xs
xsm
sm
md
lg

ตามชมสมบัติชาติ

เผยแพร่:   โดย: อาทิตย์ ประสาทกุล

ขอถามหน่อยครับว่าจะรู้สึกอย่างไร เมื่อเห็นของของเราไปอยู่ในมือคนอื่น

สี่วันก่อนสอบ เป้สะพายหลังคู่กายหายไป เมื่อกลับขึ้นมายังโต๊ะทำงานที่สำนักงานศูนย์นโยบายพลังงานฯ ของโรงเรียนหลังจากกินอาหารกลางวัน

สถาบันจ้างนักเรียนอย่างผมให้ทำงานสัปดาห์ละ 1 วัน มีหน้าที่เพิ่มเติมข้อมูลในเวปไซต์ของเขา ค่าจ้างที่ได้รับไม่มากมาย จึงทำให้รู้จักคำว่าค่าของเงินได้ดี

ในกระเป๋าที่หายไป แม้ไม่มีของมีมูลค่า นอกจากกล้องดิจิตอลรุ่นเก่า และเครื่องคิดเลขมือสองที่ซื้อต่อมาเพื่อน แต่ก็เต็มไปด้วยของมีคุณค่า โดยเฉพาะสมุดจดการบรรยายในห้องเรียนซึ่งมาจากน้ำพักน้ำแรงที่ตั้งใจมาตลอดภาคเรียน และเป็นของสำคัญที่ต้องใช้เตรียมสอบปลายภาคที่กำลังมาถึง

เพื่อนที่เรียนมาด้วยกันรู้ว่าผมเป็นคนจดเลคเชอร์ไม่เก่ง และไม่เคยมีสมุดจดเป็นของตัวเองเลย ทั้งในสมัยเรียนมัธยมฯ และมหาวิทยาลัย การจดเลคเชอร์ด้วยตัวเอง มีสมุดเป็นของตัวเองเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่ผมภาคภูมิใจ

ผมปลอบใจตัวเองว่าผมยังมีเพื่อนพอขอยืมสมุดจดของเขามาทำสำเนาอ่านได้ อีกการตั้งใจเรียนในห้องสม่ำเสมอก็คงทำให้เนื้อหาในแต่ละวิชาถูกบันทึกลงในหัวบ้างไม่มากก็น้อย แต่การเดินเข้าห้องสอบวิชา “เศรษฐศาสตร์เพื่อการวิเคราะห์นโยบาย” ในเช้าวันจันทร์ พร้อมเครื่องคิดเลขใหม่ชนิดถูกซึ่งไม่คุ้นมือ ก็ทำให้หวั่นใจเอาได้เหมือนกัน

ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน แต่รู้ว่าได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว ตกเย็น ผมนัดกับเพื่อนติวข้อสอบวิชา “งบประมาณภาครัฐ” ที่จะมีสอบในเช้าวันรุ่งขึ้น ดูเหมือนว่าหนุ่มอเมริกันเชื้อชาติญี่ปุ่นคนนี้ตั้งใจติวให้เป็นพิเศษ ด้วยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม

บนโซฟานุ่ม ในห้องโถงของโรงเรียน ผมนั่งฟังเพื่อนพร่ำบ่นเนื้อหาด้านการเตรียมงบประมาณ รวมถึงข้อควรพิจารณาต่างๆ ในการจัดทำงบประมาณที่อาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย ผมไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไรนัก เพราะมัวแต่คิดถึงแต่เรื่องที่ถูกขโมยกระเป๋า และเหนื่อยล้าจากการสอบที่เพิ่งผ่านไปและที่กำลังจะมาถึง

เพื่อนนักเรียนปีเดียวกันคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี เพื่อนที่กำลังติวอยู่กับผมเรียกเธอมาคุยเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับการพิจารณาให้ทุนของโรงเรียนสำหรับปีการศึกษาหน้า เรื่องให้ทุนนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะการศึกษาที่นี่มีค่าใช้จ่ายมาก การได้ทุนช่วยเหลือค่าเล่าเรียนจึงเป็นเรื่องที่เด็กนักเรียนทุกคนให้ความสนใจ

เพื่อนนักเรียนคนนี้มาคุยกับเพื่อนผมอย่างออกรสออกชาติ ด้วยข้อมูลวงในเรื่องต่างๆ ในจังหวะหนึ่งระหว่างที่ฟังสองคนคุยกัน ผมต้องหยุดอึ้งแน่นิ่งไปชั่วขณะ

ในมือของเธอ ผมเห็นซองผ้าใส่กล้องดิจิตอลของผมที่อยู่ในเป้สะพายหลังที่หายไป บัดนี้กลายเป็นซองใส่โทรศัพท์มือถือในมือของเพื่อนนักเรียนปีเดียวกันที่เพิ่งเดินเข้ามาคุยกับเพื่อนญี่ปุ่นอเมริกันของผมเมื่อสักครู่นี้

แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าซองใส่โทรศัพท์มือถือซึ่งผมเป็นคนออกแบบและเลือกผ้าด้วยตัวเอง แล้วให้พี่เลี้ยงที่บ้านเย็บให้ จะมาอยู่ในมือของคนอื่น

จริงดังที่พ่อว่า “สสารใดๆ ไม่มีวันหายไปจากโลก เว้นเสียจะเปลี่ยนเจ้าของ หรือเปลี่ยนรูปเท่านั้น”

ผมไม่ได้ทำอะไรนอกเสียจากหยุดนิ่ง ด้วยความตกใจ และไม่อยากเผชิญหน้ากับคนที่จะต้องเรียนด้วยกันอีกหนึ่งปีเต็ม

ผมปรึกษาเลขานุการสถาบันฯ ที่กระเป๋าของผมหายไปว่าควรจะทำอย่างไรดี เขาตอบกลับมาว่าผมควรจะไปแจ้งให้หน่วยรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยให้ทราบ

ผมคิดว่าโอกาสที่ผมจะได้ของของผมกลับคืนมานั้นมีเพียงน้อยนิด แต่ก็ไปแจ้งให้เขาสักหน่อยก็ดี เผื่อโชคดีอาจจะได้ของกลับคืน

สามวันหลังสอบเสร็จ ผมเดินเข้าไปแจ้งความถึงเรื่องดังกล่าวกับหน่วยรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย พร้อมรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง แล้วก็ออกเดินทางข้ามฝั่งมาเมืองซานฟราซิสโกริมทะเลแปซิฟิก ทางตะวันตกในตอนเย็นในทันที

ทั้งนี้ก็เพราะต้องการจะมาถึงเมืองซานฟรานซิสโกให้ทันวันสุดท้ายของการแสดงนิทรรศการ “ราชอาณาจักรสยาม: ศิลปะภาคกลางของประเทศไทย พ.ศ. 1893 – 2343” (The Kingdom of Siam: The Art of Central Thailand, 1350-1800) ที่กำลังจัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย (Asian Art Museum) เขาจะแสดงถึงวันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2548 ซึ่งผมได้เดินทางถึงในกลางดึกคืนก่อนพอดิบพอดี

ผมตื่นแต่เช้าตรู่ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ชมพระมาลาทองคำ และศิลปะชิ้นอื่นๆ ที่เพิ่งรู้จากการค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต และนิตยสารสารคดีฉบับล่าสุดก่อนออกจากบ้านว่าเป็นข่าวเกรียวกราวกันที่เมืองไทยเมื่อสองเดือนก่อน

ทางพิพิธภัณฑ์ฯ ประกาศว่านิทรรศการครั้งนี้นับเป็นงานแสดงศิลปะครั้งสำคัญ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการนำศิลปะกรุงศรีอยุธยาจากพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ในประเทศไทย ยุโรป และอเมริกา รวมทั้งหมด 89 ชิ้น มาแสดงไว้ในที่เดียวกันเช่นนี้

หนึ่งใน 89 ชิ้นที่จัดแสดง ก็คือ พระมาลาทองคำ ที่เห็นแล้วงดงามเปล่งปลั่งสมคำเล่าลือ พิพิธภัณฑ์เอเซียยืมพระมาลาทองคำที่ตกเป็นข่าวนี้มาจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองฟิลาเดลเฟีย ซึ่งได้ประมูลซื้อมาในราคา 18,700 เหรียญสหรัฐฯ จากบริษัทขายของเก่าซอธบีย์ (Sotheby) เมื่อ 23 ปีก่อน ใน พ.ศ. 2525

ผมเดินชมนิทรรศการอยู่หลายรอบจนกระทั่งประตูปิดตอนห้าโมงเย็น ที่เป็นไฮไลต์ก็คือ ทัวร์ชมนิทรรศการเป็นภาษาไทยโดย ม.ล.ภัทราธร จิรประวัติ ซึ่งเป็นภัณฑารักษ์ร่วม (co-curator) นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้พูดคุยกับคุณป้าคุณอาข้าราชการจากกรมศิลปากรที่เดินทางมาตรวจสอบความเรียบร้อยของชิ้นงานศิลปะที่ฝ่ายไทยให้ยืมมาจัดแสดง ก่อนที่นิทรรศการจะย้ายไปแสดงต่อที่รัฐแมสซาชูเซตต์ในเดือนกรกฎาคม

ผมได้รับความรู้มหาศาลเหมือนเข้าห้องเรียนประวัติศาสตร์ใหม่ ม.ล.ภัทราธรฯ บรรยายประวัติความเป็นมาของศิลปะแต่ละชิ้น รวมทั้งเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเมื่อมีพิพิธภัณฑ์เอเชียได้อย่างเข้าใจง่าย และไม่น่าเบื่อ ทำเอาผมและเพื่อนที่ไม่เคยสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ตื่นเต้นตามไปด้วย

นอกจากพระมาลาทองคำ ที่จัดแสดงพร้อมทับทรวงทองคำ และข้อพระกรทองคำ (สองรายการหลังยืมมาจากสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ประเทศไทย) ที่ประทับใจเป็นพิเศษแล้ว ผมยังชอบใจกับตู้พระธรรมที่วาดลวดลายรูปลักษณ์ของชาวต่างชาติ (มีรูปวาดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และรูปของกษัตริย์อินเดียที่บานประตู) ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของอาณาจักรอยุธยากับต่างชาติ ม.ล.ภัทราธรฯ ให้ความรู้ว่า ราชอาณาจักรอยุธยาเคยเป็นศูนย์กลางทางการค้าขายที่ใหญ่โตในสมัยนั้น สินค้าจากจีน จากอินเดีย มารวมกันที่ท่าอยุธยาก่อนส่งผ่านต่อไปยังโลกตะวันตก

ม.ล.ภัทราธรฯ เล่าต่อไปว่า ในระหว่างเตรียมจัดนิทรรศการในครั้งนี้ ยังได้พบข้อมูลชิ้นสำคัญที่น่าสนใจ โดยเฉพาะลายจารึกบนหลังพระพุทธรูปปางลีลาที่เคยถูกฉาบปูนปิดติดผนังไว้เมื่อครั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ในเมืองไทย การเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปองค์นี้มาจัดแสดงทำให้ได้เห็นลายจำรึกดังกล่าว ซึ่งเขียนให้ข้อมูลไว้ว่าเจ้านายองค์ใดเป็นผู้สร้าง ครอบครัวไหนที่บริจาคทำบุญสร้างบ้าง และบริจาคเป็นจำนวนเงินเท่าไร ฯลฯ การค้นพบในครั้งนี้จึงเป็นจุดสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยนับต่อไปนี้

เมื่อทัวร์ของ ม.ล. เสร็จสิ้น ผมกลับไปดูพระมาลาทองคำอีกครั้งให้หนำใจ จนคนเฝ้านิทรรศการเข้ามาทักว่าหนูกลับมาอีกแล้วหรือ ผมบอกว่า พระมาลาทองคำชิ้นนี้เป็นข่าวใหญ่โตมากที่เมืองไทย เขาก็บอกว่าที่นี่ก็เป็นข่าวใหญ่โตเช่นกัน เขาคงเห็นว่าผมดูแล้วดูอีกด้วยสนใจ เดินวนไปเวียนมาอยู่หลายรอบ จึงมากระซิบบอกว่า นิทรรศการจะปิดแล้วอีก 15 นาที เขาจะอนุญาตให้ผมถ่ายรูปเก็บไว้ดูได้ แล้วจะทำเป็นหันหลังมองไม่เห็น

นอกจากข้อสันนิษฐานที่ว่าพระมาลาทองคำชื้นนี้มีรูปแบบศิลปะในยุคเดียวกับศิลปะอยุธยามาก คงไม่มีใครสามารถฟันธงตอบข้อสงสัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ว่า พระมาลาทองคำชิ้นนี้มาจากที่ใด มาจากกรุวัดราชบูรณะหรือไม่ เป็นของจริงหรือของทำขึ้นใหม่ หรือมาอยู่ในมือของพิพิธภัณฑ์เมืองฟิลาเดลเฟียได้อย่างไร โดยผ่านช่องทางไหน ฯลฯ

คำถามเหล่านี้น่าจะจุดประกาย และเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราคนไทยสนใจในประวัติศาสตร์ชาติ สนใจในเรื่องราวใกล้ตัว มีความรอบรู้ในเรื่องของประเทศชาติมากขึ้นได้บ้าง

คนไทยรุ่นหนุ่มสาวต้องรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น แนวคิดด้านการพัฒนาสมัยคนรุ่นปู่และรุ่นพ่อที่เน้นหนักในการสร้างฐานที่มั่นคงด้าน “ปริมาณ” อันเหมาะสม กำลังผ่านเปลี่ยนไปสู่ความต้องการด้าน “คุณภาพ” ที่จะทำให้ฐานที่คนรุ่นก่อนได้สร้างไว้มีความมั่นคงและแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อผมเป็นเด็ก พ่อซึ่งเป็นนักประชากรศาสตร์มักเล่าว่า ปัญหาประชากรเมื่อก่อนนั้นอยู่ที่ว่าประชากรนั้นเพิ่มเร็วจนพัฒนาไม่ทัน อันนำไปสู่ความท้าทายว่าเราจะควบคุมประชากรให้มีอัตราเพิ่มที่ช้าลงได้อย่างไร เพราะสิ่งนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อปากท้อง และชีวิตความเป็นอยูของประชาชนโดยส่วนรวม

พ่อยังบอกอีกว่าในระยะสิบปีที่ผ่านมานี้ อัตราเพิ่มของประชากรไทยลดต่ำลงอย่างมาก จนเหลือไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ทำให้จำนวนประชากรค่อนข้างจะคงตัวอยู่ที่ประมาณ 62-63 ล้านคน

“ลูกมากจะยากจน” คำขวัญของคุณพ่อคุณแม่รุ่นก่อนท่องจนขึ้นใจจึงล้าสมัยไปโดยปริยาย

สิ่งท้าทายของประเทศสมัยพ่อเป็นหนุ่มเฟี้ยวจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาในปัจจุบันเมื่อลูกเป็นหนุ่มจ๊าบ ซึ่งต้องพบความท้าทายใหม่ที่ว่า เราจะทำอย่างไร ที่จะพัฒนาขีดความสามารถของตัวเองให้เกิดประสิทธิผลต่อสังคมโดยรวมให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ในขณะที่จำนวนประชากรซึ่งเราทุกคนล้วนเป็นหนึ่งนั้นแทบจะไม่การเปลี่ยนแปลง

หากพระมาลาทองคำเกิดเป็นของจริงที่ถูกลักลอบนำออกไปจากประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นกรุไหนก็ตามแล้วล่ะก็ เราคงโทษใครไม่ได้ ดังที่ผมได้ยินจากคุณป้าใจดีจากกรมศิลปากรที่ได้พบกันว่า “เป็นความผิดของเรา เราขายไปเอง”

สำหรับผมแล้ว คำพูดที่ว่า “รู้เท่าทัน” และ “รู้เขา รู้เรา” ควรจะเป็นวรรคทองแห่งยุคสมัย

ผมขออนุญาตพูดความคิดตัวเองออกมาดังๆ เพราะเมื่อเห็นของ (ที่น่าจะเป็น) ของเราไปอยู่ในมือคนอื่นแล้ว มันกระอักกระอ่วนใจ พูดไม่ออกบอกไม่ถูกจริงๆ

กำลังโหลดความคิดเห็น