xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 183 “วาสนาไม่ถึง สองมือจับดึงก็ยังไม่ได้” (บุญก็ไม่ได้ทำ กรรมก็ยังเสือกก่อ!)

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว ทานเค้กช็อคโกแลต ชิ้นละนิดละหน่อย เป็นเค้กที่มาจากร้าน แชรูแบง ( Cherubang) ปากซอยถนนสุขุมวิท ๓๑ (ซ.สวัสดี) ซึ่งเป็นร้านที่มีฝีมือมากๆ ในเรื่องของเค้กนานาชนิดที่มีส่วนผสมชอคโกแลตเป็นหลัก เจ้าของร้านจบจาก Le Cordon Bleu ใครอยากรู้เรื่องสถาบันคอร์ดอง เบลอ ที่ผลิต Master Chefs ออกมามากมาย ขณะนี้มีสาขาในหลายประเทศ ซึ่งเป็นสุดยอดของโลกของสถาบันในเรื่องเกี่ยวกับอาหาร ขอให้คลิกไปดู กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๒๖ "เสน่ห์ชายที่ปลายจวัก เมียทั้งรักทั้งหลง !"

อยากให้คนที่ชอบเค้กช็อคโกแลต และขนมอร่อย รับรองว่ายี่ห้อ ‘วาทตะวัน’ แนะนำขนมหวานแล้ว ไม่ผิดหวัง

ไม่กี่วันมานี้ ผมได้มีโอกาสดูภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวประวัติของประธานาธิบดี Harry S.Truman (แฮรี่ เอส ทรูแมน) ซึ่งเป็นผู้นำสหรัฐต่อจากประธานาธิบดี FDR หรือ Franklin Delano Roosevelt (แฟรงคลิน เดลาโน รูสเวลท์) ผู้ยิ่งใหญ่ถึงแก่อาสัญกรรมระหว่างการดำรงตำแหน่ง ทรูแมนเป็นรองประธานาธิบดีตอนนั้น ต้องขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน และเป็นบุคคลผู้ทำหน้าที่คัดท้ายนาวาของฝ่ายสัมพันธมิตร และชะตากรรมของมนุษยชาติ ตอนปลายสงครามโลกครั้งที่สอง และหลังมหาสงคราม ท่ามกลางความไม่ค่อยเชื่อมั่นของคนอเมริกัน เพราะความโดดเด่นของทรูแมนนั้น ไม่มีทางเทียบกับประธานาธิบดีรูสเวลท์ซึ่งเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่และเพียบพร้อมไปเสียทั้งหมด และเป็นขวัญใจของคนอเมริกันด้วย หนังเรื่องนี้ผมดูหลายครั้งแล้ว

ขอเล่าให้ฟังว่า หลังจากหมดสมัยแรกแล้ว ท่านทรูแมนได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง แต่ตกเป็นรองผู้สมัครพรรครีพับลิกันเป็นอย่างมาก เพราะขณะนั้น Thomas E.Dewey (โทมัส อี ดิวอี้) โด่งดังมาก เพราะเป็นอัยการใหญ่รัฐนิวยอร์คที่มีความสามารถสูงมาก

ผมยังจำได้ถึงคดีที่คุณโทมัส อี ดิวอี้ รับเป็นทนายความตั้งแต่ตัวเองไปศึกษาต่างประเทศใหม่ ซึ่งหากท่านผู้ใดเคยไปที่ศึกษากฎหมายอาญาในสหรัฐ หรืออบรมในสถาบัน F.B.I. หรือในสถาบันผู้เชี่ยวชา¬ในการสอบสวนคดีอาญา จะต้องพบกับคำที่เรียกกันว่า "พยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ และเข้ามาสู่การพิจารณาหรือการรับรู้ของศาล" (llegal evidence that comes to the court) เพราะคุณดิวอี้ ใช้เป็นชั้นเชิงหลัก ในการว่าความให้กับจำเลยรายหนึ่ง ซึ่งข่มขืนผู้ต้องหาใต้ถุนอพาร์ทเม้นท์ ตำรวจเอาตัวไปซักถามก่อนประมาณแปดชั่วโมง โดยไม่แจ้งข้อหาเสียก่อน แต่กลับแจ้งข้อหาเอาหลังจากที่เอาตัวไปไว้ที่สถานีตำรวจเวลานาน โดยนำเอาคำให้การของจำเลยก่อนการแจ้งข้อหา มาเป็นพยานหลักฐานปรักปรำจำเลย

ตรงนี้แหละครับ ที่คุณดิวอี้เอาการที่ 'ได้มา' (obtain) ซึ่งพยานหลักฐาน รวมทั้งคำรับสารภาพของผู้ต้องหาในชั้นตำรวจ มาเป็นข้อต่อสู้ว่าเป็น Illegal evidence that comes to the court และศาลตัดสินให้ท่านเป็นฝ่ายชนะคดี และคุณดิวอี้ก็ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นอัยการใหญ่รัฐนิวยอร์ค และเมื่อได้รับเลือกตั้ง ก็ได้ต่อสู้กับองค์การอาช¬ญากรรมและพวกมาเฟีย จนมีชื่อเสียงเป็นที่ประทับใจคนอเมริกันเป็นอย่างมาก เรียกว่าเป็นขวัญใจเลยก็ว่าได้ แต่เมื่อลงสมัครรับเลือกตั้งกับทรูแมน นักกฎหมายใหญ่กลับตกอยู่ในความประมาท ไม่ออกหาเสียงมากเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะว่าโพลทุกสำนักชี้ตรงกันโทมัส ดิวอี้ จะได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย ในขณะที่ตัวทรูแมนที่ครองตำแหน่งประธานาธิบดี ดูจะไม่เป็นที่นิยมของอเมริกานัก เรียกว่าผู้ท้าชิงน่าจะชนะแบเบอร์ก็ว่าได้

คนอย่างทรูแมนไม่สนใจโพล แต่กลับโหมหาเสียงอย่างหนัก โดยใช้รถไฟเป็นพาหนะ หรือที่เรียกว่าการหาเสียงแบบ "Whistlestop" คือเดินทางไกลแบบกินนอนในรถขบวนพิเศษไปทั่วสหรัฐ พอผลการเลือกตั้งออกมาจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าคะแนน Popular Vote ของประธานาธิบดีคนใต้แท้ๆ ที่มีลักษณะเงียบขรึม แต่จริงใจ กลับโด่งพรวดแซงไปเป็นล้านกว่าคะแนน

ระหว่างที่อยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีใครจะคิดว่าชาวไร่ธรรมดาเกิดใน Lamar, Missouri แล้วครอบครัวย้ายมาอยู่ Kansas, Missouri แดนใต้ของของสหรัฐ ผู้เคยเป็นนายทหารจากหน่วย Missouri National Guard เมื่อปลดประจำการแล้ว ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้พิพากษา วุฒิสมาชิก และรองประธานาธิบดี และเป็นประธานาธิบดีที่ดูลักษณะภายนอกแล้ว หนังสือพิมพ์เรียกชายผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ว่า เป็น Plain Man คือดูธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่มีบุคลิกที่เป็นจุดเด่นเตะตาผู้คนแบบนักการเมืองดังๆ แต่ประธานาธิบดีที่ดูเป็นคนธรรมดาเรียบง่ายอย่างนี้แหละครับ กลับได้ทำงานและตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในโลก อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเลย เช่น

สั่งทิ้งระเบิดปรมาณูลงเมืองฮิโรชิมา เป็นครั้งแรกที่โลกได้ตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อได้เห็นฤทธานุภาพของอาวุธมหาประลัยนี้ และตามมาด้วยการถล่มเมืองนางาซากิแหลกเป็นจุน เพราะท่านประธานาธิบดีเห็นว่า ยังไงสียญี่ปุ่นก็ยืนหยัดไม่ยอมแพ้ และหากส่งกำลังทหารอเมริกันรุกรบแตกหัก โดยยกพลขึ้นบกที่เกาะญี่ปุ่น ก็ต้องนำชีวิตคนอเมริกันไปเสี่ยงอีกจำนวนมหาศาล เพราะชาวซามูไรจะต้องปกป้องแผ่นดินแม่ แบบสุดใจขาดดิ้นเยี่ยงนักรบบูชิโด จวบจนวาระสุดท้าย

จึงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก ในการสั่งใช้อาวุธร้ายแรง ที่ต้องคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก แต่ทำให้ญี่ปุ่นแพ้สงครามในที่สุด

คนธรรมดาอย่างประธานาธิบดีทรูแมนนี่แหละครับ ที่สั่งปลดนายพลห้าดาวอย่าง ดั๊กกลาส แมคอาเธอร์ ออกจากทุกตำแหน่งกลางศึกเกาหลี เพราะขุนพลท่านนี้ออกอาการที่จะไม่ฟังคำสั่งของประธานาธิบดี ผู้บังคับชาเหนือตนโดยชอบด้วยกฎหมาย!

งานที่ยิ่งใหญ่และมีคุณูปการกับฝรั่งชาติยุโรป ที่ท่านประธานาธิบดีคนนี้ได้ทำไป อย่างที่ไม่มีใครลืมได้ที่ลงมือแก้เศรษฐกิจยุโรปที่แหละยับหลังสงคราม ด้วยแผนการมาร์แชล จนยุโรปโงหัวขึ้นมาจากความเสียหายร้ายแรง ขึ้นมายืนอยู่องอาจได้ในเวทีโลก และหลังสงครามผู้นำสหรัฐที่ธรรมดาคนนี้อีกเหมือนกัน สั่งให้มีการปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือชาวเบอร์ลิน ที่ถูกรัสเซียปิดล้อมหลังสงคราม จนอดอยากกันทั้งเมือง ด้วยการลำเลียงอาหารและเวชภัณฑ์ทางอากาศครั้งมหึมากว่าแสนเที่ยว เพื่อไปเลี้ยงดูชาวเมืองที่หิวโหย ตลอดระยะเวลา ๙ เดือนที่ถูกปิดล้อม

เรียกได้ว่าท่านเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่มากๆ ทั้งๆที่ไม่เคยมีใครคิดว่าท่านจะก้าวมาจนถึงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยซ้ำ แม้ตอนเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อยังไม่มีการประกาศผลเป็นทางการ หนังสือพิมพ์พาดหัวและออกจำหน่ายก่อน ว่า

"Dewey Defeats Truman!"

ความพ่ายแพ้อย่างหักปากกาเซียน อย่างนี้แหละครับ วลีที่อาจใช้กับโทมัส อี ดิวอี้ ได้ว่า

วาสนาไม่ถึง สองมือจับดึงก็ยังไม่ได้ !

คำว่า วาสนาไม่ถึง มักใช้ควบคู่ไปกับคำว่า "บุพเพสันนิวาส" เพราะในความเชื่อแบบชาวพุทธ นั้น เราเชื่อในเรื่องของ "กรรม" ตรงนี้อาจเป็นส่วนดีมากๆ ที่ทำให้คนไทยรู้จักการปล่อยวางในบ้างเรื่อง ที่ตนไม่มีความสมหวัง หรือผิดหวังในเรื่องที่ตนมุ่งหมายเอาไว้ เช่นหวังว่าได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น จะชนะการเลือกตั้ง ประสพความสำเร็จในความรัก และชีวิตครอบครัว แต่เมื่อต้องพลาดหวัง บางคนก็พูดว่า เพราะบุญไม่มีหรือบ้างก็ว่ากรรมมันบัง หรือ ไม่มีวาสนา นั่นเองซึ่งก็เป็นการปล่อยวาง หรือจะพูดให้ง่ายเข้าก็คือรู้จักปลงเสียได้ ทำให้ความเครียดน้อยลงเพราะทำใจได้ ซึ่งเป็นส่วนดีของชาวพุทธแบบไทยๆ

บางคนก็บอกว่า เป็นเรื่องของ "พรหมลิขิต" ซึ่งเป็นชื่อเพลงที่ ครูเอื้อ สุนทรสนาน ท่านร้องเอาไว้ว่า

เมื่อคิดให้ดีโลกนี้ประหลาด บุพเพสันนิวาส

ที่ประสาทความรักภิรมย์

คู่ใครคู่เขา รักจะคอยเฝ้าชม คอยภิรมย์เรื่อยไป

พระพรหมนั้นเป็นผู้สร้าง เชื่อกันว่าท่านก็ขีดว่าชีวิตคนว่าจะเดินไปในทางใด แต่สำหรับศาสนาที่มีพระเจ้าองค์เดียว หรือเอกเทวนิยม ก็คิดคล้ายๆกัน คือเมื่อชีวิตเกิดขึ้นมา ก็เดินไปเป็นเส้นตรง เดินไปในโลกมนุษย์ มุ่งไปสู่ความตาย กลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งจะเป็นพิพากษาการกระทำของเขาระหว่างอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นที่สุดแห่งการเดินทาง ส่วนทางศาสนาพุทธนั้น เราเชื่อในเรื่องของ กรรม เชื่อว่าชีวิตนั้น เป็นวงกลม (วัฎฎะ) เมื่อตายไปก็ไปเกิดในภพภูมิใหม่ จะดีหรือชั่ว แล้วแต่กรรมเป็นเครื่องกำหนด สำหรับเรื่องของความรักที่สมหวังของหนุ่มสาว ซึ่งมีความสุขสมหวัง เพราะเมื่อดูใจกันมานาน ก็ได้แต่งงานเป็นสามีภริยากันนั้น ในทางพระพุทธศาสนามีกล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ ดังพุทธภาบิตว่า

ปุพฺเพว สนฺนิวาเสน ปจฺจุปนฺนหิเตน วา
เอวนฺตํ ชายเต เปมํ อุปฺปลํ ว ยโถทเก


แปลว่า ความรักนั้นเกิดจากเหตุ ๒ ประการสำคั¬ญคือ การเคยอยู่ร่วมกันมาในชาติก่อน ประการที่ ๑ หรือ ประการที่ ๒. การเกื้อกูลกันในชาติปัจจุบัน

ในวรรณคดีพุทธศาสนามีสามีภรรยาจำนวนมากที่แต่งงานกันเพราะมีความรักแบบบุพเพสันนิวาสหรือความรักเกื้อกูลกันในปัจจุบัน บางคู่เมื่อแต่งงานกันแล้วก็มีความสุข บางคู่ก็ประสบความทุกข์ทรมานอยากจะขอยกนิทานแบบชาดก สักเรื่องให้ท่านได้อ่านเล่นเพลินๆ ดังนี้

ผัวเมียคู่หนึ่งหนีฝ่ายชายชื่อ โกตุหลิก เมียชื่อชื่อ นางกาลี ความยากแค้นแคว้นอัลลกัปปะ ไปอาศัยอยู่ในกรุงโกสัมพี โดยพึ่งบุญของนายโคบาลผู้อารี ซึ่งได้ได้ให้อาหารแก่พวกเขา

วันหนึ่ง นายโคบาลได้ทำขวัญโคและถวายอาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ฝ่ายโกตุหลิกผู้ยากไร้ได้มองดูสุนัขกินอาหารอย่างดี ได้แต่รำพึงว่า หมานี่มีบุ¬กว่าตัวเองที่เป็นคนนักเพราะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี พอถึงกลางคืนนายโกตุหลิกถึงแก่กรรม ได้ไปเกิดในท้องสุนัขในบ้านนายโคบาล คลอดนายโคบาลก็ได้เลี้ยงดูหมาตัวนี้

เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ารับนิมนต์นายโคบาล มาฉันที่บ้านตน พระองค์ประทานอาหารแก่สุนัขที่ชาติก่อนเป็นโกตุหลิก เจ้าสุนัขก็เกิดความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้า

ต่อมาพระปัจเจกพุทธเจ้ามาลานายโคบาล ซึ่งเป็นโยมอุปฐากระหว่างที่พระองค์ประทับอยู่ในกรุงโกสัมพี เมื่อพระองค์เสด็จจากไป เจ้าสุนัขก็ตายและกลายเป็นเทพบุตร ต่อมาเมื่อหมดบุญบนสวรรค์ ก็กลับมาจุติเป็นบุตรของนางโสเภณี ซึ่งไม่ชอบเด็กผู้ชาย เพราะโตขึ้นมาจะเอาไปขายนาผืนน้อยหากินอย่างแม่ไม่ได้ จึงให้นางทาสีนำไปทิ้ง แต่ก็มีคนเก็บไปเลี้ยงและเมื่อปุโรหิตประจำเมืองทราบเรื่อง จึงได้บอกกับเศรษฐี (คนเป็นมีตำแหน่งในพระราชวังเป็นเศรษฐีประจำราชสำนักด้วย)

ปุโรหิตบอกกับท่านเศรษฐีว่า เด็กที่เกิดวันนี้โตขึ้นจะเป็นเศรษฐีในวันหน้า ท่านเศรษฐีจึงให้คนไปซื้อเด็กมาเลี้ยงไว้ให้ชื่อว่า "โฆษกะ" แต่ต่อมาภริยาตนคลอดบุตร คราวนี้ก็เกิดเรื่อง "ลูกรักลูกชัง" เศรษฐีกลับคิดฆ่าโฆษกะ เพราะเกรงว่าลูกแท้จะไม่ได้เป็นเศรษฐีตามคำทำนายปุโรหิต แม้พยายามจะฆ่าเด็กด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ไม่เป็นผล เด็กหัวแข็งอยู่รอดมาได้

พอลูกชายเศรษฐีเติบโตขึ้นเป็นหนุ่ม ตอนนั้นยังไม่มีพนันบอล เลยชอบตีคลีพนันกับเพื่อนบ้าน แล้วทำให้ท่านเศรษฐีต้องเสียเงินทองเป็นจำนวนมาก เพราะลูกชายแพ้พนัน เศรษฐีซึ่งหาโอกาสฆ่าโฆษกะอยู่แล้ว จึงไปหาช่างหม้อบอกว่า มีลูกชายชั่วช้าคนหนึ่ง เมื่อเขามาถึงบ้าน ขอให้ฆ่าเด็กคนนั้นเสีย

จากนั้นเศรษฐีก็ออกคำสั่งให้โฆษกะไปบ้านนายช่างหม้อ ซึ่งหนุ่มโฆษกะก็ทำตามคำสั่ง พอออกจากบ้านก็พบลูกเศรษฐีถามว่าจะไปไหน เมื่อโฆษกะบอกว่าจะไปบ้านช่างปั้นหม้อ ลูกชายเศรษฐีขอไปแทน ขอไปแทน จึงถึงคราวชะตาขาด ถูกช่างหม้อฆ่าตาย เศรษฐีทราบความที่ลูกชายของตนต้องรับเคราะห์แทนแทนโฆษกะ ก็ได้แต่ร่ำให้เสียใจ

ตาเศรษฐีก็ไม่หยุดปองร้ายโฆษกะออกอุบายฆ่าอีก โดยเขียนจดหมายไปบอกเสมียนผู้เก็บส่วยส่งให้ในชนบทซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิท ให้ฆ่าผู้ถือจดหมายทิ้ง แล้วเศรษฐีก็บอกโฆษกะให้นำจดหมายนี้ไปส่งเสมียนเก็บส่วย

โฆษกะผูกจดหมายไว้กับชายผ้า ออกเดินทางไปถึงบ้านเศรษฐีอีกคนในชนบท ภรรยาเศรษฐีทราบว่าโฆษกะมาที่บ้าน เมื่อนางได้พบเกิดความรักใคร่เหมือนลูกของตัวเอง ให้ลูกสาวออกมาต้อนรับขับสู้โฆษกะเป็นอย่างดี

ลูกสาวของเศรษฐีชนบทคนสวยก็ตกหลุมอินเลิฟกับโฆษกะ เพราะนางเองในก็เคยเป็นเมียของเขาโฆษกะในชาติที่เป็นนายโกตุหลิก สาเหตุที่นางเกิดมาชาตินี้และได้เป็นลูกเศรษฐี เพราะนางเคยถวายข้าวสุกแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าทะนานหนึ่ง จึงได้เกิดมาเป็นลูกสาวเศรษฐี แต่ความรักในชาติก่อนกับสามียังคอยติดตามให้ผลอยู่ ขณะโฆษกะหลับนางแอบเปิด จ.ม.ที่โฆษกะจะนำไปให้เสมียน พออ่านเข้าก็ตกใจ นางจึงเขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่งแปลงสารให้เรียบร้อย โดยมีข้อความว่า ขอให้เสมียนจงต้อนรับโฆษกะลูกชายให้ดี จัดการสร้างบ้านเป็นเรือนหอสองชั้น แล้วจัดให้โฆษกะแต่งงานกับลูกสาวนายเศรษฐีชนบท อย่าให้บกพร่องเป็นอันขาด และให้ดูแลคู่ผัวตัวเมียให้ดี

เมื่อโฆษกะไปถึงบ้านเสมียน เจ้าเสมียนอ่านจดหมายก็จัดการตามสั่ง จัดการสร้างเรือนหอและจัดพิธีแต่งงานให้โฆษกะ เรียบร้อยแล้วก็ส่งข่าวไปบอกเศรษฐี

พอเศรษฐีได้รับข่าวเท่านั้น ก็เกิดความเสียใจจนถึงแก่ความตาย พระเจ้ากรุงโกสัมพี จึงได้แต่งตั้งให้นายโฆษกะ ขึ้นเป็นเศรษฐีเมืองโกสัมพีแทน

เล่าเรื่องอย่างนี้ เด็กสมัยใหม่อาจหัวเราะว่าเป็นเรื่องน่าขัน แต่ผมขอบอกว่า

ชาดกนั้นเป็นนิทาน แต่เป็น นิทานศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในศาสนาอื่นๆก็มีนิทานศักดิ์สิทธิ์ทำนองเดียวกันนี้ ที่เรียกว่า myth ลักษณะพิเศษของนิทานศักดิ์สิทธิ์นั้น คือคนเชื่อว่าเป็นความจริง คำว่าชาดกนั้น แปลว่า ชาติ เพราะพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ปฏิเสธลัทธิความเชื่อในชาติกำเนิดของฮินดู ที่จำแนกคนออกเป็นวรรณะ ทรงโต้ตอบฮินดูว่ามนุษย์เราเกิดมาเท่ากัน

ชาดกพูดถึงพระชาติต่างๆของพระพุทธเจ้า ซึ่งเสวยพระชาติเป็นสัตว์ต่าง ก็แสดงการพัฒนาทางจิตใจที่เจริญเติบโตมาด้วยความดีงามในภพชาติต่างๆ ความเชื่อนี้ได้แพร่หลายมาจากประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนามาก่อนเรา เช่นลังกา จะมีเรื่องราวอย่างมหานิบาตชาดกมากมาย ยิ่งประเทศพม่านี่เต็มไปหมด เพราะเขาให้ความสำคัญกับมหานิบาตชาดกเป็นอันมาก มีปรากฏในงานเขียน ภาพ ลวดลายปูนปั้น ให้ได้เห็นกันเป็นหลักฐานกันเยอะมาก

เมืองไทยเราก็รับเอาความเชื่อเหล่านี้มา ใครที่ยังไม่เคยไปวัดศรีชุม สุโขทัย ผมอยากแนะนำให้ไปดู ในวิหารวัดศรีชุมมีชาดกพระพุทธเจ้า ๕๐๐ ชาติ แต่ตัวผมเองยังไม่เคยนับว่าครบหรือไม่ จึงอยากให้ท่านผู้อ่านลองพาลูกหลานไปดู แล้วกรุณานับแทนผมด้วย

ยิ่งมีอายุมากขึ้น ผมยิ่งเห็นสัจธรรมในพุทธภาษิต ปุพฺเพว สนฺนิวาเสน ปจฺจุปนฺนหิเตน วา เอวนฺตํ ชายเต เปมํ อุปฺปลํ ว ยโถท นี้มากขึ้นทุกที เพราะเคยเห็นหญิงและชายที่รู้จัก รักกันมาตั้งแต่เป็นนักเรียน จนทุกคนรู้กันหมด เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ทำงานกระทรวงเดียวกันอีก เห็นหน้ากันทุกวัน แต่ผู้ชายต้องไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นเพราะความประมาท คือไปทำให้ผู้หญิ¬ิงอื่นในที่ทำงานเดียวกันอีกเหมือนกัน ท้องโตโดยบังเอิญเสียก่อน ซึ่งไม่น่าจะทำอย่างนั้นเลย แต่ก็เป็นไปแล้ว

ผมเคยเห็นผู้ชายที่ร่ำเรียนมาสูง หน้าตาดี มีสาวๆหมายปองมาก ทำงานก็เก่ง ลักษณะท่าทางผึ่งผายองอาจ สมเป็นชายชาตรี มีตำแหน่งเป็น ผบ.ร้อย หน่วยไหนผมไม่บอก

วันหนึ่งชายหนุ่มอนาคตไกลคนนี้ ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ มีผู้หญิงชั้นประทวนในหน่วยเดียวกัน แต่ไม่ได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของตน ติดไปเที่ยวกับกลุ่มคนหนุ่มนี้ด้วย ฝ่ายชายฉลองเพลินกินเหล้าเมา พรรคพวกเอามาส่งบ้านพักของทางราชการ

พอตื่นนอนตอนเช้าพบว่าตัวเองนอนอยู่คนเดียวในห้อง ที่มีเสื้อผ้าผู้หญิงกองเต็มไปหมด โผล่ออกจากห้องไปก็ตกใจ เพราะเห็นหญิงชั้นประทวนที่ไปด้วยตอนกลางคืน นุ่งกระโจมอก โผล่หน้าออกไปทางหน้าต่าง ส่งเสียงร้องทักทายกับผู้ที่เดินผ่านหน้าเรือนพัก จะไปทำงานที่หน่วยอย่างร่าเริง ว่า

"สวัสดีค่ะ ผู้กอง" "สวัสดีค่ะ...คุณนาย"
"สวัสดีค่ะ...คุณจ่า สบายดีหรือคะ ?" ฯลฯ


เชื่อไหมครับว่า ทั้งชายหนุ่มสัญญาบัตรกับฝ่ายหญิงชั้นประทวน และอยู่ด้วยกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ฝ่ายชายต่อมาก็มียศสูง ฝ่ายหญิงออกจากราชการเป็นแม่บ้านอย่างเดียว ตั้งแต่ขนเสื้อผ้ามาอยู่ด้วยกันไม่นาน และเป็นแม่ของลูกสามคน ได้ดีทั้งหมด อย่างนี้เรียกได้ว่า ปุพฺเพว สนฺนิวาเสน ปจฺจุปนฺนหิเตน คือ อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนนั่นเอง เพราะในชาตินี้พบกันชั่วแค่ข้ามคืน ก็อยู่กินด้วยกันเสียแล้ว

มีตลกคาเฟ่เวลาเขาเล่นตลก เขาปูเรื่องว่าผู้หญิงที่เป็นภริยาของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง บอกว่าไม่อยากมีผัวเป็นท่านปลัดกระทรวง แต่อยากมีผัวเป็นคนขับรถสิบล้อ ตลกชายถามว่า

"อ้าว!...ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ ?"

ฝ่ายตลกหญิงก็ตอบว่า เพราะเป็นเมียท่านปลัดกระทรวงนี่มันต้องอยู่กับบ้าน สามีดันไปมีเมียน้อย ยกย่องออกหน้าออกตา เหมือนกับเมียหลวงไม่มีตัวตน ถ้าไปเป็นเมียคนขับรถสิบล้อจะดีกว่ามาก เพราะไปไหนก็ไปกับสามี ได้นั่งรถตะลอนๆไปด้วยกันทั้งวันทั้งคืน ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะเดี๋ยวนี้เถ้าแก่เขาไม่จ้าง "แอ้ดรถ” หรือ เด็กประจำรถ แต่ให้เงินเดือนเหมารวมมาเพื่อจ้างแอ้ดรถ มาให้เมียนั่งไปทำหน้าที่ คุณนายท่านปลัดที่ผัวมีเมียน้อย เลยอยากเป็นแอ้ดรถเสียเอง

ฝ่ายตลกผู้ชายก็บอกว่า คิดอย่างนั้นไม่ถูก เพราะพวกคนขับรถสิบล้อนั้น เมียแก่ๆเขาไม่เอานั่งรถด้วยหรอก นั่งไปก็ไม่เพลิดเพลินเจริญใจแต่อย่างใด ส่วนใหญ่่แล้วเขาเอาเมียน้อย หรือเมียคนที่สองที่สามไป เมียหลวงเขาให้อยู่บ้านเอาไว้เลี้ยงลูกเท่านั้น หรือที่เรียกว่า

"ตุ๊กตาอยู่หน้ารถ แม่มดอยู่ที่บ้าน!" นั่นเอง

ผมขอยืนยันว่า ที่ตลกผู้ชายเขาพูดนั้น เป็นความจริงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ (เหลือเศษเอาไว้ให้ผู้ชายดีๆหน่อย) ใครไม่เชื่อผม ลองไปถามคุณ ยาว อยุธยา ตลกชื่อดังดูก็ได้ว่า ผมพูดถูกหรือผิด ?

วันนี้ก็เขียนเรื่องเบาๆหน่อย เพื่อให้ท่านได้อ่านกันเพลินๆ เพราะตอนที่แล้ว ที่เขียนเรื่องความขัดแย้งวันวิสาขะ รู้สึกว่าจะเข้มข้นไปสักนิด ก็อย่างนี้แหละครับ หนักบ้างเบาบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก่อนจะจบบทความวันนี้ลง ก็ต้องบอกว่า

พวกที่มี "วาสนา" ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเมื่อต้นปี ตอนนี้ก็นั่งใจเต้นไปพลางๆก่อนก็แล้วกัน เพราะแม้ประชาชนเลือกมาเป็นผู้แทนแล้ว นั้น

กรรมเก่าที่หาเสียงอย่างไม่ถูกต้อง เช่นใส่ความเขาว่าซื้อเสียงไว้ กล่าวหาเขาด้วยความเท็จระหว่างหาเสียง หรือเอาซี.ดี.ตัดต่อไปแจกชาวบ้าน ปลุกระดมให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ เพียงเพื่อเอาชนะการเลือกตั้งเท่านั้น !

กรรมที่ตัวเองได้ก่อไว้นั้น จะกลายเป็นวิบากที่ตามมาหลอกหลอน หากยังมีบุญเก่าคุมครองอยู่บ้าง ก็ต้องรับไปแค่ "ใบเหลือง" ไปเลือกตั้งกันใหม่ เสียเงินเสียทองเพิ่มไปอีกไม่น้อย หรือหากคนไหนประพฤติอย่างที่คนโบราณขาบอก คือ

“บุญก็ไม่ได้ทำ กรรมก็ยังเสือกก่อ!”

ก็ต้องโดนแจก "ใบแดง" ลาก่อนซ่อนกลิ่นออกจากสภาผู้แทนขาดไปเลย กลับมารับเลือกตั้งใหม่อีกไม่ได้ต้องเว้นไป

ยิ่งกว่านั้นจะอยู่ยงคงกระพันในตำแหน่ง ส.ส.ได้หรือไม่อย่างไรนั้น นี่ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาอีกเหมือนกัน แต่...

ไม่ใช่วาสนาธรรมดาๆ อย่างที่เราเข้าใจกัน หากเป็น

วาสนา เพิ่มลาภ !

ประธาน กกต. นั่นแหละครับ !!


                                                    ............................
กำลังโหลดความคิดเห็น