xs
xsm
sm
md
lg

ความสุขของคนหนุ่มสาวคืออะไร

เผยแพร่:   โดย: อาทิตย์ ประสาทกุล

ปิดภาคเรียนฤดูร้อนในปีนี้คงเป็นการหยุดพักจากการเรียนครั้งสุดท้ายในชีวิตการเป็นนักเรียน แต่ดูเหมือนว่าโอกาสที่เว้นว่างให้กายได้พักเหนื่อยเช่นนี้ จิตกลับทำงานคิดหนักกว่าการปิดเทอมในครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา

หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ อีกเพียงหนึ่งภาคการศึกษาเท่านั้น ผมก็จะเรียนจบปริญญาโทตามใจหวัง สิริรวมเวลาสามเทอมเต็ม หรือหนึ่งปีครึ่ง อันหมายความว่าสนามการทำงานในโลกแห่งความเป็นจริงรอคอยอยู่ข้างหน้า และกำลังใกล้เข้ามาทุกจังหวะเวลา

แม้จะเคยลงสนามแข่งขันในทางกีฬามาหลายร้อยครั้งเมื่อครั้งยังเป็นนักรักบี้แต่เยาว์วัย การลงสนามชีวิตและการทำงานในครั้งนี้สร้างความรู้สึกแตกต่างให้กับตัวเองมาก ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะทำให้แตกต่างกันมากเท่าไร ผู้ใหญ่หลายคนมักบอกว่าหากมีความพร้อมและความมุ่งมั่นแล้ว ชัยชนะในสนามก็อยู่เพียงเอิ้อม หรือหากจะต้องปราชัย ก็จะเป็นการพ่ายแพ้อย่างมีความสุข เพราะถึงอย่างไรได้ทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างดีเยี่ยมและสุดความสามารถ

เริ่มบอกตัวเองว่าให้นับถอยหลังเพื่อเตรียมพร้อมเสียแต่เนิ่นๆ เพราะเมื่อถึงเวลาจริงจะได้ลดซึ่งความประหม่า และสามารถทำสิ่งที่ตัวเองตั้งใจหวังด้วยแรงกายแรงใจที่ตัวเองมี

ทว่า เวลาใกล้ลงสนามครั้งนี้กลับทำให้ตัวเองเริ่มไขว้เขว แต่มิใช่เพราะความไม่แน่นอนกับความพร้อมของตัวเอง หรือกฎข้อกำหนดกติตาของการแข่งขัน หากสับสนกับสิ่งที่ตัวเองเฝ้าสงสัยว่า แท้จริงแล้ว ชัยชนะในชีวิตนั้นคือสิ่งใดกันแน่

จะเป็นจริงดังที่คนรุ่นราวคราวเดียวกันเคยได้ยินแว่วจากสังคมรอบข้างมาโดยตลอดหรือไม่ว่า ชัยชนะในสนามการทำงาน ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนหนุ่มสาวนั้นคือ การแข่งขันกับตัวเองและผู้อื่น แล้วสามารถทำตัวเองให้ปรากฏโดดเด่น จนสามารถมีความก้าวหน้าในชีวิต ซึ่งวัดได้จากการมีตำแหน่งที่สูงขึ้นพร้อมกับเงินเดือนสูงลิ่ว

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ตัวเองคิดจนหัวหมุนอยู่บ่อย โดยเฉพาะเวลาที่มีเวลาว่างอยู่กับตัวเองเช่นปัจจุบัน จนแทบจะไม่เชื่อตัวเองว่าการครุ่นคิดเช่นนี้นั้นทำให้กายเหนื่อยล้าเอามาก จนวันหนึ่งก็ผลอยหลับไปทั้งกลางวัน ยามพระอาทิตย์สาดส่องแสงแรงกล้า

จู่ๆ ก็กึ่งฝันกึ่งตื่นนึกถึงคำพูดเฝ้าเตือนของผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ผมชื่นชมอยู่ในใจมาตั้งแต่ได้รู้จักกัน

ผู้ใหญ่คนนี้มีคติในการดำเนินชีวิตที่ได้ฟังแล้วก็ถูกใจ จนต้องขอน้อมรับมาเป็นแนวทางของตัวเองบ้าง แม้จะได้รับรู้มานาน แต่ความวุ่นวายในชีวิตการเรียนและชีวิตในวัยหนุ่ม ก็มักทำให้หลงลืมกับสิ่งที่ว่าอยู่บ่อยๆ

พี่จอบ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ บรรณาธิการใหญ่ของนิตยสารสารคดี เขียนและให้สัมภาษณ์ไว้ในหลายกาลเทศะว่าแนวทางในการดำเนินชีวิตนั้นควรประกอบไปด้วยคติสามประการ นั่นคือ “หนึ่ง ทำงานที่มีความสุข ได้เงินพอจุนเจือตัวเองและคนรอบข้าง สอง เสียสละและทำประโยชน์ให้สังคม และสาม ออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้โลกและผู้คน”

ผมนิยมปรัชญาดังกล่าวที่ตั้งอยู่บนความสมดุลและพอเพียง อีกนึกสงสัยว่านี่เป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนเพียรค้นหา หากมักมองข้ามใช่หรือไม่

เสียงที่แว่วมาในยามกึ่งหลับกึ่งตื่นเช่นนี้ จึงทำให้ใจคลายวิตก และพอจะรื่นเริงกับชีวิตและพร้อมรับกับอนาคตที่กำลังจะมาถึงในเร็ววัน ได้ในระดับหนึ่งที่ทำให้ชีวิตในยามนี้มีความสุขสมอารมณ์หมาย

ผมรู้จักพี่จอบครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่นั่นเป็นเพียงการรู้จักกันผ่านตัวหนังสือ

ในช่วงวัยรุ่น ระหว่างอยู่บ้านในช่วงปิดเทอมชั้นมัธยมฯ ต้น ได้มีโอกาสไปเดินเล่นที่ร้านหนังสือจุฬาฯ ใต้ถุนศาลาพระเกี้ยว และได้เลือกซื้อหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “ก่อนจะไม่มีลมหายใจสำหรับวันพรุ่งนี้” ซึ่งเป็นหนังสือรวมเรื่องราวการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในหนังสือการเล่าถึงนักอนุรักษ์อย่างคุณสืบ นาคะเสถียร ด้วยภาษาและลีลาที่ชวนให้เห็นภาพและรู้สึกคล้อยตาม ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบหลายเที่ยว และเก็บมันไว้ในชั้นบนสุดของตู้หนังสือส่วนตัว ซึ่งเป็นที่เก็บหนังสือโปรด

ต่อมาจึงรู้ว่า “ก่อนจะไม่มีลมหายใจสำหรับวันพรุ่งนี้” เขียนโดยวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ผู้เขียนคนนี้คือคนเดียวกับพี่จอบ บรรณาธิการของนิตยสารสารคดี หนังสือรายเดือนที่ผมอ่านมาโดยตลอดตั้งแต่เป็นเด็กวัยซน และเป็นหนึ่งในพลังชวนใจให้ชอบธรรมชาติ จนเคยมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักทำสารคดีกับเขาบ้าง

หลังจากนั้นมาอีกสิบปีในวัยยี่สิบต้น ผมได้รับโทรศัพท์จากเจ้าของหนังสือเล่มโปรดตั้งแต่วัยเด็ก หลังจากส่งงานเขียนเชิงสารคดีของตัวเองไปทางอีเมล์เพื่อเสนอลงตีพิมพ์ใน “นิตยสารสารคดี” เพื่อเติมเต็มความใฝ่ฝันในการเป็นนักเขียนสารคดี

งานเขียนเชิงสารคดีเรื่องผักลิ้น ซึ่งเป็นพืชน้ำชนิดหนึ่งที่ตัวเองสนใจและเขียนเสนอไปไม่ผ่านการพิจารณา แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้รู้จักกับพี่วันชัยฯ หรือพี่จอบ ดังใช้เรียกถนัดปากในเวลาต่อมา

หลังจากนั้นไม่นาน ความฝันของผมเป็นจริง เมื่อสารคดีฝีมือตัวเองเรื่องปลาการ์ตูน “จากโลกสีครามสู่ตู้ปลา: ความสำเร็จในการเพาะพันธุ์” ได้ตีพิมพ์เป็นเรื่องหน้าปกของนิตยสารเล่มดังกล่าว ในช่วงเวลาที่กระแสหนังแอนนิเมชั่นของฝรั่งเรื่อง “นีโม” กำลังโด่งดัง

ถือว่าพี่จอบเป็นครูคนสำคัญในการเขียนหนังสือทีเดียว ขณะเตรียมต้นฉบับสารคดีเรื่องดังกล่าว ผมจำได้แม่นว่าพี่จอบสอนให้เขียนหนังสือด้วยย่อหน้ากระชับได้ใจความ มีหลักว่าย่อหน้าหนึ่งควรเชื่อมโยงกับย่อหน้าต่อไป พร้อมทิ้งคำถามไว้ชวนคนอ่านติดตาม แล้วจึงค่อยเล่าอธิบายให้ย่อหน้าต่อไป จนขมวดปมมีประเด็นชัดเจนในท้ายสุดของเรื่อง

นอกจากนี้แล้ว นับว่าเป็นโชคดีที่ได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่อยู่เนืองๆ จึงทำให้มีโอกาสได้พูดคุยและรู้จักมักจี่กับพี่จอบมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้เจอกันพี่จอบมักแจกหนังสือเป็นของกำนัลจนคล้ายธรรมเนียมปฏิบัติที่ผมสังเกตเห็นไปเสียแล้ว ผมชอบผลงานรวมบทบรรณาธิการเรื่อง “คน เขื่อน น้ำ ป่า กาแลคซี่” ที่ได้รับเมื่อผมนำต้นฉบับชิ้นหนึ่งไปส่ง และหนังสือเรื่องอินเดียนแดง “ณ ที่นั่น เราจะไม่สู้รบอีกต่อไป” เมื่อพี่จอบรู้ว่าผมได้ทุนมาเรียนต่อที่อเมริกา

ผมรับหนังสือที่พี่จอบให้ทุกเล่มด้วยความดีใจ และมักกลับมาอ่านรวดเดียวจนจบทุกครั้ง ขณะอ่าน ใจมักตื่นเต้นและทึ่งไปกับความคิดที่อ่อนน้อมต่อธรรมชาติ และรู้ซึ้งกับความหมายของการมีชีวิตของพี่จอบที่พรั่งพรูออกมาผ่านตัวหนังสือ แม้ในบางครั้ง จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยเป็นตัวอักษร แต่ปรากฏเต็มเปี่ยมระหว่างบรรทัดที่สายตาสอดส่ายผ่านไป

นอกจากจะรู้จักพี่จอบมากขึ้นผ่านหนังสือและงานเขียนของเขาแล้ว การได้พบปะกันแม้จะไม่บ่อยครั้งก็ทำให้ได้เห็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ พี่จอบเป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก เมื่อได้มีโอกาสพูดคุยกันเมื่อไร ผมจึงต้องเงี่ยหูตั้งใจฟังสิ่งที่พี่จอบพูดออกมาทุกครั้ง ที่เป็นเช่นนี้มิใช่อะไรอื่นนอกจากความประทับใจกับความคิดต่อเรื่องต่างๆ รอบตัวของพี่จอบ และไม่อยากพลาดเรื่องราวน่าฟังอีกน่าคิดตาม

พี่จอบเป็นคนแต่งตัวธรรมดาๆ แต่มีความภูมิฐานอย่างศิลปินอย่างเต็มเปี่ยม พี่จอบมักชวนคุยถึงเรื่องดนตรีด้วยรู้ว่าผมเป่าปี่สก็อตอีกเคยเล่นไวโอลินและดับเบิลเบส ส่วนพี่จอบเป็นนักดนตรีแซกโซโฟนมือดี และกำลังสนุกสนานกับการเรียนไวโอลิน ต้องยอมรับว่าพี่จอบเป็นตัวอย่างให้ผมรู้ว่า ดนตรีนั้นมีไว้รับใช้ความสุขในชิวิต หาใช่เป็นเปลือกนอกส่งเสริมให้คนดูโก้เก๋ ดังมายาคติที่ผมเคยมีในวัยเด็ก

แม้จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นที่นับหน้าถือตา โดยเฉพาะในแวดวงของสื่อมวลชนเพียงไร แต่พี่จอบก็มักดำรงตนอย่างสามัญ ดังสิ่งที่พี่จอบมักเขียนพูดอยู่เสมอมาว่า “คนเรานั้นเป็นเพียงจุดเล็กนิดเดียว หากเทียบกับจักรวาล” พี่จอบจึงเป็นแบบอย่างให้รู้ว่าการมั่นใจในตัวเองมากเกินไป และการทนงตัวสูงกว่าสามัญนั้นเป็นเรื่องที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง

แม้คำถามที่ผมเพียรหาด้วยจิตตระหนกมาตลอดสัปดาห์จะไม่ได้รับคำตอบทั้งหมด แต่สิ่งเหล่านี้ที่มีพี่จอบและผู้ใหญ่อีกหลายท่านเป็นแบบอย่างก็ยังพอให้ตัวเองคลายใจบ้างว่า ชัยชนะที่ควรตั้งเป็นเป้าหมายของการลงสนามในครั้งนี้คือสิ่งใด

“หนึ่ง ทำงานที่มีความสุข ได้เงินพอจุนเจือตัวเองและคนรอบข้าง สอง เสียสละและทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม และสาม ออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้โลกและผู้คน” โดยระลึกว่า “คนเรานั้นเป็นเพียงจุดเล็กนิดเดียว หากเทียบกับจักรวาล”

ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าหากทำได้ ก็คงจะนำมาซึ่ง “ความสุขของคนหนุ่มสาว” ที่หลายคนเพียรใฝ่หาอย่างแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น