xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 187 ตอน มารู้จัก “ป๋าแมงดา” กับ “ป๋านักการเมือง” กันเถอะ (สรยุทธก็เป็น ‘ป๋า’ นะ!)

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้วต้องไปรับประทานอาหารเช้ากับเพื่อนที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ซึ่งอยู่ชั้นล่างของอพาร์ทเมนท์ชาวอาทิตย์อุทัย หลังอาหารเช้าแล้วก็รับประทานขนมหวานคือถั่วแดงอัดแท่งของญี่ปุ่น ตอนผมเรียนหนังสือที่โตเกียวทานบ่อยทีเดียว

ขนมญี่ปุ่นแม้จะดูค่อยแปลกเท่าใดนัก แต่เมื่อคิดถึงองค์ประกอบของขนมที่เขาตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยม ตอนนำลงจานก่อนเสิร์ฟ มีการนำใบไม้เทียมคล้ายใบตองมาห่อตัดมุมเป็นหยัก ต้องยอมรับเลยว่ามีความสวยงาม แม้การประดิษฐ์ประดอยจะไม่มาก แต่ดูเรียบง่ายมีความเป็นธรรมชาติ ทำให้ชวนรับประทานมากขึ้น อย่างนี้แหละครับ คิดเงินแพงขึ้นมาอีกได้ เพราะความที่ดูมีคุณค่างดงาม เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวสินค้านั่นเอง

ไม่กี่วันมานี้ ลุกศิษย์ของน้องสาวที่สนิทกันกับผม ถามคำถามสำคัญที่ผู้คนอาจไม่ค่อยทราบกันนักว่า

“คุณลุงครับ ทำไมหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ชอบเรียกนักการเมืองว่า “ป๋า” ล่ะครับ ?”

เออ...เข้าใจถาม แฮะ
ผมตอบเขาไปว่า ลุงจะเขียนให้อ่านเอาในคอลัมน์กาแฟขมฯ คอยอ่านเอาก็แล้วกัน เลยต้องขออรรถาธิบายเรื่อง ‘ป๋า’ กันหน่อยในวันนี้

คำว่า ‘ป๋า’ ไม่ใช่คำในภาษาไทยไม่มีปรากฏในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แต่คงจะมาจาก ภาษาทั้งจีนและฝรั่ง คือคำว่า ปา กับ มา ในภาษาจีนกลาง และคำว่า Papa หรือ Mama ในภาษาอังกฤษคนรุ่นผมต้องคุ้นกับ เพลง OH, MY PA-PA ของ Eddie Fisher นักร้องดังอดีตสามีของ Liz Taylor ที่ขึ้นต้นว่า

Oh, my pa-pa, to me he was so wonderful
Oh, my pa-pa, to me he was so good
No one could be, so gentle and so lovable
Oh, my pa-pa, he always understood.

คลิกที่นี่ เพื่อฟังเพลง Oh! My Pa-pa ของ Eddie Fisher


คนจีนหรือคนไทยเชื้อสายจีน มักจะเรียกแม่ว่า “มา” เรียกพ่อว่า “ปา” เวลาเด็กเรียกก็จะเป็น “มามา” “ปาปา” ซึ่งเป็นภาษาจีนกลาง บางทีขึ้นเสียงสูงเป็น “ป่าป๊า” “หม่าม้า”แต่พอเป็นสำเนียงไทยกลายเป็น “ป๋า”

ผมคุ้นกับคำนี้ เพราะแม่ของผมเรียกคุณพ่อของท่านหรือคุณตาผม ซึ่งมีเชื้อสายจีน ว่า “ป๋า”เฉยๆ แม่ไม่เรียกเหมือนเพื่อนของท่าน ที่คุณพ่อมีบรรดาศักดิ์เป็น ‘พระยา’ เช่นเดียวกันว่า “เจ้าคุณพ่อ” และไม่เคยได้ยินแม่เรียกคุณตาว่า “เจ้าคุณป๋า” คงเรียกว่า “ป๋า” เฉยๆ และไม่ใช่ “คุณป๋า” อีกต่างหาก แต่ผมไม่เรียกพ่อตัวว่า “ป๋า” แต่เรียกว่า “พ่อ” เพราะท่านไม่มีเชื้อจีนปะปน แต่บรรพบุรุษของพ่อเป็นคนไทยโคราชแท้ๆ

คำว่า “ป๋า”จะไม่มีในภาษาไทยเสียเลยก็หาไม่ เพราะหากใครอยู่ภาคอีสาน หรือขึ้นไปทางเหนือด้านติดกับอาณาจักรลาว คงรู้จักคำว่า “ป๋า” ที่ไม่ได้ได้แปลหรือมีความหมายว่าพ่อ หากแต่มีคำแปลว่า พลัดพรากหรือ การจากไป หรือ ห่างกัน

เวลาผู้หญิงทางภาคอีสานเขาคลอดบุตร ตอน ‘อยู่ไฟ’ เพื่อให้มดลูกเข้าอู่ คนทางภาคนี้เขาเรียกว่า “แม่อยู่กรรม” เขามีคำร้องกล่อมขวัญแม่ลูกอ่อนและทารกที่เรียกว่า “สู่ขวัญแม่อยู่กรรม” ซึ่งมีคำว่า “ป๋า” อยู่ด้วย คือ

ว่ามาเยอขวัญเอย ขวัญเจ้าไปหาค้า ป๋าเฮือนชานลูกอ่อน ๆ
เถิงยามนอน นางอย่าป๋าลูกไว้เสียงให้แอ่วนม ว่ามาเยอขวัญเอย


ส่วนคำว่า “ป๋า” ที่สื่อใช้เรียกนักการเมืองบางคน น่าจะมาไม่นานนัก แต่เราไม่เคยเรียกนักการเมือง ที่มีตำแหน่งสูงถึงขนาดเป็นนายกรัฐมนตรีว่า “ป๋า” เพราะผมเองไม่เคยได้ยินใครเรียก ท่านจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ว่า “ป๋า ป.” หรือ “ป๋าแปลก” หรือ “ป๋าปรีดี” ซึ่งสองอดีตนายกนี้เป็นคู่ปรับกัน แต่ป๋าปรีดีสู้ป๋าแปลกไม่ได้ มีอันระเห็จไปต่างประเทศก่อน แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสกลับมาเมืองไทย เพราะทั้งคู่เสียชีวิตลงในต่างแดน เรียกว่าไม่มีใครเก่งกล้ากว่ากัน แต่ทั้งสองคนยังเป็นรอง “ป่าหริด” หรือจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพราะลองให้ประชาชนโหวตความนิยมทีไร น่าประหลาดใจที่ “ป๋าหริด” นำโด่งทิ้งทั้งสองท่านแบบไม่เห็นฝุ่นเลย !

ทั้งๆที่ท่านจอมพลเป็น “ป๋า”เฉพาะกับสาวๆสวยๆเท่านั้น ไม่ใช่กับประชาชน

นอกจากนั้นเราก็แทบไม่เคยได้ยินคำว่า “ป๋าหนอม” “ป๋าเสนีย์” “ป๋าสัญญา” “ป๋าธานินทร์” หรือ “ป๋าคึกฤทธิ์” “ป๋าเกรียงศักดิ์” แม้กระทั่ง “ป๋าชวลิต”

คนหลังนี่ มีแต่ชาวอีสานเรียกว่า “พ่อใหญ่” นัยว่าท่านมีเชื้อมีสายทางเจ้าเมืองลาว แถมเวลาท่านไปคุยกับพี่น้องมุสลิม ก็ยังไปคุยบอกว่ามีเชื้อสายของสุลต่านสุลัยมานเข้าไปอีก ผู้คนเลยกระแนะกระแหนว่า เลือดในกายของท่านนี่เป็นแบบ cock tail เลย เพราะช่างผสมกันหลายขนานจริงๆ

ส่วนคำว่า “ป๋าเติ้ง” นั้น พอได้ยินบ้างแต่ไม่คุ้นหูเท่าไหร่ และไม่เคยได้ยินคำว่า “ป๋าชวน” หรือแม้กระทั่ง “ป๋าทักษิณ” หรือ “ป๋าแม้ว”

ที่ได้ยินกันมากที่สุด ก็คือ “ป๋าเปรม” หรือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ซึ่งทหารในบังคับบัญชาของท่าน เรียกด้วยความเคารพรักจริงๆ ไม่ใช่เรียกแบบสอพลอ หรือเรียกตามกระแสเหมือนนักการเมืองคนอื่นๆ เพราะสุภาพบุรุษอย่าง “ป๋าเปรม”นั้น เป็นแบบอย่างที่ดีของนายทหารที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดี ต่อประเทศชาติและราชบัลลังก์โดยแท้ เมื่อท่านต้องมาสู่ถนนการเมืองเพราะความจำเป็น ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านก็สร้างคุณูปการให้ประเทศชาติ สร้างความเข้มแข็งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการทหาร ท่านอำลาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปด้วยความสง่างาม ไม่ยอมรับตำแหน่งต่อโดยบอกเพียงสั้นๆ แต่ความหมายล้ำลึก ว่า

“ผมพอแล้ว !”

พอ “ป๋าเปรม” ลงจากการบริหารบ้านเมือง เราก็ได้รัฐบาลชุดใหม่ ที่ต่อมาเรียกกันว่า “บุฟเฟต์-แคบบิเต์” บางคนชิงชังรัฐบาลชุดมหารับประทานเป็นอย่างมาก เลยเรียกเป็นภาษาไทยอย่างไม่สุภาพหน่อย แต่ให้ความหมายอย่างเดียวกัน ว่า “ยัดอ่า-แคบบิเนต์” และรัฐบาลชุดนี้แหละ เป็นต้นเหตุของการยึดอำนาจรัฐโดยทหาร ทั้งๆที่ผู้คนคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก

ที่สำคัญคือ “บุฟเฟต์-แคบบิเต์” เป็นตัวจุดประกายสำคัญแห่งความฉิบหายวายป่วง และความทุกข์ยากของชาติบ้านเมืองทางเศรษฐกิจ ในเวลาต่อมาอีกเพียงไม่กี่ปีถัดมา

หรือใครจะว่า ไม่จริงบ้าง !?

คำว่า “ป๋า” นั้นผู้คนคุ้นเคยกันดีอีกความหมายหนึ่งก็คือ ชายสูงอายุที่หัวใจยังคึกคักอารมณ์ดี มีเงิน พวกนี้ชอบคลุกคลีตีโมงกับสาววัยอ่อนๆ ทำตนเป็นผู้มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบรับประทาน ‘ข้าวต้มกลางวัน’ กับเด็กสาวๆหน้าตาดี

ป๋าพวกนี้แม้ตัวเองจะไม่ใช่ธนาคารหรือสถาบันการเงิน แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งสนับสนุนเงินทุนการศึกษา ให้กับสาวๆที่ใจแตกก่อนวัยอย่างสำคัญ และป๋าเป็นสินค้ายอดฮิตของบรรดาคุณเธอ และป๋าพวกนี้นับเป็น ‘ตัวเงิน-ตัวทอง’ ของเด็กสาวๆพวกนี้เลยทีเดียว

แต่บางครั้งตัวป๋าเองก็ถึงคราวซวยไป ด้วยความที่ความไม่ระมัดระวัง เช่นนักการเมืองสองคนอย่าง “ป๋าเหลิม” กับ “ป๋าวิด” คนแรกจ่ออยู่ปากประตูเรือนจำ คนหลังอายุแปดสิบกว่า ศาลยังต้องสั่งจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูบุตร ที่เกิดกับหญิงที่แกไปได้เป็นภริยาไว้ตั้งแต่เธอยังไม่ได้เป็นนางสาว

ป๋าแก่ๆพวกนี้บางทีก็น่าสงสาร เพราะเด็กสาวที่เขาไปติดพันนั้น หากไม่มีหัวใจให้คนสูงอายุบ้างแล้ว ชราชนผู้อาภัพเหล่านี้ มักจะโดนนินทาลับหลัง อย่างเพื่อนของผมคนหนึ่ง โดนเด็กในอุปการะเรียกเอาเต็มๆอย่างไม่น่าฟังว่า

“ไอ้เฒ่าหัวงู !”

พอมีคนมาเล่าให้ฟัง ทีแรกรู้สึกเจ็บช้ำแทนเพื่อนชะมัด ที่มาเสียรู้ตอนแก่ แต่เวลาผ่านไปก็นึก...สมน้ำหน้า...เพราะดันโง่เอง !

นักศึกษาที่อยู่วิทยาลัยอาชีวะหรือพวกที่เรียนวิศวะ มักเรียกอาจารย์ผู้ปกครองที่ตนเคารพว่า “ป๋า” เพราะความเคารพส่วนตัวก็เห็นมีอยู่หลายสถาบัน แต่เดี๋ยวนี้ในหมู่นักแสดงก็เรียกผู้มีอาวุโสในวงการว่า “ป๋า” ซึ่งเริ่มที่ “ป๋า ส.” หรือคุณ ส.อาสนจินดา ก่อนเพื่อน แต่ไม่ยักเรียกคุณดอกดิน กัญญามาลย์ ศิลปินอาวุโส ว่า “น้าดิน” คือนับเป็นญาติข้างแม่ไปเลย ไม่เคยได้ยินใครเรียกท่านว่า “ป่าดิน”

ตอนนี้นักแสดงที่ดังเพราะมีงานมาก และคนเรียกป๋ากันทั่วก็คือ “ป๋าเทพ” หรือ คุณเทพ โพธิ์งาม ซึ่งผมเป็นแฟนคุณเทพมานาน รวมทั้งคุณน้อย โพธิ์งาม น้องสาวคุณเทพด้วย เรียกว่าเป็นดาวตลกพี่น้องคนโปรดของผมทั้งคู่เลยก็ว่าได้

ตลกรุ่น คุณเด่น เด๋อ ดู ดี๋ เทพ นี้ผมดูเมื่อไหร่ก็ไม่เบื่อ เพราะแค่เห็นเขาคุยเล่นกันก็สบายใจแล้ว แต่ไม่กี่วันมานี้ มีเรื่องใจหายนึกว่า “ป๋าดี๋” จะไปสวรรค์เหมือน “ป๋า ส.” เพราะสูบบุหรี่มากเกินไป และรู้สึกดีใจที่คุณดี๋บอกว่าจะไม่สูบยาพิษอีกต่อไป

ขออำนวยอวยพรให้ ‘คุณดี๋’ มีสุขภาพแข็งแรง จะได้อยู่มีความสุขกับภริยาและลูกต่อไปอีกนานๆ

ท่านผู้อ่านรู้จัก “ป๋ายุทธ” ไหมครับ ? ถ้าไม่ทราบก็จะบอกว่าตอนนี้ป๋าคนนี้แหละที่ดังมากๆ และดังมานานแล้วด้วย

คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา อายุแค่เลขสี่เพิ่งจะขึ้นนี่แหละครับ ตอนนี้กลาย “ป๋ายุทธ” ไปแล้ว ไม่เชื่อลองฟังคุณอรปรียา หุ่นศาสตร์ พูดถึงคุณสรยุทธบ้างซิครับ

“ เรื่องที่แซวไม่ได้คือครอบครัว แต่แซวเรื่องอ้วนหรือพุงได้ เขาก็แถไปได้เรื่อย บอกว่า อย่างผมเรียกว่าหุ่นภูมิฐานและอินเทรนด์ เขากำลังฮิตคนหน้าตี๋ เขาบอกว่าไม่กล้าไปเที่ยวสถานบันเทิงของคุณชูวิทย์ เดี๋ยวมีคนรู้ เอาไปเขียนว่า พิธีกรหน้าตี๋ ใส่แว่น สูงๆขาวๆ ปอ(ชื่อเล่นคุณปรียาฯ) แซวว่า คุณสัญญา คุณากร เหรอคะ

..... ถ้ามีคนแซวเขาจะทำหน้างอๆเหมือนเด็กๆ ตลกดี แรกๆทีมงานก็เกร็ง แต่พอเริ่มคุ้น ทุกคนเรียกเขา "ป๋า" จนติดปาก ”

หวังว่าไม่ “ป๋ายุทธ” คงไม่กลายเป็น ‘ป๋านักการเมือง’ อย่าง “ป๋าเหลิม” ไปอีกคนเพราะถ้าขืนเป็นอย่างนั้นไป เดี๋ยวต้องมานั่งอ่านข่าวตัวเองก็คงลำบากอยู่ !

เมื่อพูดถึงคุณชูวิทย์ ซึ่งเดิมประกอบอาชีพเป็นเจ้าของสถานบริการประเภทอาบ-อบ -นวด ซึ่งพนักงานก็มักเรียกเจ้าของหรือหุ้นส่วนคนสำคัญ ของสถานที่คลายเมื่อยของผู้ชายว่า “ป๋า”กันทั้งนั้น รุ่นเก่าๆที่ผมรู้จักก็มีหลายคน เช่น ป๋ามล, ป๋าวัง, ป๋าวาฬ ฯลฯ คนหลังนี่ตายไปแล้ว

เจ้าของหรือหุ้นส่วนอาบ-อบ-นวดที่ผู้คนเรียกป๋านั้น ยังนับว่าเป็นรุ่นหลังพวกหัวหน้าซ่อง เพราะกิจการอาบ-อบ-นวดเกิดหลังซ่องโสเภณี ทั้งๆที่กิจการสองอย่างนี้ ก็ไม่ค่อยมีความแตกต่างกันสักเท่าใดนัก เพราะความไม่เหมือนกันแค่อยู่ตรงที่ อาบ-อบ-นวดเป็นเรื่องของถูกกฎหมาย แต่ซ่องโสเภณีเป็นของ ผมขอบอกได้เลยว่า

คำว่า “ป๋า” นี้ ใช้ในวงการหญิงนครโสเภณีมาก่อนแน่นอน เพราะตั้งแต่ผมออกเป็นนายตำรวจ เจ้าของซ่องและคนคุมซ่องโสเภณีนั้น เด็กๆในบ้านเรียกว่า “ป๋า” ทั้งนั้น ไม่ว่าเมืองเหนืออย่างเชียงใหม่ เชียงราย ไปจนยันโกลก เรียกเหมือนกันหมด จะเพี้ยนไปบ้างก็ตอนซ่องโสเภณีในกรุงเทพหมดลง เพราะไปซ่อนอยู่ในรูปสถานบริการอาบ-อบ-นวด และหญิงบางคนที่ไม่สามารถไปหากินในสถานอาบ-อบ-นวดได้ เพราะหน้าตาไม่เข้าขั้น หรืออาจเป็นเพราะถูกซื้อมาจากบ้านเดิมที่ต่างจังหวัด และตกอยู่ในความควบคุมของชายแมงดา พวกนี้จะเรียกคนคุม หรือเรียกชายแมงดาว่า “ป๋า”

ตอนเช้าพวก “ป๋า” นี้จะคุมเด็กสาวไปที่โรงแรมในกรุงเทพ เพื่อให้ขายบริการทางเพศ และตอนค่ำมารับตัวกลับไปพัก พร้อมกับรับค่าตัวเด็กไปด้วย

ที่เรียกชายแมงดานั้น มาจากแมงดาทะเลซึ่งมันจะเกาะตัวเมียหากิน พฤติกรรมเหมือนชายที่มีดำรงอยู่ด้วยรายได้ของหญิงโสเภณีนั้น กฎหมายอาญาเรียกว่า “ชายแมงดา” พวกนี้อาชีพหลักชอบเกาะหลังผู้หญิงหากิน และสูบเลือดรายได้ของพวกเธอ ส่วนใหญ่อุปนิสัยโหด เลว ทราม แต่พวกนี้กลัวคนอยู่อาชีพเดียวคือตำรวจ เพราะแมงดาตัวไหนทำซ่า อวดศักดา ตบเตะผู้หญิงเลือดเข้าเลือดออก หรือบางทีซ้อมผู้หญิงอย่างทารุณซี่โครงหัก มดลูกแตก เพราะเจ้าพวกนี้มันทำกับผู้หญิงเหมือนทำกับสัตว์ไม่ใช่คน นั้น

วันดีคืนร้ายเลยถูกนักเลงดีที่ทนไม่ได้ ปลอมเป็นตำรวจ เข้าไปหาเรื่องกระทืบเข้าให้ จนแมงดาตัวแสบอาการสาหัส ต้องเข้าโรงพยาบาลนอนหยอดน้ำข้าวเป็นเดือน ออกจากโรงพยาบาลเข็ดขี้อ่อนขี้แก่ไป พอหายช้ำก็หนีหายหน้าหายตา ไปจากจังหวัดนั้นเป็นการถาวรกันเลย !

เจ้าของโรงแรมที่พวกแมงดาเอาผุ้หญิงไปส่ง เขาเรียกว่าว่า “โก” เพราะส่วนมากเป็นคนไหหลำ ตอนที่หนังสือเรื่อง “อยู่กับก๋ง” ของคุณหยก บูรพา ดังๆ ก็มีหนังสือเรื่อง“อยู่กับโก” ออกมาแต่เป็นเรื่องของผู้หญิงที่ต้องมาขายตัวอยู่โรงแรมกับอาโก

โรงแรมบางแห่งพวกผู้หญิงก็เรียกพวก “โก” ว่า “ป๋า” ซึ่งก็มีบ้าง แต่มีจำนวนน้อย

คุณชูวิทย์ ตอนที่ยังดำเนินกิจการอาบ-อบ-นวดอยู่ คนก็เรียกว่า “ป๋าชู” เหมือนเจ้าของหรือหุ้นส่วนโรงนวดอื่นๆ ตอนแกไปสมัครผู้ว่า กทม. ยังมีการยกป้ายจากลูกน้องเก่าว่า “ ป๋าชู สู้ สู้ ป๋าชูสู้ตาย !” แต่คุณชูวิทย์นั้นถือได้ว่า เป็นผู้แทนราษฎรที่มีลูกน้องสาวสวยมากกว่าผู้แทนทุกชาติในโลก น่าจะให้กินเนสบุ้คเอาไปบันทึกทำสถิติไว้ด้วย

สรุปได้ว่า คำว่า “ป๋า” นั้น คนบ้านเราใช้เรียก ‘หัวหน้าซ่อง’ มาก่อนเรียกพวก ‘นักการเมือง’ อย่างแน่นอน

ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่า ในตำราทางโหราศาสตร์นั้น อิทธิพลดาวพระเคราะห์ทั้ง ๑๐ ได้แก่ ดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ดาวราหู ดาวเกตุ ดาวมฤตยู นั้น

ดาวราหู เป็นเทพเจ้าแห่งความลุ่มหลงมัวเมา ซึ่งมีความหมายเฉพาะแทนผู้มีบุคลิกภาพ กระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว กระโดกกระเดกว่องไว รุกรนไม่อยู่นิ่ง เป็นคนร่างแบน ตัวใหญ่ หน้ากลมสี่เหลี่ยม ผิวเนื้อ ดำแดง หรือร่างท้วมลงพุง ค่อนข้างเตี้ย ริมฝีปากกว้าง ส่วนผมนั้นบาง หรือหัวล้าน ผิวได้ทั้งขาวและดำ ชอบสังคม และชอบการคุยทับถมผู้อื่น ชอบการจัดงานต่างๆ

ผู้ที่ตกอยู่ในอิทธิพลของดาวดวงนี้ นิสัย ใจนักเลง ชอบสำมะเลเทเมา หลงง่าย เชื่อง่าย เอะอะขาดความรอบคอบ ใจคอกว้าง มีบริวารมาก ชอบเลี้ยงดูผู้คน

ดาวดวงนี้ตัวแทน ฝูงชน ผู้แทนราษฎร ผู้แทนสมาคม ทนายความ หมอแผนโบราณ พวกเล่นไสยศาสตร์ นักปาฐกถา บุคคลที่มีหากินโดยเป็นฝ่ายตรงข้ามกับกฎหมาย นักค้าเหล้า ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา นักการพนัน อันธพาล ต้มตุ๋นและ หัวหน้าซ่อง

ดูตามตำรานี้ก็จะเห็นได้ว่า ทั้งป๋าผู้แทนราษฎร หรือป๋านักการเมืองและป๋าหัวหน้าซ่อง นั้นล้วนตกอยู่ใต้อิทธิพลของดาวราหู ดวงเดียวกันทั้งคู่

ถ้าบังเอิญหัวหน้าซ่อง เกิดได้รับการเลือกตั้งมาเป็นผู้แทนราษฎร นี่ยิ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดาวดวงนี้ ยกกำลังสองชัดเจนเลย !

หัวหน้าซ่องที่ลูกเล้าเรียกว่า “ป๋า” นั้น ถ้านิสัยไม่ดี เกะกะ เกกมะเหรกเกเร ผู้คนยังไม่ค่อยเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกเท่าใด เพราะคนพวกนี้ นิสัยพื้นฐานและสันดานไม่ดีอยู่แล้ว

แต่นักการเมืองที่ลูกน้องและผู้คนเรียกว่า “ป๋า” ดันเที่ยวไล่กัดพวกพ้องที่เคยมีไมตรีต่อกัน เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และวางเขื่อง สร้างความสำคัญให้กับตนและพวกพ้อง ทำให้ผู้คนเขาเริ่มรังเกียจในพฤติกรรมที่น่าชิงชัง เพราะฉกฉวยโอกาสขณะที่พรรควกกำลังแก้ปัญหา พูดจาให้ร้ายผู้ที่ตัวเองเคยบอกว่า จะร่วมเป็นร่วมตายด้วย เพียงเพื่อสร้างมูลค่าราคาเพิ่มให้กับตัวเอง

พอโดนสวนเข้าหน่อยเดียว ก็ถึงขนาดขึ้นกู-ขึ้นมึงในทางการเมืองกันเลย ชนิดที่ลูกผู้ชายเขาไม่ทำกัน แต่ถ้าจะกล้าแล้ว ควรต้องกล้าให้ตลอด ไม่ใช่แอบยกตีนถีบท้ายทอยคนที่เป็นลูกพี่ ตอนที่เขาเผลอหันหลังให้ แล้ววิ่งจู๊ดหนีกลับไปซุกหัวอยู่ที่รังวังน้ำขี้

ถ้าใจไม่ถึง ไม่กล้ายกพวกออกไปปักหลักสู้กับเขา ตามวิสัยนักเลงจริงเขาทำกัน แต่กลับดันออกอาการกลัวหางไปอยู่หว่างขา หดหัวอยู่แต่ในรู คนเขาจะไม่เรียก “ป๋า” แต่จะดูแคลนเอาว่า ใจไม่ถึง เก่งแต่ปากอย่างนี้ จะเป็นได้ก็แต่

“ป๋า-อมหมาก !” ก็แค่นั้น

เท่านี้ก็….อายเขาตายชักแล้ว !!

………………………………....

หมายเหตุ ท่านผู้อ่านที่รุ่นราวคราวเดียวกับผม ขอเชิญไปชมคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบของหนุ่มวัย ๗๘ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ ที่เคารพของผม ณ.ศาลาเฉลิมกรุง วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๘ ซึ่งจะมีศิลปินแห่งชาติ คุณสวลี ผกาพันธ์ พร้อมกับนักร้องอย่างคุณดาวใจ ไพจิตร คุณโฉมฉาย อรุณฉาน และพิธีกรคู่ขวัญ คุณ กำธร-นันทวัน สุวรรณปิยะศิริ

‘คอนเสิร์ตหนุ่มน้อย’ อย่างนี้ มิตรรัก-นักเพลง พลาดไม่ได้ทีเดียวเชียว !

กำลังโหลดความคิดเห็น