เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมหลังออกกำลังเสร็จ ยินเสียงเพลงจากวิทยุของคณะสุนทราภรณ์ ที่คุณเลิศ ประสมทรัพย์ศิลปินที่น่ารักของคณะสุนทราภรณ์ ท่านร้องเอาไว้ ขึ้นต้นว่า
...... ทุ่งสีทอง.......มองสวยวิไล
แผ่นดินทองเป็นของไทย..ทำได้เป็นของเรา
เสร็จจากงานการทั้งผอง......
ลูกทุ่งเสียงทองมิซึมเศร้า....ร้องเพลงกันเถอะเรา
เหมือนดัง....นกเขาขันคู....
จู้ฮุกกรู......จู้ฮุกกรู.......จู้ฮุกกรู....
ฟังแล้วทำให้ผมต้องเดินออกไป ตรงระเบียงเล็กๆข้างห้องนอน ที่ยื่นออกไประดับชายคา และผมเอากระถางต้นไผ่วางไว้ข้างนอก มีนกเขาตัวเล็กๆคู่หนึ่ง มักจะมามาทำรังอยู่ตรงง่ามไม้ ครั้นพวกเขาออกลูกเรียบร้อย สอนลูกจนบินได้ ก็โบยบินจากไป ทิ้งเปลือกไข่เอาไว้ให้ดูเป็นอนุสรณ์ พอได้เวลาจะวางไข่ก็กลับมา รุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นเวลานานหลายปีแล้วจนมีความรู้สึกเหมือนเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ถ้าพูดหรือเขียนคำว่า จู้ฮุกกรู.... หรือ…จุ๊กกรูคนไทยเราจะรู้ทันทีว่า กำลังพูดถึงนกเขา ไม่ได้กล่าวถึงนกอื่น เพราะศิลปินของเรา ฟังเสียงนกเขาเป็นอย่างนี้ เหมือนกับ “อ้อยอี๋เอียง...อ้อยอี๋เอียง” จะเป็นนกอื่นไปไม่ได้ นอกจาก “นกเอี้ยง”ที่ชอบเลี้ยงควายเฒ่า นั่นเอง
มีอีกเพลงหนึ่ง ชื่อ “นกเขาคูรัก” ฟังทีไรมีความรู้สึกดีจริงๆ เพลงนี้เป็นคุณ
เพ็ญศรี พุ่มชูศรี กับ คุณชรินทร์ นันทนาคร ขับร้องคู่กัน อัดเสียงครั้งแรกตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๘ ที่ขึ้นต้นว่า “นั่นแนะนกเขาคู จุ๊ก..จุ๊กกรู นกมันเฝ้าคูหาชู้มัน...”
นกเขาคู หรือภาษาบาลีว่านกมัยหกะ เจ้าวิหคนี้ส่งเสียงร้อง ที่ร้อง จุ๊ก...กรู หรือ จุ๊ก...กู บางคนฟังว่านกเขาทันร้องเป็นเสียง “ของกู...ของกู” พระท่านเลยนำไปสอนเป็นปริศนาธรรม ซึ่งท่านอาจารย์ พุทธทาส ชอบเทศน์สั่งสอนว่า คนเรามันคิดถึงแต่ตัวกู-ของกูหรือพวกเห็นแก่ตัว ที่คิดถึงประโยชน์ส่วนตน และพวกพ้องเป็นที่ตั้ง มีให้เห็นดาษดื่นในสังคมทั้งไทย-เทศ
การเลี้ยงนกนั้น หากท่านผู้อ่านได้ติดตาม “กาแฟขม...ขนมหวาน”มาโดยตลอด คงทราบว่า ผมได้เคยพูดถึงลักษณะของเรือนไทย ตั้งแต่พ่อแม่เริ่มตั้งหลักฐาน มีบ้านหลังเดียว พอมีลูกก็ต่อบ้านออกไปสองด้าน มีชานบ้านเอาไว้เลี้ยงพระ พอมีฐานะ ตรงบันใดทางขึ้นบ้าน มีหอทนายคือลูกน้องหรือเจ้าหน้าที่ (หากเป็นขุนนางหรือคนมีฐานะ) คอยรับเรื่องราวที่จะมาถึงท่านเจ้าของบ้าน คนที่ทำหน้าที่นี้เราเรียกว่า ทนายหน้าหอ ฝั่งตรงข้ามกับหอทนาย ก็จะเป็น “หอนก”
ใครอยากเห็นทั้งหอทนายและหอนก ลองไปดู เรือนขุนช้างที่สุพรรณบุรี หรืออยากดูฝีมือช่างไทยสูงเลิศก็ต้องไปดูที่ พระตำหนักทับขวัญ พระราชวังสนามจันทร์ เป็นเรือนไทยที่สมบูรณ์แบบ
พระตำหนักทับขวัญประกอบด้วย กลุ่มเรือน ๘ หลัง ได้แก่ เรือนใหญ่ ๔ หลัง เรือนเล็ก ๔ หลัง ซึ่งได้สร้างให้หันหน้าเข้าหากัน ๔ ทิศ เรือนหลังใหญ่เป็นหอนอน ๒ หอ ( ห้องบรรทมเป็นหอนอนที่อยู่ทางทิศใต้ ) อีก ๒ หลังเป็นเรือนโถง และเรือนครัวซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน ส่วนเรือนเล็ก ๔ หลังนั้นตั้งอยู่ตรงมุม ๔ มุมและ ๑ หลัง ได้แก่หอนก ๒ หลัง เรือนคนใช้ และเรือนเก็บของ เรือนทุกหลังมีชานเรือนเชื่อมกันโดยตลอด บริเวณกลางชานเรือนปลูกต้นจันไว้ให้ร่มเงา
หากท่านพาลูกหลานไปเที่ยวอยุธยา อยากดูหอนกก็มีให้ชมที่ คุ้มขุนแผน ซึ่งเดิมเป็นจวน สมุหเทศาภิบาล มณฑลกรุงเก่า พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ ทรงสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ที่เกาะลอยบริเวณสะพานเกลือซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับที่ว่าการมณฑล ต่อมา นายปรีดี พนมยงค์ ได้ย้ายจวนหลังนี้มาสร้างในบริเวณคุกนครบาลเก่าของพระนคร
ศรีอยุธยา ในราวปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ต่อมาได้สร้างบ้านไทยเพิ่มขึ้นอีก และให้ชื่อเรือนไทยนี้ว่า “คุ้มขุนแผน” เพราะเชื่อกันว่าขุนแผนแสนสะท้าน ตัวเอกในวรรณคดีขุนช้าง-ขุนแผน เคยติดคุกในบริเวณนี้
เขาลือกันว่า ที่นายปรีดีฯ ย้ายเรือนมาตั้งไว้ที่คุกเดิม ด้วยกลัวว่าตัวเองจะต้องติดคุกเพราะการเมืองเป็นเหตุ เลยชิงเข้าไปนอนในคุกเสียก่อน เป็นการเอาเคล็ด เมื่อเจ้าตัวเสื่อมอำนาจลง ก็หนีไปต่างประเทศได้ทันท่วงที
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...เพราะท่านไม่ต้องติดคุกจริงๆด้วย !
คุ้มขุนแผนนี้ ตรงชานเรือนมุมบันไดด้านหน้ามีร้านต้นไม้หรือ “หอนก”ปลูกยื่นออกไปจากตัวเรือนเล็กน้อย คนสมัยก่อนใช้สำหรับเป็นที่ปลูกไม้ดอก หรือแขวนกรงนกต่างๆ เช่น นกเขา เป็นต้น
การเลี้ยงนกเขานั้น ยังเป็นที่นิยมในหมู่ชาวไทยมุสลิม โดยเฉพาะทางภาคใต้ของเรา มีฝ่อไปบ้างตอนเป็นไข้หวัดนกมาเป็นปัญหา ซึ่งทำให้ผู้คนแหยงไปเหมือนกัน แต่นกเขาที่เลี้ยงกันนั้นมูลค่าสูง เพราะมีตำนานเก่าแก่ว่า นกบางชนิดเลี้ยงแล้วเป็นมงคล ให้คุณและโชคลาภแก่ผู้เลี้ยง ตำราไทยเรื่องลักษณะนกเขานี้ก็มีอยู่
เมื่อทางการมีโครงการท่อก๊าซ ไทยมาเลย์ ชาวอำเภอจะนะ ก็มีวิตกกังวลว่า หากมีโครงการนี้เกิดขึ้น จะมีผลต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้นกเขาที่เลี้ยงไว้ไม่ขัน คุณภาพของนกตกลง ที่เคยเป็นลำดับต้นๆของภูมิภาคนี้ ก็จะกลายเป็นรองเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย และอินโดนีเซียไป
ตรงนี้ก็น่าเห็นใจมาก เพราะหากมีมลภาวะจริง นกเขากลายเป็นโรคคอตีบคอตัน ขันไม่ออกหรือขันได้แต่เสียงแหบพร่า หมดราคา รายได้ของชาวบ้านก็หดหายไป ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเจียดเวลาเข้าร่วมกิจกรรมต่อต้านโครงการนี้ เป็นผมก็คงยอมไม่ได้เหมือนกัน ปีชาติไม่เคยเหลียวและชาวบ้าน มาถึงก็เอาแต่ประโยชน์ลูกเดียว อาชีพการเลี้ยงนกเขาจะล่มสลายลงหรือไม่ รัฐไม่สนใจ
นี่เป็น จุดอ่อนของโครงการของรัฐ แทบจะทุกรัฐบาล คือไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบก่อน ต่างกับโครงการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เจ้าหน้าที่ของโครงการไปคลุกคลีกับชาวบ้านเป็นเวลาพอสมควร จนคนในท้องถิ่นเห็นพ้องด้วย แล้วจึงเริ่มงานกัน ซึ่งก็ผ่านไปด้วยดีทุกโครงการ เพราะชาวบ้านเห็นด้วย เนื่องจากพวกเขาทราบประโยชน์ที่จะได้รับ
โครงการท่อก๊าซ ฝ่ายรัฐโดย ก.ฟ.ผ. เพิ่งตื่นตัวกัน ก็ต่อเมื่อชาวบ้านเริ่มรวมตัวคัดค้านแล้ว ทั้งๆที่เรื่องนกเขาไม่ขันนี้ไม่ยากเลย หากให้ความรู้กับประชาชนได้อย่างถูกต้อง ได้จังหวะจะโคน มันก็ไม่มีกรณีให้ชาวบ้านลุกขึ้นมาคัดง้างอะไรกับทางการ เพราะบ้านเรานำก๊าซธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ โดยผ่านระบบขนส่งทางท่อมาแล้วสองทศวรรษกว่าแล้ว ก็ไม่เคยมีปัญหาร้ายแรง ทั้งๆที่ประเทศเรามีโรงแยกก๊าซถึง ๔ แห่ง เริ่มดำเนินการเมื่อปี ๒๕๒๘ ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี
นายตำรวจที่รับราชการบอกว่า อำเภอขนอม นครศรีธรรมราช ที่มีโรงแยกก๊าซใหญ่ ตั้งอยู่ นกเขาที่ชาวบ้านเลี้ยงอยู่แถวนั้น มันก็ยังโก่งคอขันดี ไม่เคยหยุดร้อง จู้ฮุกกรู......จู้ ฮุกกรู.......จู้ฮุกกรู อย่างที่เข้าใจกัน ส่วนจะขัน เสียงใหญ่ กลางเล็ก เสียงเพราะหรือไม่นั้น แล้วแต่สายพันธ์และการเลี้ยงดูฟูมฟักนั้นดีเพียงไร นี่ก็ฟังเขามา เลยนำมาถ่ายทอดกันอีกที
หวังใจว่า พี่น้องทางอำเภอจะนะ คงจะไม่ขัดขวางการนำก๊าซที่มีอยู่จะขึ้นมาใช้สอย ทดแทนการที่ต้องซื้อน้ำมันราคาแพงกัน และให้ประเทศของเรามีทางเลือกมากขึ้น การไฟฟ้าก็อย่ารอช้า ต้องเร่งเสริมความเข้าใจกันในเรื่องนี้กันให้หนัก ให้ประชาชนเขาได้อุ่นใจกัน
ทางภาคอีสานนั้น ผิดกับทางใต้ เพราะชาวบ้านแถบนั้น โดยเฉพาทางจังหวัดขอนแก่น นอกจากจะเลี้ยงนกไว้ดูเล่นแล้ว ยังนิยมบริโภคนกเขาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการ ลาบ ทอด และปิ้ง ไม่ว่าผู้ใหญ่ ลูกเด็กเล็กแดง กินกันอร่อยทุกเพศทุกวัย การซื้อขายต้องเข้าไปในหมู่บ้าน หรือตอนเทศกาลที่ทางจังหวัดเขาจัดขึ้น นอกจากจะมีทั้งนกเขาที่ปรุงเป็นอาหารสำเร็จแล้ว ยังมีนกเขาเป็นที่ซื้อไปเลี้ยงหรือไปฟังเสียงกันให้เพลิดเพลิน หรือไปเป็นนกต่อ นอกจากนั้นก็ยังมีนกสดที่ทำแล้ว พร้อมปรุงเป็นอาหารให้ซื้อหากัน
นกเขาที่ขอนแก่นนั้น หากดูกันให้ดีๆ จะเห็นได้ว่า มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจกับชุมชนไม่น้อยกว่าทางใต้เลยทีเดียว
เรื่องนกเขาไม่ขันของชาวจะนะ จังหวัดสงขลานั้น แม้จะเป็นเรื่องสำคัญ แต่เรื่อง นกเขา ที่มีความหมายถึงอวัยวะเพศชาย แต่ไม่ทำหน้าที่โดยไม่ขันแข็ง เพราะเหตุว่ามันเสื่อมสมรรถภาพลงไป
ดูจะเป็น เรื่องใหญ่ กว่านั้นมากนัก !
ผมไม่ทราบว่า ทำไมถึงคนไทยเรียกอวัยวะเพศชายว่า “นกเขา” แต่เกิดมารู้ความ พ่อก็สอนให้เรียกอย่างนี้แล้ว มีบางคนเขาว่า อาจสืบมาจาก “ยาดองตรานกเขาคู่” ของนายนรินทร์ (กลึง) ในสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งคนไทยตอนนั้นไม่ทราบว่าตัวยาเข้าสุราด้วย กินแล้วคึกคักซู่ซ่า พระสงฆ์องค์เจ้าซื้อไปฉัน เพราะคิดว่าเป็นโอสถ จนคณะสงฆ์ต้องสั่งห้ามพระสงฆ์ฉันยาดอง เรื่องของนายนรินทร์ (กลึง) นี้น่าสนใจ จะนำมาคุยกันต่อไป
เวลาเด็กผู้ชายโตขึ้น พออายุเข้าสิบสองสิบสาม เริ่มมีปกปุยปรากฏรอบนกเขาตามธรรมชาติ ผู้ใหญ่มักถามว่า
“นกเขามีปีก...หรือยังล่ะลูก !?”
อันมีความหมายว่า โลมาอ่อนที่แสดงความเป็นหนุ่มขึ้นหรือยัง ?
ตอนเป็นนักเรียนวชิราวุธนั้น เด็กชั้น ป.๓-ป.๖. จะอยู่คนละฝั่งโรงเรียนกับเด็กชั้นสูงกว่า ซึ่งเราเรียกว่า คณะเด็กเล็ก มีคุณครูผู้หญิงควบคุมดูแล ตอนอาบน้ำก็อาบครั้งละ ๒๐ คน เปลือยกายอาบน้ำรวมกัน ถ้าเด็กคนไหนเกิดโตเกินวัย นกเขามีปีกเร็ว คุณครูก็จะให้นุ่งผ้าขาวม้าตอนอาบน้ำ หรือไม่ก็ส่งขึ้นคณะเด็กโตไปเลย
แม้คำว่า ‘นกเขา’ จะใช้กันแพร่หลายอย่างนั้น น่าแปลกที่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตฯเล่มใหม่ ก็ไม่ได้ให้คำแปลไว้ แต่ผู้คนรู้จักกันกว้างขวาง และสื่อสารมวลชนก็ใช้คำนี้กันจนเป็นที่ปกติธรรมดา ก็น่าประหลาดเหมือนกันที่ไม่มีบรรจุในพจนานุกรมฯ นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร แม้ทางการไม่ระบุเอาไว้ แต่ชาวบ้านเขาเข้าใจตรงกัน ก็ใช้ได้
เรื่องราวของนกเขาที่ปรากฏตามสื่อ ไม่ใช่แค่ปัญหาของชาวจะนะ แต่เป็นการที่นกเขาที่มีความหมายถึงของสงวนเพศชาย ไม่ร้องจุ๊กกรู จุ๊กกรู นั่นแหละครับ
เป็นปัญหาแสนยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เฉพาะเมืองไทย แต่เป็นปัญหาหนัก ของชาวโลกเพศชายเลยจริงจริงๆ
หากท่านผู้อ่านลองสังเกตให้ดี ปัญหาเรื่อง “นกเขาไม่ขัน” นั้น เป็นหัวข้อสำคัญและปรากฏเป็นข่าวให้เห็นอยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าหนังสือพิมพ์ เช่น ข่าวจากกระทรวงสาธารณสุขเขาห่วงใยประชาชน ได้แถลงเร็วๆนี้ว่า
สธ.เผยตัวเลข “นกเขาไม่ขัน” หนุ่มมาเลเซีย ครองแชมป์มากที่สุดในโลก ส่วนชายไทยขี้อายไม่กล้าเผยความจริง พบแค่ ๓๗.๕ % ซึ่งคาดว่าในคนไทยอาจมีมากกว่านี้ (ข่าวในประเทศ) นอกจากนั้นยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า
ความทุกข์ของโรคองคชาติแข็งตัวบกพร่อง หรือนกเขาไม่ขัน ส่วนใหญ่จะพบ ในผู้ชายอายุมากกว่า ๔๐ ปี ขึ้นไป มากกว่าผู้ชายที่อายุน้อย ปัจจัยของการเกิดโรคดังกล่าว อาจเกิดได้ทั้งสาเหตุทางกายและทางจิตใจ หรือเกิดจากทั้ง ๒ ปัจจัย
สาเหตุทางกาย มักมาจากโรคประจำตัว เกิดจากยาที่รับประทาน หรือเกิดจากการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ส่วนปัจจัยที่เกิดจากจิตใจนั้น เป็นเรื่องที่มีสาเหตุมาก และมักเกิดกับคนที่มีอารมณ์โกรธมาก ขี้โมโห และมักเกิดกับคนที่มีอายุน้อยกว่า ๔๐ ปี สำหรับปัจจัยทางกายกับจิตใจรวมกัน มักเกิดจากการเจ็บป่วยทางกายก่อนแล้วมักนึกไปเองว่าไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ คือสาเหตุทางจิตใจ ทำให้เกิดความเครียด และเกิดอาการนกเขาไม่ขันตามมา
สำหรับการหาสาเหตุนกเขาไม่ขัน ที่เกิดจากจิตใจนั้น ต้องใช้เวลานานมากกว่า สาเหตุทางกาย และโดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นสาเหตุทางกายสามารถรักษาได้โดยการใช้ยา ซึ่งก็ควรใช้ร่วมกับการปรึกษาแพทย์ด้วย
คราวนี้มาดูข่าวต่างประเทศบ้าง
ยาโรค "นกเขาไม่ขัน" ก่อเหตุ นกขันออกได้แต่สายตากลับตก
นักวิจัยสหรัฐฯระบุว่า ได้พบคนไข้ซึ่งมีอาการประสาทตาเสื่อม เนื่องจากการไหลเวียนของโลหิตภายในร่างกายขัดข้อง ที่อาจเป็นเหตุให้ตาบอดได้ ภายหลังการใช้ยาไวอากร้า รักษาอาการโรค "นกเขาไม่ขัน" เมื่อนับรวมกับที่เคยพบในการศึกษาก่อนๆมา ได้พบคนไข้ที่มีอาการแบบนี้รวม ๑๔ รายแล้ว
นักวิจัยในคณะ ดร.โฮเวิร์ด ดี.โปเมอนาซ แห่งมหาวิทยาลัยมินเนโซตา ของสหรัฐฯ กล่าวในการแถลงว่า "เราได้ทราบมาก่อนมาเป็นปีแล้วว่า มีผู้ที่ใช้ยาไวอากร้าบางรายมีอาการมองเห็นสีเปลี่ยนไป เป็นสีน้ำเงินหรือเขียวหมด แต่อาการประสาทตาเสื่อม เนื่องจากการไหลเวียนของโลหิตภายในร่างกายขัดข้อง นับว่าร้ายกว่า เพราะสายตาอาจพิการถาวรได้"
เขาบอกต่อไปว่า "เกือบทุกรายจะเกิดอาการขึ้น ภายในเวลา ๒๔ ชั่วโมง ของการใช้ยา ตอนแรกจะมีอาการมองเห็นไม่ชัด และสายตามัวลงไปบ้าง โดยมากมักเป็นเพียงข้างเดียว นอกจากรายหนึ่งที่เป็นทั้งสองข้าง อย่างไรก็ตาม คนไข้เหล่านั้นทุกคนต่างก็มีอาการเสี่ยงของโรคหัวใจ ไม่อย่างหนึ่งก็หลายอย่างอยู่แล้ว บางรายก็มีความดันโลหิตสูง และเกือบทุกคนล้วนแต่มีระดับไขมันสูง และมีอยู่ ๓ ราย ที่ตามีอาการไม่ปกติอยู่ก่อน ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการดังกล่าวง่ายขึ้น"
ข่าวทำนองนี้มีให้เห็นเสมอ มิได้ขาดจริงๆ แสดงว่า เรื่องนกเขาไม่ขัน น่าจะเป็นปัญหาใหญ่สำคัญของผู้ชายในโลกนี้จริงๆ !
การที่จะทำให้นกเขากลับมาขันนั้น กลายเป็นธุรกิจมหึมาทีเดียว ตั้งแต่การคิดยามหัศจรรย์ทั้งหลายขึ้นมาบำบัดอาการ รวมทั้งธุรกิจเกี่ยวข้องอย่างอื่น เช่น ธุรกิจอาหารสถานบริหารร่างกาย สถานลดความอ้วนหรือลดน้ำหนัก
เรื่องที่น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งคือ ในการนวดแผนโบราณของไทยนั้น มีการนวดที่ทำให้อวัยวะชิ้นสำคัญคือ ‘นกเขา’ ให้ตื่นจากการหลับใหล แต่วิชานวดแผนไทยเรียกว่าการ ‘ปลุกนกเขา’ เพราะเขาไม่เรียกว่าส่วนสำคัญตอนนั้นว่า นกเขา ซึ่งฟังดูมันเหมือนของเล็กๆ ไม่สลักสำคัญอะไรเหมือน ของเด็กเล่น คิกขุ-อาโนเนะ หากมีการเรียกอวัยวะชิ้นสำคัญของเพศชายอย่างยำเกรงว่า “นาคราช”อันเป็นพญางูใหญ่ มีฤทธิ์มาก และโบราณก็ว่าเป็นสัตว์ที่ให้น้ำฝนแก่ชาวโลก ส่วนปริมาณน้ำจากฟ้าจะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับจำนวนนาคที่ให้น้ำ และงูไม่ว่าใหญ่หรือเล็กนั้นเป็นสัญลักษณ์ทางเพศ เพราะตำราทำนายฝันโบราณนั้น ผู้หญิงหากฝันว่า ตนเองถูกงูรัด แปลว่าจะได้คู่ครอง เข้าทำนอง
“หากฝันว่างูกระหวัดรัดกายา โอ้แก้วตาหลานย่าจะมีผัว !”
ในข้อมูลจากเอกสารของสถาบันการแพทย์แผนไทย ระบุว่า ท่าแม่แบบของการนวดอันสืบเนื่องมาจากศิลาจารึกโบราณ คือ ฤาษีดัดตน เท่าที่มีการรวบรวมไว้มี ๑๒๗ ท่า สามารถบริหารร่างกายได้ครอบคลุมทุกส่วน และจากจารึกสำคัญนั้น ท่าบริหารเพื่อ“แก้ปัญหาทางเพศ”เรียกตามตำราอันยิ่งใหญ่นี้ว่า ‘ปลุกนาคราชให้คืนชีพ’ ฟังแล้วขลัง มีอยู่ด้วยกัน ๘ ท่า ซึ่งเป็นท่า “ลับเฉพาะ”
อย่างไรก็ตาม ท่าฤาษีดัดตน ยังไม่มีการยืนยันถึงสัมฤทธิผลที่แน่ชัด หรือผ่านการรับรองจากทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะไม่เห็นมีความจำเป็นอันใดที่จะต้องให้แพทย์แผนปัจจุบัน ไปรับรองเพิ่มความขลัง หากแต่ยังเป็นเรื่องที่ต้องมีการศึกษาค้นคว้าและวิจัยกันต่อไป
สำหรับท่าฤาษีดัดตน ๘ ท่าลับเฉพาะ ประกอบด้วย
ท่าแก้ลมในอก (Chest discomfort) ท่าแก้ลมในลำลึงค์ (Penis’s problem) ท่าแก้ลมลำลึงค์ และอัณฑะ (Problem of Penis’s Scrotum) ท่าแก้ลมอัณฑพฤกษ์ (Wata in Scrotum) ท่าแก้ลมอัณฑพฤกษ์ (Wata in Scrotum) ท่าแก้ลมอัณฑวาด (Problem of Scrotum)ท่าแก้อัณฑพฤฒิ (Problem of Scrotum)
ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า มีอยู่ด้วยกัน ๗ ท่า ซึ่งชื่อซ้ำกัน ๑ ท่า ท่าแก้ลมอัณฑพฤกษ์ (Wata in Scrotum) คือรายละเอียดในการบริหารไม่เหมือนกัน และคำว่า อัณฑพฤกษ์ ก็แตกต่างกับ อัณฑพฤฒิ ทั้งๆที่ฟังดูคล้ายกันก็ตามชื่อต้นเหมือนอัมพฤกษ์ ชื่อถัดไปเป็นพฤติการณ์ ไม่เหมือนกัน
อยากยกตัวอย่างให้เห็นรายละเอียด ๑ ท่า คือ ท่าแก้ลมอัณฑวาด (Problem of Scrotum)
ท่านี้ผู้บริหารต้องนั่งคู้เข่าแบะขาเล็กน้อย เท้าไขว้กัน งอแขนทั้งสองข้าง ให้ข้อศอกพับงอแนบลำตัว ใช้มือนวดคอ ท่านี้ครูบาอาจารย์มีการวิเคราะห์ว่า คำว่า อัณฑวาด หรือ อัณฑวาต น่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับอวัยวะเพศชาย คืออัณฑะ และองคชาต ซึ่งตามโคลงบรรยายท่าดั้งเดิมตอนหนึ่งระบุไว้ว่า ลำแล่นเสียวนา แสดงว่าจะเกิดอาการเมื่อปัสสาวะ รู้สึกเสียวบริเวณทางเดินปัสสาวะ ทั้งนี้ ท่านี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับอวัยวะเพศเช่นกัน เว้นแต่จะมีการเกร็งหน้าท้องและขมิบก้นด้วย
เรื่องการฝึกขมิบก้น นี่สำคัญมาก จะได้กล่าวถึงในโอกาสต่อไป
ที่สำคัญมากได้แกท่าที่ ๘ สุดท้ายคือ ท่าแก้เส้นมหาสนุกระงับ (ระงับอารมณ์ทางเพศ)คนโบราณนั้น มีความฉลาดล้ำ หากเห็นว่าลูกหลานจะมีพลังทางเพศมากเกินไป ก็กำหนดท่าบริหารให้กำหนัดคลายเอาไว้ ใครสนใจลองเอาไปทำดู หรือคนสูงอายุวัยกลับจะนำไปก็ได้ เพราะไม่มีใครหวงห้าม
ท่าแก้เส้นมหาสนุกระงับ เป็นท่านั่งพับขาข้างหนึ่งเข้ามา คล้ายนั่งขัดสมาธิข้างเดียว ขาอีกข้างหนึ่งเหยียดออกไป วางมือข้างเดียวกับขาที่พับไว้ที่เข่าและเท้าแขน โดยหันปลายมือเข้าตัว แขนอีกข้างหนึ่งเอื้อมไปจับปลายเท้าที่เหยียดแล้วเหยียดเข่าเต็มที่ กดเข่าอีกข้าง แอ่นอกหายใจเข้าแล้วคลายพร้อมหายใจออก
มีการวิเคราะห์ไว้ว่า คำว่า เส้นมหาสนุก คือเส้นที่เดินตรงมาที่อวัยวะเพศทั้งชายและหญิงในเพศชายเรียกว่า เส้นคิชชะ เพศหญิงเรียกว่า เส้นสิกขิณี ตำแหน่งของเส้นทั้งชายและหญิงจะอยู่ตรงลงมาจากสะดือ โดยขยับเยื้องออกจากเส้นกลางท้องไปทางขวาเล็กน้อย ลงมาที่อวัยวะเพศ อ้อมไปทางหลัง แนบก้นกบไปที่เอว จุดมหาสนุก ในเส้นสิบจะอยู่บริเวณกระเบนเหน็บ ว่ากันว่า จุดนี้ถ้ากระตุ้นถูกวิธีจะ กระตุ้นความใคร่ได้ ซึ่งมีอยู่ในตำรานวดแผนไทย แต่จากท่าฤาษีดัดตน ท่านี้เป็น ท่ามหาสนุกระงับ คือหยุด หรือ ระงับความใคร่ นั้นเอง
แม้ว่าสัตว์ทั้งสองชนิดคือทั้งนกเขาและนาค มีฤทธิ์ อำนาจ ที่แตกต่างกัน แต่หากมีความหงอยเหงา คือนกเขาโก่งคอขันไม่ออก ก็ไม่ต่างอะไรกับนกตาย (บางคนเขาเรียกโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศว่า โรคนกตาย) หรืออย่างพญานาคอันเรืองฤทธิ์ แต่หากต้องให้ปลุกตื่นขึ้นมา ทำหน้าที่ให้น้ำกับชาวโลก ก็ไม่น่าชื่นชมทั้งสิ้น !
ผู้หลักผู้ใหญ่ของผมสั่งสอนเอาไว้ว่า เพื่อไม่ให้ทั้งนกเขาหรือนาคราชมีปัญหาในเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องยากเย็น เพียงแต่รักษาอารมณ์ได้ไว้สม่ำเสมอ หัดไม่เป็นคนโกรธง่าย มองโลกในแง่รื่นรมย์ และดูร่างกายให้ดี ไม่ปล่อยให้อ้วน เพราะความอ้วนนั้น คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเซกันด์ แห่งเนเปิล ได้ศึกษากับผู้ชายรูปร่างอ้วนท้วน ที่อยู่ในวัยระหว่าง ๓๕-๕๕ ปี ซึ่งไม่มีโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโลหิตมีไขมันมากเกินไป ที่เป็นโรค "นกเขาไม่ขัน" จำนวน ๑๑๐ คน กล่าวสรุปรายงานว่า
"ผลของการศึกษาแสดงว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินอยู่เสียใหม่ ด้วยการลดการบริโภคพลังงานของอาหารให้น้อยลง ออกกำลังกายให้มากขึ้น จะช่วยให้ ๑ ใน ๓ คนเหล่านี้ ทุเลาขึ้นจากโรคนกเขาไม่ขันได้ ทั้งยังพลอยลดโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค ของหลอดเลือดหัวใจลงไปด้วย"
ผู้ใหญ่ท่านนี้ยังได้สอนอีกว่า การบริหารร่างกายสม่ำเสมอ ไม่สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ไวน์ พอให้เป็นกษัยเลือดลมเดินดี เท่านี้ก็พอเพียงกับการปลุกนกสำคัญของผู้ที่อายุเกิน ๕ รอบแล้ว ให้ตื่นมาขันขยันทำงาน ได้เดือนละ ๒๐-๒๕ ครั้ง (เว้นเฉพาะวันพระและวันติดธุระ) ซึ่งผมได้แนะนำเพื่อนๆหลายคนทำตามท่าน ต่างก็สามารถยืนยันตรงกันว่าได้ผลดีจริงๆ
ที่สำคัญคือ ท่านยังบอกว่าต้องรับประทานอาหารเย็น เว้นไม่ได้ เพราะจะทำให้พลังด้านนี้เสื่อมลง ผู้ใหญ่ท่านได้ชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ทรงรอบรู้ในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง จึงทรงมีพระบัญญัติห้ามพระภิกษุในเรื่อง “วิกาลโภชนา” เอาไว้ เพื่อลดกำหนัดผู้เข้ามาบวชนั่นเอง ไม่เชื่อใครที่มีอายุและจำเรื่อง สมีนิกร ผู้โด่งดังยี่สิบกว่าปีก่อนโน้น ต้องฉันเกี๊ยวน้ำกับหมูสะเต๊ะหลายไม้ เป็นดินเนอร์ เลยมีลูกกับสีกาหนึ่งคน
ผมจึงเห็นคล้อยด้วยกับผู้ใหญ่ท่านนี้ ทุกประการ
หมอฝรั่งได้แนะนำว่า หากผู้ชายเดินไกลวันละ ๓ กิโลเมตร จะสามารถปลุก "นกเขา" ให้กลับฟื้นคืนชีพได้ หากท่านใดมีปัญหาในเรื่องดังกล่าวเอาไว้ ลองไปทำตามดู ได้ผลอย่างไร ก็ลองเอามาคุยให้ฟังกันน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อื่นด้วย แต่ผมนั้นสนใจเรื่องการบริหารร่างกายและกลัวอ้วนอยู่แล้ว จึงให้ความสำคัญในเรื่องนี้และเดินเกินกว่าที่เขากำหนดให้ทุกวัน อีกทั้งยังสนใจทั้งตำราไทยฝรั่ง ไม่ได้อยากมีพลังมากอย่างที่ผู้คนเขาต้องการ หากแต่อยากมีชีวิตอยู่ยาวนาน เฝ้าดูลูกหลานเจริญเติบโตขึ้นไป เหมือนกับคนไทยท่านอื่นๆ
บุคคลที่นกเขาของตน ยังมีความสามารถขันได้ดี หากแต่กลับมีความซึมเศร้าอยู่ในอารมณ์ ก็หนีไม่พ้นเรื่องของคนหนุ่ม ซึ่งแม้มีความปรารถนาเช่นเดียวกับคนวัยเดียวกัน แต่หากรักไม่สมหวัง แม้นกเขาจะขันได้ไม่บกพร่องแต่ก็ยังคร่ำครวญ เหมือนอย่างที่ ที่คุณทูล ทองใจ ร้องเอาไว้ว่า
นกยังเรียกร้องหาคู่ ฉันครวญเรียกชู้ทรามวัย
หากเจ้าอยู่หนใด โปรดได้เข้าใจว่าฉันแสนเศร้า
ยิ่งฟังสำเนียงเสียงเจ้านกเขา
คิดถึงรักครั้งเก่า เจ็บปวดรวดร้าว....ดวงใจ
เพลงนี้ชื่อ “นกเขาขันฉันครวญ” ฟังแล้วก็น่าสงสารมาก
รุ่นพี่ที่เคารพของผม ซึ่งเคยเอ่ยถึงท่านบ่อยๆในคอลัมน์นี้ ซึ่งเป็นที่รู้ดีว่ามีมุมมองเฉียบคมไม่เหมือนใคร ได้ให้ความเห็นว่า
หากยังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ต้องมาตกอยู่ในภาวะอย่างนี้ คือ “นกเขาจะขัน หรือไม่ขัน ฉันก็ครวญ” แล้ว ลูกพี่ใหญ่ของผมผู้นี้ ได้บอกอย่างจริงจัง ว่า
ถ้าเป็นตัวท่านแล้วไซร้ ก็จะยินยอมเอาตัวเองไปเป็น “นกเขา-ในกรงทอง” ของสตรีที่ท่านไม่ได้รัก ไม่ได้ใคร่อะไร ให้รู้แล้วรู้รอดเสียเลย
ยังดีกว่าไปนั่ง ‘ทุกข์ระทม จมน้ำตา’ อยู่ อย่างคุณทูล ทองใจ ร้องเอาไว้ !
ผมฟังแล้ว ยังไม่ได้เอาออห่อหมก กับรุ่นพี่ผมท่านนี้ หากแต่อยากถามว่า
ท่านผู้อ่านล่ะครับ...คิดเห็นเป็นอย่างไร ?