพราะมีฐานะยากจนกว่า ไล่จากบ้านที่บางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก ให้ไปหาสามีที่จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยให้ขึ้นรถบรรทุกไป ไม่จ่ายค่ารถให้ด้วย บอกว่าคนขับรถว่า ข่มขืนเธอเป็นค่ารถแทนเอาก็แล้วกัน สาวผู้เคราะห์ร้ายจึงโดนคนขับรถบรรทุกข่มขืนเป็นรายแรก แล้วเอาไปทิ้งไว้ข้างถนน จนเธอกระเซอะกระเซิงมาถึงอำเภอพรหมพิราม จึงถูกข่มขืนโดยชายนับไม่ถ้วน แล้วยังจัดฉากปกปิดความผิด ฆ่าเธอโดยให้รถไฟชนจนตาย แต่ตำรวจไทยแกะรอยได้ เอาคนพวกนี้มาดำเนินคดีทั้งคนฆ่า และพวกข่มขืน ผู้ต้องหามีจำนวนกว่า ๓๐ คน ซึ่งเป็นคดีที่น่ากลัวของประเทศเลยทีเดียว เพราะ

ผู้ต้องหามีตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ จนถึง ๖๕ ปี น่าเศร้ามาก !

เร็วๆนี้ คุณเทพ โพธิ์งาม กับภริยาไปออกรายการโทรทัศน์ แม่บ้านของคุณเทพบอกเคล็ดลับการผูกใจสามี คือเธอไปหัดทำกับข้าวที่สามีชอบจากคุณแม่ของป๋าเทพของคนในวงการตลก ซึ่งท่านก็ใจดีสอนให้

คุณเทพเลยกลายเป็นผู้ชายโชคดี ได้รับประทานอาหารอร่อย ภริยาของป๋าเทพก็มีบุญที่มีแม่ผัวดี แต่มีเรื่องตรงข้ามกับคุณนายของคุณเทพ โพธิ์งาม เป็นเรื่องของชาวจีนที่เล่ากันว่า

ลูกสะใภ้คนหนึ่งเกลียดแม่ผัว ที่ข่มเหงรังแกและบีบคั้นเธอต่างๆนานา จึงไปหาซินแสผู้ประกอบโอสถแผนโบราณ เพื่อหายาพิษมาวางให้แม่ผัวตัวร้ายเดทสะมอเร่ไปเสียที เพราะเหม็นหน้าเหลือกำลัง ซินแสบอกว่ามียาแต่ต้องใช้ปนกับอาหาร

พอเจียดยาให้ท่านซินแสก็บอกว่า ให้เธอหมั่นทำอาหารอร่อยๆให้แม่ของสามีกินโดยใส่ยาไปด้วย แต่ยาออกฤทธิ์นานหน่อย จึงต้องใช้เวลา และต้องทำให้กินบ่อยๆ แล้วในที่สุดอีนังแม่ผัวตัวป่วนก็จะตายไปเอง

นางจึงเอายาไปผสมอาหาร พยายามทำอาหารรสเลิศให้แม่ผัวกิน ข้างฝ่ายคนเกลียดลูกสะใภ้ได้กินของอร่อยทุกวัน อาการไม่ชอบหน้าลูกสะใภ้ก็ลดลง แม่ผัวเริ่มพูดถึงเมียของลูกชายในทางที่ดีขึ้น ฝ่ายศรีสะใภ้เห็นแม่สามีไม่ตายสักทีเลย ยิ่งลงมือหนักอีกให้กินวันละหลายมื้อ แม่ผัวเห็นเมียลูกชายขยันขันแข็ง ปรนนิบัติดีเหลือกำลัง เลยเกิดความรักใคร่เอ็นดูว่า

“อีนังนี่ฉันทั้งด่า ทั้งโขกสับมันต่างๆนาน แต่มันก็หาเกลียดฉันไม่ อย่ากระนั้นเลย เห็นทีต้องรักมันแล้ว !”

ในที่สุดความสุขสงบ ก็กลับคืนมาสู่ครอบครัวนี้
ลูกสะใภ้ก็ไปหาซินแสบอกว่า ไม่ต้องเจียดยาให้อีกต่อไปแล้งเจ้าค่ะ เพราะไม่อยากฆ่าแม่ผัวแล้ว ผู้ปรุงยาจึงบอกความจริงว่า คนที่เป็นซินแสเขายึดมั่นในวิชาชีพ ไม่ทำร้ายคนป่วย ยาที่ให้ไปนั้น ไม่ใช่ยาพิษแต่เป็นยาเจริญอาหารเท่านั้น

เรื่องก็จบแบบ ‘แฮบปี้เอนดิ้ง’ กันดี

ในความเห็นของผมซึ่งมีลูกชายล้วน และยังไม่เห็นปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้ในครอบครัวของลูก แต่เห็นว่า ปัจจุบันบ้านเราไม่ได้เป็นสังคมเกษตรกันเหมือนโบราณ เมื่อลูกชายแต่งงานแล้ว หากมีฐานะพอแยกบ้านกันได้ก็ควรทำ และมีการเยี่ยมเยียนเป็นครั้งคราวก็คงดี

การพยายามทำความเข้าใจระหว่างกันก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งคิดว่าก่อนหญิงชายจะแต่งงานกันก็ต้องดูกันให้ถ้วนถี่ ว่าแต่ละฝ่ายจะรับอะไรของกันได้หรือไม่รับอะไรของกันได้บ้าง หรือมีข้อแตกต่างอันใดที่อาจเป็นปัญหาในอนาคต

ต้องรีบทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง ก่อนจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน

หากเห็นปัญหาแล้วและคิดว่ายังไงก็แก้ไขไมได้ อย่าแต่งเสียจะดีกว่า แต่ถ้าถลำเข้ามาแล้วเห็นทีจะต้องพูดกัน โดยมีพื้นฐานของการทำความเข้าใจ ลูกสะใภ้ก็ต้องเรียนรู้ว่าแม่ผัว เป็นผู้หญิงคนสำคัญ ในชีวิตของสามีตัวมาตลอด

และคนเป็นแม่ผัวก็ต้องเข้าใจว่า ลูกชายจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งในชีวิต คือคนที่เป็นภริยาของเขา
โดยต้องให้ความเคารพนับถือและให้เกียรติซึ่งกัน

การที่ทั้งแม่ผัวและลูกสะใภ้ทำความเข้าใจกันอย่างนี้ ต้องยึดถือเอาประโยชน์ของคนกลางที่สองคนรัก คือลูกชายของแม่ผัว หรือสามีของตน ผู้เป็นลูกสะใภ้นั่นเอง ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคู่แข่งระหว่างกัน หรือแย่งกันรัก

ที่สำคัญมากๆ คือความเมตตาและความรัก ที่ต้องมีอยู่ในหัวใจของทุกฝ่าย หากตั้งอยู่ในศีล ก็จะถนอมรักทุกฝ่ายไว้ยั่งยืน และที่จะแก้ไขให้สำเร็จร่วมกันได้โดยพร้อมเพรียงกัน !

ในชีวิตตำรวจ เห็นเรื่องราวระหว่างคู่กรณีอมตะนี้มาหลายแบบ เพราะแต่ละฝ่ายไม่มีเหตุผลเช่น ฝ่ายแม่ผัวมาฟ้องว่า

“เห็นหน้าอีนังกาลีคนนี้ครั้งแรก ฉันก็ชังน้ำหน้ามันเข้าไส้ล่ะคุณ!”

อย่างนี้มันก็เกินไป เห็นปุ๊บก็เกลียดปั๊บแบบฮิตาชิเลย

ลูกสะใภ้ก็ไม่ใช่ย่อย โต้ตอบว่า

“หมวดขา หนูจะไม่เกลียดแกได้ยังไงล่ะคะ แฟนพาไปไหว้หนแรก แกดันถามออกมาว่า ‘ไอ้ที่คนเขาลือกันว่าแม่ของหนูเป็นกะหรี่เก่าน่ะ จริงหรือเปล่าจ๊ะ ?’...ใครจะไปเคารพนับถือ ‘อีแก่ซอมบี้ ปากหมา’ พรรค์นี้ได้ลงคะ ?”

ออ...จริงแฮะ...อย่างนี้มันก็ลำบากอยู่นะ !

มีอยู่หนหนึ่ง แม่ผัวควงแขนลูกสะใภ้บุกบ้านเมียน้อยลูกชาย ตำรวจจับมาทั้งคู่ กลับนั่งหัวร่อร่วนบนโรงพัก ไม่มีท่าทีว่ากังวลอะไร ผมถามว่าไปรุมตีเขาอย่างนั้นทำไมกันจ๊ะ

แม่ผัวที่น่ารักเกินเหตุบอกว่า
“ลูกสะใภ้ฉันเขาถนัดซ้าย อีฉันมันมือขวาหนัก ต้องตบทีเดียวพร้อมกันสองคน มันถึงจะเจ็บทีเดียวสองแก้ม ทำไงได้…ก็อี ‘สันดานเสีย’ คนนี้ ‘หน้ามันหนา’ นี่คะ...หมวดเจ้าขา !

น่ากลัวจัง...ชาติหน้าป้าอย่าได้เกิดมาเป็นแม่ฉันเชียวนะป้า...เดี๋ยวเมียฉันเจ็บแย่ !!

ผมคุยออกความเห็นอย่างที่เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังนี้ กับเพื่อนที่มาหารือเรื่องความระหองระแหงระหว่างลูกสะใภ้กับภริยา แต่ดูเหมือนว่าเขาก็ยังแสดงความกังวลอยู่ในใจ ในที่สุดก็โพล่งออกมาอย่างสิ้นหวัง ว่า

“รู้ว่ามันยุ่งยากอย่างนี้...ลูกเป็น ‘เกย์’ เสียเลยยังดีกว่าว่ะ”
“อ้าว ทำไมกลายเป็นอย่างนั้นล่ะ!?” ผมร้อง
“จะได้ไม่ต้องมีลูกสะใภ้ ให้นั่ง ‘ปวดกบาล’ อย่างนี้ไง !”

ผมนิ่งเงียบงัน เพราะถ้าขืนให้ออกความเห็นไป ก็คงไม่พ้นที่จะพูด ว่า

“เข้าใจผิดละมั้ง เกย์ที่มีลูกสะใภ้ให้แม่สมัยนี้มีถมไป....ไม่เชื่อลองไปถามพวกนักการเมือง ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลดู....


....เขารู้กันทั้งนั้นล่ะน่า !”

กำลังโหลดความคิดเห็น