xs
xsm
sm
md
lg

ตอน 185 ตอน “ในหลวงทรงไม่ปล่อยให้คนไทย Walk alone” (มุมมองจากเพลง You’ll Never Walk alone ของทีมลิเวอร์พูล)

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้....จิบกาแฟขมโดยมีขนมไทยหลากหลายรับประทานด้วย รวมทั้งลูกชุบสีสันสวยงามรสดี ที่เคยเล่าว่าทีมแมนเชสเตอร์ยูในเต็ด เมื่อมาเยือนเมืองไทยครั้งล่าสุด ทางโรงแรมที่พักได้จัดให้เป็นของหวานก่อนนอน จนเป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดานักเตะทีมปีศาจแดงเป็นอันมาก รับประทานไปคนละหลายๆเม็ด

ขนมไทยนั้นนอกจากรสดีแล้ว ยังมีความงดงามในรูปลักษณ์อย่างน่าทึ่ง และรูปแบบก็ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องน่าชมเชย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ขนม งานประดิษฐ์ ใดๆก็ตามลองตกมาอยู่ในมือคนไทย หรือให้คนไทยได้ลองทำแล้ว ไม่นานก็จะได้รับการสอดแทรกแนวความคิด ความละมุนละไม แต่งแต้มให้กลายเป็นของบ้านเราไปได้ในที่สุด จนชาติเจ้าของเองจำไม่ได้ นี่เป็นคุณสมบัติอันวิเศษของคนไทยที่หาได้ไม่ง่ายในชนชาติอื่น

พูดถึงแมนยูฯก็ต้องเอ่ยถึงลิเวอร์พูลบ้าง เพราะเมื่อปลายเดือนที่แล้ว เชื่อว่าคนไทยจำนวนมากโดยเฉพาะแฟนฟุตบอล และนักพนันบอลที่เอาใจจดจ่อกับผลการแพ้ชนะ ของทีมลิเวอร์พูลกับทีมเอ.ซึ.มิลาน พอเกมเดินมาจนจบครึ่งแรกนั้น แฟนลิเวอร์พูลในเมืองไทยหลายคนปิดโทรทัศน์ ดับไฟเข้านอนด้วยความหดหู่ใจ พวกนักพนันเริ่มคิดหนักกันว่า ที่พากันรองลิเวอร์พูลเอาไว้จะหาเงินที่ไหนไปจ่ายเขา !

ขณะแฟนคนไทยนอนก่ายหน้าผากหมดกำลังใจ แต่ชาวเมืองผู้ดีที่ตามไปเชียร์ทีมของตน ซึ่งหลายคนต้องตัดรายจ่ายและเก็บออมเงินเป็นแรมเดือน เพื่อใช้เป็นค่าเครื่องบินและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ติดตามไปเชียร์ทีมที่เขารักไปนั้น ใจคอไม่ได้เหี่ยวแห้งตามไปด้วย

ตอนพักครึ่งเวลาแม้ลิเวอร์พูลจะถูกนำโด่งไป ๓-๐ แต่แฟนหงส์แดงพวกนี้ กลับไม่แสดงความประหวั่นพรั่นพรึง ร่วมกันร้องเพลง You’ll Never Walk alone ให้กำลังใจกับทีมของตนและปลุกปลอบใจนักเตะ ให้เดินเชิดหน้าออกไปตะบันกันในครึ่งหลังให้รู้ดีรู้ชั่วกันไป แม้จะแพ้ก็ให้มันสมศักดิ์ศรี ลุ้นสู้กันไปจน until the whistle blow ตามวิสัยนักกีฬาผู้มีน้ำใจกล้าหาญ คือไม่เป่านกหวีดหมดเวลาก็สู้เย็บตาตายกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว

นักเตะทีมอังกฤษเมื่อได้ยินเพลง You’ll Never Walk Alone จากเพื่อนร่วมชาติ ก็เกิดความฮีกเหิมว่า คนชาติเดียวกันไม่ทอดทิ้ง เดินหน้าเชิดลงสนาม ด้วยจิตใจรุกรบอย่างเต็มที่

แล้วปาฏิหารย์ก็เกิด !

จากสถานการณ์ที่ตกเป็นรองสุดกู่ในครึ่งแรก กลับกลายเป็นฝ่ายรุกไล่จนตามตีเสมอได้สำเร็จ นักฟุตบอลจากเกาะอังกฤษเล่นอย่างทุ่มเทแบบถวายชีวิต จนสิ้นสุดการแข่งขันในเวลาปกติมีการต่อเวลาก็ยังยันกันอยู่ที่เสมอ ๓-๓ และเอาชนะได้ในการยิงลูกโทษตัดสิน พลิกปากกาเซียนบรรลัยวายวอดกันไปแบบเร้าใจเป็นที่สุด

เพลง You’ll Never Walk Alone นั้นเป็นเพลงที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เมื่อเริ่มเล่นดนตรีใหม่ๆและยังเด็กมากด้วย เพลงนี้ประพันธ์ทำนองโดย Richard Rodgers และเนื้อร้องโดย Oscar Hammerstein II นักแต่งเพลงที่คนไทยรู้จักดี มักเรียกชื่อนักแต่งเพลงคู่นี้ควบกันว่า Rodgers & Hammerstein ซึ่งอัจฉริยะทางดนตรีทั้งสองนี้ ประพันธ์เพลงให้ละครเพลงและภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดัง เป็นที่ติดอกติดใจของคนไทย ที่รู้จักกันมากก็คือเรื่อง South Pacific (มนต์รักทะเลใต้) The Sound of Music (มนต์รักเพลงสวรรค์) และ The King and I ที่สร้างจากหนังสือเรื่อง Anna and The King of Siam

ละครเพลงอีกสองเรื่องใหญ่ของทั้งสองอัจฉริยะ ที่แฟนชาวไทยรู้จักน้อยลงนิดคือ Oklahoma และ Carousel ซึ่งเพลง You’ll Never Walk Alone นั้นอยู่ในเรื่องหลัง ซึ่งนอกจากเพลงนี้แล้ว ยังมี If I Love You ที่แสนหวานไพเราะ ซึ่งมิตรรักนักเพลงรุ่นเก่าและกลางเก่ากลางใหม่จะรู้จักกันแพร่หลายมาก ก็รวมอยู่ใน Carousel ด้วย

ทั้งสองเพลงนี้ล้วนติดอันดับเพลงที่มีบันทึกแผ่นเสียงมากที่สุดในโลก ศิลปินที่ร้องสองเพลงอมตะนี้ไว้ มีตั้งแต่ระดับอภิมหาศิลปินอย่าง แฟรงค์ สินาตรา หลุยส์ อารม สตรอง เอลวิส เพรสลีย์ และอีกหลายคน ไปจนถึงเหล่านักร้องระดับล่าง

ละครเพลงทั้งห้าเรื่องที่ผมบอกมานี้ คนอเมริกันยกย่องมาก โดยขนานนามให้ทั้งห้าเรื่องนี้ว่าเป็น ‘Big Five!’

สำหรับ You’ll Never Walk Alone คุณออสการ์ แฮมเมอร์สไตน์ (ไม่อ่านว่า ‘แฮมเมอร์สตีน’ อย่างที่หลายคนเข้าใจ) เขียนเนื้อร้องไว้จับใจเหลือเกิน ลองดูเนื้อสักนิดสิครับ

When you walk through a storm
Hold your chin up high
And don't be afraid of the dark.
At the end of a storm
Is a golden sky
And the sweet, silver song of a lark.
Walk on through the wind,
Walk on through the rain,
Though your dreams be tossed and blown.
Walk on, walk on with hope in your heart,
And you'll never walk alone!
You'll never walk alone.

เนื้อเพลงบอกชัดว่า ไม่ว่าท่านจะตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอย่างไร ไม่ว่าพายุร้ายแห่งชีวิต ทั้งลมและฝน จะถาโถมกันเข้ามาอย่างไร ขอให้เดินเชิดหน้าเข้าไว้ อย่ากลัวความมืดมนอนธการ ไม่ว่าความฝันจะถูกเหวี่ยงถูกพัดระเนระนาดสักปานใด จงเดินต่อไปด้วยความหวังในหัวใจ แล้วเราฝ่าฟันอุปสรรคทั้งมวลไปได้ เมื่อสิ้นสุดพายุฉกรรจ์ แสงตะวันสีทองจะสาดส่องฟ้า สกุณาก็จะพากันขับร้องก้องกังวานเสียงสดใส....

ก้าวย่างไปเถิด....และจงก้าวต่อไป

จงจำไว้ว่า ท่านไม่ได้เดินไปคนเดียว !

ระหว่างที่ฟังแฟนทีมหงส์แดงร้องเพลง You’ll Never Walk alone ผมขนลุกเกรียว มีความรู้สึกเต็มตื้นขึ้นทันที เพราะได้เห็นพวกเขาเกาะกลุ่มเป็นกองหนุนสีแดง ผนึกแน่นมองเหมือนเนื้อแดงก้อนยักษ์ ยืนเชียร์เคียงบ่าเคียงไหล่กันเต็มอัฒจนทร์ร้องเพลงให้กำลังใจกันพร้อมเพรียง โดยไม่ทิ้งทีมของตนด้วยการเดินออกนอกสนาม หรือนั่งก้มหน้าน้อมรับความพ่ายแพ้โดยดุษณีภาพ แม้ชัยชนะนั้นดูจะตีบตันแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย

คนที่เคยเป็นนักกีฬารู้ดีว่ากำลังใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญ กว่าจะเป็นแค่แชมป์ระดับมหาวิทยาลัย และสี่กองทัพได้นั้น จากประสบการณ์ตัวเองก็มีความรู้สึกว่า เวลาได้ยินเสียงเชียร์ของพวกเดียวกัน หัวใจของผมซึ่งเป็นผู้เล่นอยู่ในสนามศุภชลาศัยเวลานั้น ก็พองโตคับอกแล้ว แต่นี่เป็นทีมระดับโลกลิเวอร์พูล ที่ก่อนการแข่งขันตกเป็นรองอยู่มาก แฟนอุตส่าห์บินข้ามน้ำช้ามทะเลมาจนถึงกรุงอิสตันบูลมาเชียร์กันอย่างไม่ทอดทิ้งอย่างนี้ นักเตะทั้งหลายต้องขอบคุณแฟนที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้น ที่ร่วมกันขับขานเสียงเพลงให้กำลังใจอย่างนี้จริงๆ จนได้รับชัยชนะที่หอมหวานเสียนี่กระไร และเป็นประวัติศาสตร์ของการกีฬาฟุตบอลอีกหน้าหนึ่งเลยทีเดียว !

หากท่านผู้อ่านได้ศึกษาประวัติศาสตร์อังกฤษ คงเห็นได้ชัดว่า ระหว่างที่ประเทศของเขาตกอยู่ภายใต้การโจมตีของเยอรมัน สหรัฐอเมริกายังไม่ได้เข้าร่วมสงครามยุโรปเต็มตัว อังกฤษตั้งรับการโจมตีของเยอรมันอย่างโดดเดี่ยว ด้วยหัวใจอันเข้มแข็งและการทำงานเป็นทีม แม้จะขาดแคลนไปเสียทุกด้าน แต่พวกเขาก็มีกำลังใจอันแกร่งกร้าวและผู้นำอังกฤษในตอนนั้นคือนายกรัฐมนตรี Winston Churchill ซึ่งได้ประกาศเจตนารมย์ชัดเจนต่อหน้าสมาชิกรัฐสภาอังกฤษ เมื่อ ๔ มิถุนายน ๒๔๘๓ ว่า

....We shall defend our island whatever the cost may be; we shall fight on beaches, landing grounds, in fields, in streets and on the hills. We shall never surrender.....

ผู้นำประเทศอังกฤษบอกความมุ่งมั่นชัดเขน ที่จะยืนหยัดต่อสู้ป้องกันเกาะบ้านเกิด จะสู้บนชายหาด ในทุ่งนา ท้องถนนและบนภูเขา จะไม่มีวันยอมแพ้อย่างเด็ดขาดแบบ We shall never surrender นายกอย่างมหาบุรุษเชอร์ชิล ยืนเป็นหลักให้ประเทศยามทุกข์ยาก ประชาชนสามัคคีกันแบบเหลือเชื่อ อังกฤษจึงชนะสงครามในที่สุด และยังคงกระพันเป็นมหาอำนาจหนึ่งของโลกมาจนถึงปัจจุบัน!

เมื่อคราวคลื่นยักษ์ Tsunami ถล่มจังหวัดท่องเทียวภาคใต้ของเรา คนไทยได้ทำให้ชาวโลกได้ประจักษ์ถืงน้ำใจ ที่เรามีต่อเพื่อนร่วมชาติและชาวต่างชาติที่มาร่วมชะตากรรมเดียวกัน ความช่วยเหลือที่หลั่งไหลไปอย่างรวดเร็ว น่าทึ่ง ชนิดที่ชาติใหญ่ยังต้องหันกลับมามองด้วยความทึ่งว่า

“เอ๊ะ...คนไทยทำได้อย่างไรกัน ! ?”

บัดนี้ วิบัติภัยครั้งนั้นได้ผ่านเลยไประยะหนึ่งแล้ว แต่ผู้ที่เจ็บป่วยถาวรเช่นพิการหรือขาดความสามารถในการเลี้ยงชีพก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง จึงอยากให้รัฐบาลเร่งมือให้ความช่วยเหลือ และวางแผนรัดกุม สำหรับการสงเคราะห์ผู้ประสพชะตากรรมครั้งนี้ในระยะยาวด้วย เพื่อเป็นการยืนยันกับเพื่อนร่วมชาติที่ตกเป็นเหยื่อมหันตภัยครั้งนี้ ว่า

You’ll Never Walk Alone !

นอกจากผู้ประสบภัยสินามิแล้ว ผู้ประสพความทุกข์ยากเพราะเหตุการณ์ก่อการร้ายในภาคใต้นั้น ผมก็ขอให้เร่งมือช่วยเหลือประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทหารตำรวจ ที่ทำหน้าที่ป้องกันชาติบ้านเมือง เพลาเรื่องการพูดจาวิพากษ์วิจารณ์กันลงบ้าง และมุ่งกระทำการให้ความช่วยเหลือเป็นรูปธรรมดูจะดีกว่าไปคุยเรื่องสมานฉันท์โก้ๆ แต่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว เพราะการกระทำที่ถูกต้องอย่างที่เคยเรียนไว้ คือ

ด้านหนึ่งต้องมุ่งช่วยเหลือผู้คนบริสุทธิ์ แต่อีกด้านก็จะต้องเร่งรัดปราบปรามการก่อการร้ายอย่างจริงจัง ประกาศไปให้ชัดเจนว่าเราจะไม่หยุดหย่อนปฏิบัติการตอบโต้อย่างเด็ดเดี่ยว และมีประสิทธิภาพ มาตรการทางกฎหมายต้องถูกนำมาใช้อย่างเข้มข้น

เหตุการณ์อย่างนี้หากเกิดในประเทศข้างเคียงอย่างมาเลเซีย จะมีการปราบปรามอย่างรุนแรงกว่าบ้านเรามาก ครั้งหนึ่งกว่า ๒๐ ปี ผมได้มีโอกาสไปเยือนที่โรงเรียนเสนาธิการทหารมาเลเซียอย่างเป็นทางการ ผู้บัญชาการบรรยายสรุปให้ฟังว่า หลักสำคัญอย่างยิ่งก็คือ มาเลเซียจะเตือนข้าศึกหรือผู้ก่อการร้ายอย่างแข็งกร้าวว่า

“Don’t set a foot on this beautiful land.”

ฟังแล้วเข้าท่าดีชะมัด....อยากให้รัฐบาลเอาไปคิดกันบ้าง !

วันนี้เขียนเรื่อง You’ll Never Walk alone แล้ว ทำให้ผมนึกถึงน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย

ในบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "เมื่อข้าพเจ้าจากสยามสู่สวิตเซอร์แลนด์" ทรงบรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า ระหว่างรถยนต์พระที่นั่งนำเสด็จพระราชดำเนิน ได้แล่นฝ่าฝูงชนไปนั้น ทรงได้ยินเสียงราษฎรผู้หนึ่งร้องขึ้นว่า "อย่าละทิ้งประชาชน" ซึ่งพระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะตอบราษฎรผู้นั้นไปว่า

"ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งประชาชนได้อย่างไรได้"
ต่อมาในวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

เสมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้พระราชทานคำมั่นให้กับพสกนิกรของพระองค์ และนับแต่วันนั้นทรงรักษาสัญญาที่ได้พระราชทานเอาไว้มิได้ขาด

หากท่านผู้อ่านได้ย้อนไปดูข้อเขียนของผม ซึ่งได้เขียนไว้ก่อนเหตุการณ์ Tsunami และเป็นเหตุการณ์ใหญ่ คือมหาวาตภัยที่แหลมตะลุมพุก จังหวัดนครศรีธรรมราช มีราษฎรเสียชีวิตมากมาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ด้วยความโทมนัสพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถานีวิทยุ อ.ส.พระราชวังดุสิต กระจายข่าวอย่างละเอียด เชิญชวนให้ประชาชนชาวไทยร่วมบริจาคกับในหลวง รวบรวมสิ่งของ เครื่องใช้ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และเงินตามศรัทธา เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสพวาตภัยดังกล่าว เพียงเวลาไม่นานนัก ประชาชนที่ได้รับฟังข่าวจากวิทยุ อ.ส.พระราชวังดุสิต ต่างก็หอบลูกจูงหลานพากันหอบหิ้วสิ่งของ ตามที่ตนเองจะพอมีอยู่และมีกำลังทรัพย์พอซื้อหามาได้ ทั้งถุงข้าว เสื้อผ้า จอบ เสียม หม้อ กระทะ เข้าสู่พระราชตำหนักจิตรลดารโหฐานเป็นทิวแถว ได้ข้าวของมากมายกองเต็มไปหทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดยานพาหนะของทางราชการ เครื่องบินของกองทัพอากาศ เรือของกองทัพเรือ รถยนต์ของหน่วยราชการ ร.ส.พ. รถไฟ ทั้งหมดที่มีอยู่และหาได้ ระดมสรรพกำลังกันมาช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายเป็นการด่วน เหตุการณ์ในครั้งนั้นเอง ทำให้ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานเงินบริจาค นำไปบรรเทาทุกข์อย่างทั่วถึง แล้วยังคงมีเงินเหลืออยู่อีกจำนวนหนึ่ง จึงทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ ขอจดทะเบียนตั้งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๖ โดยได้พระราชทานเงินจำนวนสามล้านบาท ให้เป็นทุนประเดิมของมูลนิธิฯ และเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ราษฎรได้บรรเทาทุกข์ไปเป็นอย่างมาก รวมทั้งเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง ที่ได้รับพระมหากรุณาฯ ทรงโอบอุ้มให้ได้รับการศึกษา และได้กู้ยืมเงินมูลนิธิไปศึกษาจนจบปริญญาเอก กลับมาทำงานรับใช้ชาติบ้านเมือง เป็นข่าราชการที่ดีเป็นกำลังของบ้านเมือง

ท่านผู้นี้คือ รศ.ดร.คุณหญิง อารมณ์ ฉนวนจิตร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ฝ่ายวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดตรัง ซึ่งต่อมาท่านได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฝ่ายใน ชั้น “จตุตถจุลจอมเกล้า" และใช้คำนำหน้าตามเกียรติที่ได้พระราชทานนั้นว่า “คุณหญิง” (ดูกาแฟขม...ขนมหวาน (ตอนที่ 137 “พระมหากรุณา ดับมหาวาตภัย (เรื่องจริงเหนือนิยาย ของ รศ.ดร.คุณหญิง อารมณ์ ฉนวนจิตร)

ผมสรุปท้ายข้อเขียนตอนนี้ว่า

“เมื่อมีพายุร้ายโหมกระหน่ำประเทศของเรา จนได้รับภัยพิบัติถึงต้องบอบช้ำแสนสาหัสก็ตาม แต่ด้วยพระมหากรุณาคุณได้ดับมหาวาตะภัยนั้นสงบลง โดยได้ซับน้ำตาผู้ประสพเคราะห์กรรม ให้พ้นจากความทุกข์ยากเฉพาะหน้าอย่างรวดเร็ว และพยุงเขาให้เดินก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง พระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ช่างแผ่ไพศาลไปกว้างไกลอย่างหาที่เปรียบมิได้ !”

พระปฐมบรมราชโองการ“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และพระราชประสงค์ที่จะตอบราษฎรผู้หนึ่งร้องขึ้นว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งประชาชนได้อย่างไรได้" นั้น

ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า จนเป็นที่ประจักษ์ในพสกนิกรของพระองค์ว่า ทรงไม่ทอดทิ้งประชาชนของพระองค์ และทรงห่วงหาอาทรตลอดมามิได้ขาด

ถ้ามีเด็กนักเรียนมาถามผมว่า จะแปลพระราชดำรัสที่น่าประทับใจคนไทยทั้งชาติ เป็นภาษาอังกฤษอย่างไรดี ?
ผมก็แนะนำไปสั้นๆว่า
เอาง่ายๆอย่างนี้แล้วกัน...ทรงรับสั่งกับคนไทย ว่า

“You’ll never walk alone.”

แค่นี้ ฝรั่งก็ ‘ซึ้ง’ แล้วครับ !

………………………………………………..
กำลังโหลดความคิดเห็น