xs
xsm
sm
md
lg

เด็กในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันหน้า

เผยแพร่:   โดย: อาทิตย์ ประสาทกุล

ผมรู้สึกว่าได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

อายุที่เพิ่มขึ้นทุกรอบ 12 เดือนนั้นทำให้ชีวิตของเราทุกคนห่างไกล “ความเป็นเด็ก” และเขยิบเข้าใกล้ “ความเป็นผู้ใหญ่” ขึ้นเรื่อยๆ

พวกเราเคยนับกันไหมว่าในจังหวะที่เราเติบโตขึ้นนั้น มักมีคนทักว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกันบ่อยแค่ไหน และมีใครบ้างไหมที่เอ่ยปากว่าเราดูเป็นเด็กลง ผมเชื่อแน่ว่าคำทักทายอย่างแรกมักมีมากกว่าอย่างหลังที่มักเกิดขึ้นไม่บ่อย นอกจากผู้พูดตั้งใจจะชมว่าหน้าตายังดูเด็ก สามารถรักษาผิวพรรณได้ดี แต่จะมีใครบ้างไหมบอกว่าเรามีวัยวุฒิพร้อมทั้งคุณวุฒิที่เป็นเด็กลง เพราะนี่ไม่ใช่คำชม แต่จะเป็นสิ่งที่ผู้นั้นจะต้องกลับไปพัฒนาตัวเองใหม่เป็นแน่

ในมิติทางร่างกาย ทุกคนเคยเป็นทารก และเป็นเด็กกำปั้นเท่าฝาหอย รวมทั้งเป็นเด็กน้อยมีร่างกายค่อยเติบโตขึ้น เสียงแตกหนุ่มและแตกสาว

ในมิติทางสังคม เด็กทุกคนก็ได้รับและเริ่มสั่งสมประสบการณ์และการกล่อมเกลาจากสถาบันต่างๆ ของสังคมเพิ่มขึ้นมากขึ้นทุกเวลาทุกจังหวะก้าวของชีวิต

ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย รวมทั้งประสบการณ์ชีวิตที่มากขึ้นนี่เอง ที่เป็นความเข้าใจทั่วกันว่าเด็กทุกคนจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ในขณะเดียวกัน เด็กน้อยที่เติบโตขึ้นก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน

“เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า” คำขวัญวันเด็กหลายสมัยที่คนรุ่นราวคราวเดียวกันสามารถจำได้แม่น แท้จริงแล้วเป็นเรื่องธรรมชาติ เหมือนพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ตกทางทิศตะวันตก หรือน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำอย่างใดอย่างนั้น

ในช่วงอายุกลาง 20 ขวบเช่นนี้ ผมจึงรู้สึกเสมอๆ ว่าได้ก้าวล้ำเข้ามาสู่ความเป็นผู้ใหญ่แล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้น เวลาจะทำอะไรจึงมักมี “ความเป็นผู้ใหญ่” มาเป็นแนวทางของการกระทำและความคิดอยู่เสมอๆ

เรื่องเหล่านี้เป็นธรรมชาติ ที่ชีวิตประกอบไปด้วยพัฒนาการ

ในงานวันเลี้ยงรุ่นเพื่อนโรงเรียนเก่าที่เราได้เคยกินนอนมาด้วยกันถึง 10 ปีเต็มเมื่อปีกลาย ผมนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเมื่อได้เห็นพัฒนาการของเพื่อน รวมทั้งตัวเอง พวกเราในตอนนี้ช่างแตกต่างกับเมื่อราว 15 ปีก่อน ที่เราทุกคนยังอยู่ในช่วง “นกเขาไม่มีปีก” กัน หลายคนงอแงร้องไห้ขี้มูกโป่งอยากกลับบ้าน หลายคนยังเล่นซนพิเรนทร์ตามภาษาเด็ก หลายคนไม่ใส่กางเกงในไปเรียนหนังสือ และหลายคนยังผูกเชือกรองเท้านักเรียน 5 รูที่โรงเรียนบังคับให้ใส่ไม่คล่อง

ในวันนั้นที่เราพบกัน เพื่อนพูดจาเป็นการเป็นงานมากขึ้น หลายคนแต่งตัวภูมิฐานผูกเนกไทเพราะมาจากที่ทำงาน แถมยังได้ข่าว (ลือ) ว่าเพื่อนคนหนึ่งแต่งงานมีลูกเป็นที่เรียบร้อย

วันนั้น แม้เราจะหยอกล้อเล่นหัวกันตามประสาเด็กไม่ผิดกับเมื่อครั้งยังกินนอนกันอยู่ที่โรงเรียน แต่ผมก็เห็นได้ชัดว่าพวกเราได้เติบโตกันเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากไม่เรียนต่อ เพื่อนหลายคนก็มีงานทำมีเงินเดือนเป็นของตัวเอง และมีบุคคลิกลักษณะ ทั้งการพูดจา และความคิดแตกต่างไปจากเมื่อเรายังเป็นเด็ก

ผมตื่นเต้นที่มีอายุอานามมากขึ้น หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ได้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เพราะผู้ใหญ่สามารถทำอะไรได้มากขึ้น และมีอิสระตามความต้องการของตัวเอง เมื่ออยากซื้ออะไร อยากทำอะไรก็ไม่ต้องขอให้ผู้ใหญ่พาไปทำ และจ่ายเงินให้ อีกทั้งเมื่อจะพูดจาปราศรัยกับใคร ก็รู้สึกว่ามีคนฟังมากขึ้น

แต่เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

นี่เป็นครั้งแรกของผมในรอบสิบกว่าปี ที่ได้ไปเที่ยวกับพ่อ และพี่สาวพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้

ผมจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายเราไปเที่ยวด้วยกันเมื่อไร และที่ไหน สมัยก่อนเมื่อผมกลับมาจากโรงเรียนประจำ พ่อและพี่สาวจะพาผมไปเดินเล่นที่ตลาดนัดสวนจตุจักร และไปกินข้าวด้วยกัน แต่ช่วงหลังๆ การไปพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้มักไม่เกิดขึ้นบ่อย พี่สาวที่แก่กว่าผม 6 ปีก็เริ่มไปเที่ยวกับเพื่อนมากขึ้นตามประสาของวัยรุ่น และวัยเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนผมก็สนุกกับการไปเที่ยวกับเพื่อนเช่นกัน

คราวนี้ช่างประจวบเหมาะเหลือเกิน ที่พ่อได้มาประชุมที่อเมริกา และเมื่อประชุมเสร็จก็มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์สองวันที่ทำให้มีโอกาสบินมาเยี่ยมผมที่เมืองนิวยอร์ก ส่วนพี่สาวที่ทำงานอยู่ที่ชิคาโกก็สามารถลางานบินมาสมทบพบเจอกันได้

สามวันที่เราพบกัน จึงเป็นสามวันที่สุขสรรค์

เราไม่ได้อยู่เมืองนิวยอร์กกัน แต่แผนเที่ยวของเรามุ่งหน้าไปยังเมืองอิธะกะ (Ithaca) ทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ก ซึ่งห่างจากตัวเมืองนิวยอร์กไป 4 ชั่วโมงโดยรถยนต์ เมืองอิธะกะนี้เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยคอร์แนล (Cornell University) ที่พ่อเคยได้ทุนมาเรียนอยู่ถึง 5 ปีเต็ม ในช่วงอายุไล่เลี่ยกับผมตอนนี้

การเดินทางครั้งนี้เป็นการย้อนรอยประวัติศาสตร์ของพ่อ และพี่สาว ที่มีผมเป็นผู้ร่วมประสบการณ์

หลังจากปีแรกที่พ่อมาเรียนและดูที่ทางได้ 1 ปี แม่ของผมก็บินตามมาสมทบ หลังจากนั้นอีกเกือบสองปี แม่ตั้งท้อง และคลอดพี่สาวของผมที่เมืองอิธะกะ

ระหว่างขาไป อากาศไม่ค่อยดี ฝนตกพรำและท้องฟ้ามืดครึ้มตลอดทาง ช่วงแรกพี่สาวเป็นคนขับออกจากเมือง พ่อทำหน้าที่ดูทางด้านหน้า ผมนั่งอยู่ด้านหลัง เราคุยกันตั้งแต่เริ่มออกจากบ้าน พ่อเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง ผมนั่งกลางเบาะหลังชะโงกหน้าเข้าร่วมวงสนทนาเหมือนตอนเด็กไม่มีผิดเพี้ยน นอกจากนี้แล้ว พ่อยังมีแบบฝึกหัดให้เราคิดคำนวณจำนวนไมล์เป็นกิโลเมตร ที่ทั้งสนุกและปวดหัว เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เรานั่งรถด้วยกัน พ่อก็มีคำถามมาให้ชวนคิดเสมอ ไม่ว่าจะเป็นแข่งกันบอกชื่อถนนที่มีชื่อเป็นจังหวัดในกรุงเทพฯ หรือไม่ก็ฝึกหัดสะกดคำเช่น สามารถ ให้เขียนว่า “สา-มา-รถ” และ ปรารถนา ให้เขียนว่า “ปรา-รถ-นา” ซึ่งหากอ่านแล้วจะให้เสียงแปลกไม่คุ้นหู พอเป็นที่ครื้นเครงได้ในวัยที่ผมเป็นเด็ก แต่ก็ยังจำแม่นจนไม่เคยสะกดสองคำนี้ผิด

พี่สาวขับไปได้ครึ่งทาง ผมสลับมานั่งเป็นคนขับด้านหน้า พ่อยังไม่หยุดคุย เมื่อเริ่มขับเข้าใกล้เมืองอิธะกะ พ่อเริ่มบทสนทนาด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า เมื่อ 30 กว่าปีก่อนที่พ่อมาเรียนนั้น การมาเรียนที่นี่นั้นไม่ง่าย ต้องต่อเครื่องบินหลายเที่ยว พ่อต่อเครื่องบินเล็กจากสนามบินเจเอฟเคในเมืองนิวยอร์กมาลงที่สนามบินอิธะกะ แต่เมื่อแม่มา พ่อขับรถไปรับแม่ที่วอชิงตันดีซี

พ่อเล่าต่อว่า การเดินทางมาเมืองอิธะกะของพ่อ แม่ และพี่สาวของผมนั้นมากันคนละวิธีน่าประหลาดใจยิ่ง พ่อมาเมืองอิธะกะโดยทางเครื่องบิน แม่มาโดยทางรถ พ่อถามผมว่ารู้ไหมพี่กุ๋ยพี่สาวของผมนั้นมาทางไหน ผมส่ายหน้าเพราะรู้ว่าพ่อมีคำตอบอยู่แล้ว

พ่อชูนิ้วชี้ขึ้นไปข้างบน แล้วหัวเราะร่าให้กับมุกที่พ่อคิดได้ ผมเรียกที่สาวที่นั่งงัวเงียอยู่เบาะหลัง ให้มาฟังว่าเรื่องจริงน่าชวนหัวที่พ่อเพิ่งเล่า

ไม่นานนัก เราก็เข้ามายังถนนสองเลนที่ลัดเลาะไปตามชนบทของเมืองอิธะกะ และในที่สุดก็เข้าเขตเมือง พ่อพยายามรื้อฟื้นความจำเมื่อครั้งใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เมื่อ 30 ปีก่อน ซึ่งพ่อไม่เคยกลับมาอีกเลย ผมและพี่สาวตื่นเต้นกับลักษณะบ้านเรือนดูโบราณของชนบทอเมริกันฝั่งตะวันออกสองข้างทาง เมื่อมาถึงเมือง พ่อพาขึ้นไปดูมหาวิทยาลัยยคอร์แนลที่พ่อเคยเรียนอยู่ แคมปัสของมหาวิทยาลัยอยู่บนยอดเขา มองออกไปไกลเห็นทะเลสาบกว้างใหญ่

พ่อบอกว่ามหาวิทยาลัยคอร์แนลแห่งนี้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีแคมปัสสวยงามที่สุดของอเมริกา

พ่อพาเราเดินชมเมืองด้วยความตื่นเต้น ดูเหมือนว่าเวลาหนึ่งในสิบเอ็ดส่วนของชีวิตพ่อได้หวนกลับมาอีกครั้ง พ่อพาไปดูห้องสมุดที่พ่อคลุกตัวอยู่ทั้งวัน พาไปดู “ตึกสนิม” ที่มีโครงสร้างภายนอกเป็นเหล็กที่ขึ้นสนิม พร้อมพาไปสองรูปปั้นในมหาวิทยาลัย ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกัน เด็กคอร์แนลเขามีความคิดสนุก เอาสีวาดเป็นรอยเท้าบนทางเดินระหว่างรูปปั้นสองรูปนี้ คล้ายแต่ละรูปปั้นเดินมาจับมือกันได้

นอกจากนี้พ่อยังเล่าเรื่องที่เมื่อสองสามปีก่อน ที่อยู่ดีๆ มีผลฟักทองขึ้นไปอยู่ที่ปลายยอดที่อยู่สูงขึ้นไปของหอนาฬิกาประจำมหาวิทยาลัย ซึ่งตอนนี้ยังคิดกันอยู่ว่าผลฟักทองขึ้นไปอยู่บนนั้นได้อย่างไร บ้างเดาไปว่านักเรียนมือดีคงเอาเฮลิคอปเตอร์บังคับบินขึ้นเอาผลฟักทองไปแขวนไว้ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่คนคอร์แนลเขาพูดกันไม่เบื่อ

ช่างเหลือเชื่อเหลือเกิน ที่ขณะพ่อเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง พร้อมกับชี้ให้มองขึ้นไปดูที่ปลายยอดของหอนาฬิกาดังกล่าว ผมสังเกตเห็นมีอะไรเป็นผลกลมสีเงินแขวนไว้อยู่ที่ปลายยอด เมื่อมองลงมารอบๆ ก็เห็นหน่วยรักษาความปลอดภัยของคอร์แนลเอาริบบิ้นเหลืองมากันไว้รอบหอนาฬิกา คนที่ผ่านไปผ่านมาก็ชะเง้อมองขึ้นไปบนยอดกันสลอน ทีแรกพ่อคิดว่าอะไรกันเรื่องฟักทองบนยอดหอนาฬิกานี้เกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว ยังจะมาตื่นเต้นอะไรกันอีก พอไปถามเจ้าหน้าที่ฯ ที่กั้นพื้นที่อยู่ ก็ได้ความมีคนมือดีเอาอะไรไปแขวนไว้บนยอดอีกแล้ว

พอเดินชมมหาวิทยาลัยเสร็จ พ่อก็พาไปดูอพาร์ตเมนต์ที่พ่อกับแม่และพี่สาวเคยอยู่ พ่อจำได้แม่นว่าเคยอยู่ห้องไหนที่ตึกไหน อีกยังชี้ให้พี่สาวดูต้นแอปเปิ้ลแคระต้นใหญ่ที่พี่สาวเคยเล่นอยู่แถวๆ นั้น สามปีผ่านไป อพาร์ตเมนต์ทั้งสองห้องที่พ่อแม่เคยอยู่ ยังตั้งอยู่ที่เดิม เพียงแต่มีการทาสีใหม่ ให้เบอร์ห้องใหม่ และต่อเติมเพิ่มจากสองชั้นเป็นสามชั้น

วันรุ่งขึ้น พ่อพาไปดูโรงพยาบาลที่พี่สาวเกิดซึ่งอยู่ห่างออกไปราวครึ่งชั่วโมงจากมหาวิทยาลัย ขณะนี้โรงพยาบาลเปลี่ยนไปจนพ่อแทบจำไม่ได้ นอกจากตึกจะมีรูปร่างเปลี่ยนไปแล้ว ชื่อของโรงพยาบาลก็เปลี่ยนไปด้วย

การเดินทางมาเมืองอิธะกะพร้อมกันในครั้งนี้ พ่อเล่าเรื่องเก่าให้ฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และดูมีความสุขคล้ายย้อนเวลากลับเป็นหนุ่มใหม่ ส่วนพี่กุ๋ยพี่สาวของผมก็ดูตื่นเต้นอยู่เงียบๆ กับการที่ได้มาบ้านเกิดที่ไม่เคยอยู่ในความทรงจำ

ส่วนผมรู้สึกเบิกบานที่ได้ความรู้สึกคล้ายกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

ตลอดเวลาที่พบกัน ผมยังทะเลาะกับพี่สาวบ้างในเรื่องไม่เป็นเรื่องเหมือนสมัยก่อน พี่สาวยังเห็นว่าผมเป็นเด็ก ไม่ยอมให้ผมขับรถ จนเมื่อตัวเองง่วงนอนจนเต็มแก่ถึงขนาดที่กาแฟก็เอาไม่อยู่ ส่วนพ่อก็กลับไปเป็นพ่อที่เล่าเรื่องทายปัญหาให้พวกเราขบคิดกับเหมือนก่อน เราได้กอดคอถ่ายรูปกันด้วยกล้องปัญญาอ่อนที่ใช้ฟิล์มม้วน แทนที่จะเป็นดิจิตอล

ผมเล่าเรื่องตัวเองมายืดยาว ก็เพราะอยากจะชักชวนให้ทุกคนกลับไปเป็นเด็กกันอีกครั้ง

จริงอยู่เรามักจะรู้สึกเป็นเด็กเมื่ออยู่กับเพื่อนเก่า แต่ก็มักจะลืมที่บ้านบ่อยๆ เหมือนกัน

นึกออกไหมว่าได้ไปกินข้าวกับที่บ้านครั้งสุดท้ายเมื่อไร

ผมกลับไปเป็นเด็กในคราวนี้ รู้สึกกลับมาเป็นผู้ใหญ่กว่าแต่ก่อนมากจริงๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น