xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องของแรงบันดาลใจ

เผยแพร่:   โดย: อาทิตย์ ประสาทกุล

ความเชื่อคนไทยแต่โบราณที่มักได้ยินต่อๆ กันมา มักบอกว่า "วัยเบญจเพส" หรือวัย 25 ปีนั้นเป็นเวลาที่คนเราจะประสบกับเคราะห์หามยามร้าย อะไรที่ว่าไม่ดี อะไรที่ว่าโชคร้ายก็จะประดังเข้ามาในวัยนี้ หากพ้นไปก็จะเป็นฟ้าหลังฝน เป็นนิมิตหมายต้อนรับฤกษ์ยามงามดีของชีวิตข้างหน้า

ในเดือนมิถุนายนนี้ ผมจะมีอายุครบ 25 ขวบเต็ม พูดอย่างที่ผู้ใหญ่ว่าก็คือเริ่มเข้าสู่วัยเบญจเพส หลายคนบอกว่าโชคไม่ดีนี้ บ้างก็เกิดขึ้นหนึ่งปีเมื่อก้าวย่างเข้าสู่เบญจเพส บ้างก็เกิดในห้วงหนึ่งปีหลัง ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการโคจรชองดวงตาวประจำตัวแต่ละบุคคล

แม้ผมเป็นคนไม่นิยมตรวจสอบดวงชะตาราศี แต่ก็มิได้เคยลบหลู่แต่ประการใด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตตลอดรอบเกือบปีที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยจะราบรื่นเสียเท่าไรด้วย โชคชะตาวัยเบญจเพสคงเริ่มจะเล่นงานเข้าแล้วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนโชคชะตาวัยนี้จะมิได้ทำงานเฉพาะในผืนแผ่นดินบ้านเกิดเท่านั้น หากยังติมตามมาขณะอยู่เมืองนอกเมืองนามิได้เว้น

เริ่มตั้งแต่มาเรียนใหม่ๆ ดูเหมือนว่าอะไรก็ไม่ค่อยลงตัว คุณยายสุดรักก็เกิดป่วยหนักจนทำให้ต้องเลื่อนการเดินทางออกไปจนเหลือเพียงหนึ่งวันก่อนโรงเรียนเปิด พอมาถึงแล้วก็ต้องว้าเหว่ขอนอนบ้านคนอื่นไปอีกกว่าสองอาทิตย์ และในช่วงเดียวกันก็มิอาจหาบ้านดีราคาถูกได้ดังหวัง พอได้บ้านแล้วก็ราคาแพงเกินไป ตลอดปีจึงต้องย้ายบ้านหลายครั้งคนเดียว ตอนนี้ถึงได้มาอยู่บ้าน (ห้อง) หลังที่สาม

ในด้านการเรียน ทุกอย่างก็เหมือนจะไม่เป็นดังใจนึก ภาคเรียนแรกก็ต้องลำบากลำบนกับการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ จะช่วยเพื่อนในทางที่ดี ก็กลับถูกเคราะห์ซ้ำกรรมซัดก่อให้เกิดเป็นผลร้าย อีกยังเรียนหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะนอกจากป่วยเป็นไข้เจ็บคอกระเสาะกระแสะตลอดทั้งเทอมแล้ว ยังไม่คุ้นเคยกับภาษาและระบบการเรียนของที่นี่ จนทำให้ผลการเรียนออกมาอยู่ในขั้นแย่ พอเข้าภาคเรียนที่สอง กระเป๋าจดเลคเชอร์พร้อมกล้องคู่กายและอุปกรณ์การเรียนอื่นๆ ก็ต้องสูญหายไปในช่วงเวลาก่อนสอบปลายภาคไม่กี่วัน ยังโชคดีที่ผลการเรียนเทอมที่สองที่เพิ่งผ่านไปออกมาใช้ได้ดีสมกับความตั้งใจ

ส่วนสภาพชีวิตในต่างแดนก็ยิ่งไม่อภิรมย์ ด้วยข้อจำกัดทางด้านการเงินและค่าครองชีพที่สูงมากเช่นในมหานครนิวยอร์กก็ต้องทำให้กระเสือกกระสนพอสมควร ทั้งเรียนก็หนักหน่วง ครั้นจะให้ทำงานพิเศษหาเงินนอกเวลาก็ดูจะไม่เหมาะ จึงทำให้การอยู่กินไม่ค่อยสู้ดีนัก บางวันก็ต้องกินข้าวเพียงมื้อเดียว หรือบางครั้งก็ต้องแบ่งข้าวกล่องที่ซื้อมาจากโรงอาหารในตอนกลางวันออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งกินกลางวัน อีกส่วนเก็บไว้กินหลังเลิกเรียนในตอนหัวค่ำ เป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ จะไม่โทษดวงชะตาอย่างไรได้ที่พัดพาให้มาอยู่ในเมืองแห่งนี้ สมัครเรียนไปหลายแห่ง แต่มีแต่มหาวิทยาลัยกลางมหานครแห่งนี้รับเป็นนักเรียนอยู่แห่งเดียว

ความโชคไม่ดีที่กล่าวมาข้างต้น ยังไม่นับรวมเวลาที่ต้องพลาดเครื่องบินในระหว่างการเดินทางไปๆ มาๆ ในประเทศอเมริกาหลายเที่ยว ต้องติดพายุหิมะสองครั้งจนทำให้เครื่องบินลงจอดไม่ได้ ครั้งหนึ่งโชคดีขออาศัยบ้านเพื่อนได้ ส่วนอีกครั้งต้องนอนแกร่วบนพื้นในสนามบินคนเดียว ทั้งหนาวทั้งเหงา เจ็บใจกับฟ้าลิขิตสิ้นดี

เมื่อเริ่มรู้สึกว่าโชคชะตาดูเหมือนจะไม่ค่อยราบรื่นจริงๆ ตามวัยเบญจเพส ผมจึงเริ่มมานั่งคิดหนักว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ และจะมีทางแก้ไขอย่างไรได้บ้าง นึกสงสัยว่าโชคชะตานั้นเป็นเรื่องที่เรากำหนดขึ้นเองหรือเป็นเรื่องที่ลิขิตไว้ให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว คำถามต่างๆ มักพรั่งพรูออกมาในความคิดเสมอๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องเริ่มนับวันนับคืนใกล้แตะวัย 25 ปีเช่นนี้

ถึงกระนั้น การได้ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาในอดีตทำให้คิดได้ว่า บางครั้งเราจะไปโทษโชคชะตาฟ้าลิขิตแต่เพียงอย่างเดียวก็ไม่ถูกทีเดียวนัก พุทธศาสนาสอนให้เราเชื่อว่ากรรมเป็นผลมาจากการกระทำ หากใครทำดีย่อมได้ดี หากใครทำไม่ดีก็ย่อมจะได้รับผลแห่งกรรมอันนั้นเป็นสัจจะ แต่ในบางครั้ง ผมก็รู้สึกเหมือนกันว่าเราก็ไม่สามารถกำหนดโชคชะตาที่ว่านั้นได้จริงๆ หรอก ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ตระหนักว่าบางครั้งฟ้าก็ลิขิตให้เกิดโชคไม่ดีเกินอำนาจความควบคุมของตัวเอง

ครั้นตระหนักได้ดังนี้ ผมจึงบอกตัวเองว่าปล่อยตัวเองให้ไปกับโชคชะตา แล้วเตรียมตั้งรับมันเสียดีกว่าที่จะไปกำหนดมัน คงเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะมองว่าวัยเบญจเพสนี้เป็นวัยที่ต้องเจอกับเคราะห์ร้าย และยอมรับกับผลร้ายนั้นโดยดุษฎีเพียงอย่างเดียว

แอบนึกเล่นๆ ว่าเหตุที่ผู้ใหญ่เฝ้าเตือนให้คนหนุ่มสาวในวัยย่างเข้าเบญจเพสเช่นนี้มาแต่โบราณนั้น ท่านอาจต้องการแฝงไปด้วยอุบายบางอย่างก็เป็นได้ หรือท่านอยากจะตักเตือนว่าเมื่อถึงอายุเท่านี้แล้ว หากใครยังไม่เป็นโล้เป็นพาย ก็ควรเริ่มจริงจังกับชีวิตได้แล้ว จะเล่นเป็นเด็กเหมือนในสมัยก่อนไม่ได้อีกต่อไป

ผู้ใหญ่คงถือว่าอายุเบญจเพสเป็นรอยต่อแห่งความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ (และหลีกเลี่ยงไม่ได้) ของคนคนหนึ่ง ซึ่งเขาจะต้องมีหน้าที่ความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น เป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนสังคมให้เดินหน้าต่อไป

หากเป็นเช่นนั้นจริง ผมจึงคิดว่าช่วงเวลานี้น่าจะเป็นเวลาดีที่น่าจะคิดถึงวันข้างหน้า แต่ในขณะเดียวกัน การหวนย้อนคิดถึงอดีตที่ผ่านมาก็เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะการดำเนินชีวิตดังที่เราทุกคนกำลังคิดกำลังเป็นอยู่เช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนได้รับอิทธิพลจากที่ต่างๆ มาหลอมรวมให้เป็นตัวตนของเราเองเช่นทุกวันนี้

ผมยอมรับว่าผมเติบโตมาได้ทุกวันนี้ก็เป็นเพราะ "แรงบันดาลใจ" ที่ได้รับจากบุคคลต่างๆ ที่ได้มีโอกาสเกี่ยวข้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ดังนั้น ในวัยย่างสู่ 25 ขวบเช่นนี้ จึงคิดว่าคงจะไม่มีอะไรดีเสียไปกว่าการย้อนกลับสู่อดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะการรำลึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จาก "แบบอย่าง" เหล่านั้น เพื่อตักเตือนตัวเองถึงวิถีที่ควรเลือกเดินในช่วงชีวิตที่กำลังมาถึง

บุคคลเหล่านี้นอกจากจะเป็นคนในครอบครัวโดยเฉพาะพ่อแม่ คุณยาย และพี่สาวแล้ว ยังรวมไปถึงผู้หลักผู้ใหญ่ และเพื่อนในวัยเดียวกันที่ผมได้พบเจอด้วย โดยเฉพาะระหว่างเติบโตมาในระบบโรงเรียนมัธยมฯ และมหาวิทยาลัย บุคคลเหล่านี้มีความเมตตาให้ผมได้ใกล้ชิดสนิทสนม จนทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้หลักการดำเนินชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น รวมทั้งแนวคิดในการดำเนินชีวิตของท่านเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด บางท่านก็ได้เป็นแบบอย่างให้ผมดำเนินรอยตามด้วยความชื่นชมส่วนตัว และในบางครั้งก็เป็นคนคอยตักเตือนมิให้ผมมีชีวิตออกนอกลู่นอกทาง

ดังนั้น วัยเบญจเพสจึงน่าจะเป็นฤกษ์งามยามดีให้เริ่มคิดตระหนักถึงวันเวลาภายภาคหน้าว่าจะทำอะไรอย่างไรเพื่อตัวเองและสังคมที่เราล้วนเป็นส่วนหนึ่ง โดยใช้แนวทางตามผู้ใหญ่ที่เราถือเป็นแบบอย่างตามคุณค่าของแต่ละคนดังที่ได้ประสบพบเห็นมาตลอดระยะเวลาที่ได้เติบโตขึ้น

ในขณะเดียวกันก็หวังเป็นอย่างยิ่งเช่นกันว่า คนที่เป็นผู้ใหญ่จะได้เมตตาเป็น "แบบอย่าง" และ "แรงบันดาลใจ" ให้กับคนรุ่นหลัง เพราะตัวอย่างเช่นนี้เป็นสิ่งที่จับต้องได้และใกล้ตัวที่สุดของเด็กๆ

จริงอยู่ที่พอกล่าวได้ว่ามี "ตัวอย่าง และแรงบันดาลใจที่ดี" อยู่มากในสังคมเรา แต่นั่นก็อาจไม่ถูกต้องทั้งหมดเสียทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงในเรื่องความหลากหลาย

จริงไหมว่าสังคมปัจจุบันจะมุ่งนิยมนิยามของความสำเร็จอยู่กับกลุ่มคนเพียงกลุ่มเล็กๆ เพียงกลุ่มเดียว อีกยังมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับความสำเร็จที่มุ่งวัดกันในทาง “มูลค่า” มากกว่า “คุณค่า” ด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ความฝันของเด็กหลายคน จึงเป็นความฝันของการเป็นนักธุรกิจตัวยงอันจะทำให้ได้มาซึ่งเงินทองล้นมือ ซึ่งจะนำไปสู่เกียรติยศและชื่อเสียง ดังที่เห็นกันอยู่ในยุคสมัยแห่งธุรกิจการเมืองเฟื่องฟูอย่างที่เป็นอยู่

พูดให้สั้นก็คือ เด็กสมัยนี้ใครๆ ก็อยากเป็นนายกฯ กันทั้งหมด

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความคิดความฝันข้างต้นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่ายังมีแนวทางอื่นอีกมากมาย สังคมส่วนใหญ่จึงมิควรจำกัดทางเลือกให้คับแคบดังที่เป็นอยู่เช่นนี้

เด็กรุ่นผมและรุ่นหลังเติบโตมาในห้วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ แต่ละคนได้รับอิทธิพลจากหลายแหล่งรอบด้านมากกว่าคนรุ่นก่อนมาก เรื่องนี้เป็นผลพวงมาจากการติดต่อสื่อสารที่ก้าวไกล และเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำจากปรากฏการณ์โลกานุวัตร ที่โลกอันแตกต่างเริ่มกลืนเข้าเป็นเนื้อนาเดียวกันเรื่อยๆ วัฒนธรรม อีกบรรทัดฐานอันดีงามสังคมก็เลือนลางไปพร้อมๆ กับพรมแดนของรัฐที่เริ่มจางหาย

การมี "แม่แบบ" ที่จำกัดเช่นนี้ ก็อาจจะทำให้เด็กอีกหลายคนสับสันในวิถีทางดำเนินชีวิตอย่างที่ถูกที่ควร จนเป็นสาเหตุให้เด็กเหล่านี้มุ่งสู่อบายมุขและความเสื่อมได้โดยง่าย

ต้นเหตุของการขาดแคลนแม่แบบเช่นนี้ มิใช่เพราะไม่มีคนที่มีคุณสมบัติเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นได้ หากเพียงเพราะความหลงลืมนึกถึงหน้าที่สำคัญของสังคมในข้อนี้ไปเท่านั้นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น