เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว ได้ข่าวดีเพราะน้องสาวโทรมาบอกว่า ลูกศิษย์คนหนึ่งสอบเข้าคณะนิติศาสตร์จุฬา ได้คะแนนสูงกว่าผู้ที่ได้คะแนนเป็นลำดับที่ ๑ ของปีที่แล้ว ซึ่งทำให้ผมดีใจมาก เพราะเด็กคนนี้เพิ่งหารือกับผมว่า หากได้ทุนไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย Harvard สหรัฐอเมริกา อย่างลูกพี่ลูกน้องของเขาที่กำลังศึกษาอยู่ เขาควรจะเลือกเรียนวิชาใด ซึ่งผมก็บอกไปว่า
ควรเลือกเรียนกฎหมายธุรกิจระหว่างประเทศ เพราะโลกของเราปัจจุบันเป็นโลกแห่งการค้า น่าจะเลือกเรียนด้านนี้ดีกว่า เพราะหากจบฮาร์วาร์ดเมื่อกลับมารับราชการ และใช้ทุนเล่าเรียนหลวงหมดแล้ว หากไม่ประสงค์จะรับราชการต่อไป ก็ออกไปทำงานกับสำนักงานกฎหมายเอกชน หรือตั้งสำนักงานที่ปรึกษากฎหมายเองก็ได้
เด็กหนุ่มคนนี้ หากท่านผู้อ่านได้เข้าไปอ่าน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๗๑ “ ดรรชนี...‘ไม่’...ไฉไล !” มีรูปวาดภาพประกอบภาษามือของคนใบ้ เป็นฝีมือของเขา วาดไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ และน้องสาวของผมได้สนับสนุนให้เขาเขียนหนังสือ จนบัดนี้ได้ช่วยน้องสาวผมเขียนในมติชน พลอยแกมเพชร แต่เขาหาได้เก่งทางการเรียนแต่เพียงอย่างเดียว ยังเล่นกีฬาและดนตรี เหมือนนักเรียนโรงเรียน วชิราวุธ วิทยาลัย คนอื่นๆที่ผมเคยสอนมา และเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีงดงาม มีความรู้รอบตัวดีมาก ทั้งในเรื่องดนตรี ประวัติศาสตร์ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เขียนและพูดภาษาอังกฤษได้ดี สอบโทเฟิลได้คะแนนสูงมาก นับเป็นเยาวชนที่มีคุณภาพอีกคนหนึ่งทีเดียว
การอ่านหนังสือทำให้เขาเป็นคนที่รู้จักเหตุผล เวลาโต้เถียงกับใครก็มีหลักมีเกณฑ์ เหมาะที่จะเรียนกฎหมาย เรียกว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน พอที่จะได้ทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในอนาคต ผู้ที่จะสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งนี้
เก่งแต่เพียงด้านวิชาการคงไม่พอ จะต้องมีความรู้รอบตัวดีด้วย ใครไม่เชื่อลองไปถามอาจารย์ผู้หญิง ซึ่งได้เหรียญทองของนิติศาสตร์จุฬาฯดู เมื่อเธอได้ทุนคิงส์ไปเรียนฮาร์วาร์ด สอบสัมภาษณ์ปีแรกไม่ผ่าน ต้องเตรียมตัวอีกหนึ่งปีจึงจะเข้าไปได้ แต่ขณะนี้เธอก็จบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่งงานกับนายตำรวจอนาคตไกล และกลับมาสอนอยู่คณะนิติศาสตร์จุฬาฯแล้ว
ท่านผู้อ่านคงจะเคยได้ยินสำนวน “เจ้าถ้อยหมอความ” หมายถึงผู้มีคารี้คารมดี สามารถยกเหตุผลทางกฎหมาย มาประกอบในการโต้เถียงได้อย่างสมเหตุสมผล พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า “ผู้มักใช้โวหารพลิกแพลงไปในทางกฎหมาย”
คนไทยนั้น เรียกคนเป็นแพทย์จบมาเรียกว่า “หมอ” แล้วยังใช้คำว่าหมอกับผู้ที่มีอาชีพในการรักษาเยียวยาอย่างอื่นอีก เช่นทันตแพทย์ เราเรียกว่า “หมอฟัน” สัตวแพทย์ชาวบ้านมักเรียกว่า “หมอหมา” คือแพทย์ที่รักษาคนถ้าต้องเรียกคู่กับสัตวแพทย์ คนมักแยกเรียกเป็นหมอคนกับหมอหมา เพราะแต่เดิมคนไทยมักเข้าใจว่า สัตวแพทย์ส่วนใหญ่รักษาหมา แมว แต่ถึงจะรักษาแมวเก่ง รักษาช้างเก่ง ฯลฯ เราไม่นิยมเรียกว่า “หมอแมว” หรือ “หมอช้าง” หากยังคงเรียกว่าหมอหมา เพราะพวกเจ้าตูบใช้บริการของสัตว์แพทย์ มากกว่าเพื่อนสัตว์ชนิดอื่น เนื่องจากคนนิยมเลี้ยงพวกมันมากกว่า
ที่น่าแปลกคือ เจ้าหน้าที่เกษตรคนที่ทำหน้าที่รักษาดินให้อุดมสมบูรณ์ เขาก็เรียกเป็นหมอเหมือนกัน คือ “หมอดิน” ส่วนคนที่หาอาชีพรับจ้างตอนวัว-ควาย ชาวบ้านเรียกว่า “หมอควาย” ซึ่งในสภาผู้แทนฯ ก็เคยมีหมอตอนควาย ได้รับเลือกตั้งเข้าไปเป็นผู้แทนราษฎร ผู้คนเรียกท่านว่าคุณหมอ (คนนึกว่าเป็นหมอคน ความจริงแล้วเป็นหมอตอนควาย) ส่วนหมอที่ทำหน้าที่บำบัดความเมื่อยขบนั้น เรียกว่า “หมอนวด” นั้นมีคู่กับบ้านเมืองของเรามานานนมแล้ว แม้จะเปลี่ยนรูปแบบการนวดไปบ้าง ก็นับว่ามีประโยชน์มาก แต่คนที่เป็นหมอนวดแล้วหากนวดไม่เก่ง ได้แค่บีบโน่นจับนี่ไปเท่านั้น มักถูกเรียกว่า “หมอขยำ” คือ นวดแบบกดเส้นอะไรก็ไม่ค่อยจะเป็น ได้แต่ขยำลูกเดียว
คนจับงูนั้นเรา “หมองู” ซึ่งไม่ได้รักษางูแต่จับงูมาขาย หรือเอางูมาแสดงให้ดูหวาดเสียว บางคนมีวิชาอาคมรักษาคนถูกงูกัดได้ แต่กระนั้นยังมีคำกล่าวว่า “หมองูตายเพราะงู” เพราะมีผู้ที่เป็นหมองูถูกกัดตายเป็นข่าวให้เห็นอยู่เนืองๆ แต่เราก็ไม่ยักเคยได้ยินคำว่า “หมอหมาตายเพราะหมา” คือสัตวแพทย์หรือหมอหมา ถูกสุนัขกัดจนตาย แต่หมอที่ไม่ได้รักษาอะไรเลย ก็มีอยู่ไม่น้อย อย่าง หมอลำ หรือ หมอดู ฯลฯ เป็นต้น
หมอดูบางกลุ่ม บางคนคนนั้น มักชอบสร้างความปั่นป่วน ให้บ้านเมืองอยู่เป็นประจำ ทำทะลึ่งออกมาทำนายไปในทางชั่วร้าย เช่น ผู้นำดวงแตกบ้าง บ้านเมืองจะเดือดร้อนวุ่นวาย มีแต่ความไม่สงบบ้าง ต่อไปนี้จะมีแต่รอวันเกิดศึกสงครามฯลฯ อะไรทำนองนี้ ประเภททายร้อยครั้ง ผิดเสียเก้าสิบเก้าครั้งครึ่งก็ว่าได้ ขนาดทำนายอะไรไม่ค่อยจะถูก ยังสาระแนออกมาพยากรณ์บ้าบอคอแตกเสมอมิได้ขาด เพื่อสร้างข่าวความสำคัญและมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเอง สำหรับผมแล้ว ถ้าจะต้องให้เลือก “ดู” ระหว่างหมอลำกับหมอดู สมัครใจเลือกฝ่ายแรกมากกว่า เพราะยังมีอะไรบันเทิงเริงใจบ้าง
คนที่เป็นทนายความนั้น เราเรียกว่า “หมอความ” ซึ่งพจนานุกรมนั้นฉบับ
ราชบัณฑิตฯ แปลว่า “ผู้รู้กฏหมาย,นักกฎหมาย” โบราณเรียกคนมี ‘หัว’ ทางกฏมาย ว่าเป็น “คนหัวหมอความ” แต่พอคำกร่อนไปโดยคำว่าว่า “ความ” หายไป เหลือเป็นเพียง “คนหัวหมอ” กลายเป็นคำไม่สู้ดีไป เพราะพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตฯแปลว่า “คนที่ชอบอ้างกฎหมายเพื่อประโยชน์ของตน”
"คนหัวหมอ" นั้นภาษาอังกฤษใช้คำว่าอะไร ?
คุณแอนดรูว์ บิ๊ก เจ้าของวลี “ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว” ซึ่งมีรายการสอนภาษาอังกฤษดีๆตอนเช้าๆ ที่ช่อง ๓ บอกว่าเป็นคำถามที่ดีมากแต่ตอบยาก เพราะไม่ได้แปลตรงๆทื่อๆ ว่า Doctor Head (คงเหมือนแปลคำว่าหมอดูเป็น Doctor See )
คุณแอนดรูว์ ให้ความเห็นว่า น่าจะใช้ shrewd person หรือ crafty person สองคำนี้ shrewd กับ crafty ซึ่งมีความหมายที่ออกในทางลบคือ มีเล่ห์เหลี่ยม หรือเจ้าเล่ห์ เพทุบาย แต่ถ้าจะพูดถึงคนที่มีนิสัยชอบโต้แย้งบุคคลอื่น โดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย ระเบียบหรือข้อบังคับอยู่เสมอๆ เพื่อเอาชนะคะคานกัน นิสัยแบบนี้คุณแอนดรูว์ ให้ความเห็นอาจเรียกว่า smart alec ก็ได้ เช่น Don’t be a smart alec! " หรือ “เฮ้ย...อย่ามาทำเป็นหัวหมอนะโว้ย !” เป็นต้น
ท่าน ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นอาจารย์สอนกฎหมายเก่าบอกว่า คนจะเรียนกฎหมายนั้น ควรจะต้องเป็นมีความเป็นคนมี หัว แต่ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่จาก “หัวหมอความ” อย่างที่เข้าใจกันแต่เดิม มาใช้คำว่า “หัวหมอกฎหมาย” ซึ่งคำนี้มาจากภาษาอังกฤษว่า Legal Mind ท่านอาจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ แปลว่า “หัวกฎหมาย” ท่านอาจารย์ วิกรม เมลานนท์ แปลอีกอย่างว่า “วิญญาณนักกฎหมาย” ท่านอาจพิจารณาว่า ฝรั่งนั้นเน้นที่ใจ หรือ Mind แต่ คนไทยเราเน้นที่หัว ซึ่งมีความหมายเป็นอย่างเดียวกัน
ฉะนั้น ถ้าจะใช้คำว่า "คนหัวหมอ" หรือ "หัวหมอ" เฉยๆโดยไม่ มีคำว่า กฎหมาย พ่วงมาด้วย ภาษาอังกฤษก็ควรจะใช้อย่างที่คุณแอนดรูว์ บิ๊ก แต่หากจะ ให้ตรงกับภาษาไทยโบราณ“หัวหมอความ” แปลเป็นภาษาอังกฤษ ก็ควรใช้ Legal Mind อย่างที่ว่ามาแล้ว
คนที่ที่มี ‘หัว’ แล้วอยากจะเป็น “หมอความ” นั้น อาจารย์วิษณุฯ ท่านบอกพวกที่น่าจะเรียนกฎหมาย จบออกมาเป็นหัวหมอความระดับด๊อกเตอร์ น่าจะมีคุณสมบัติพอสรุปได้ดังนี้
๑.รักความยุติธรรมหรือความเป็นธรรม อาจเป็นแบบพระเอกหนังคาวบอย ที่นักพากษ์เขาบรรยายว่า “....รักอิสรภาพและความเป็นไทยแก่ตัวเอง เกลียดการข่มเหงเข้ากระดูกดำ ความยุติธรรมคือสิ่งที่เขาปรารถนา เขาผู้นั้นฉายาว่าหน้ากากดำ....”ตอนขึ้นต้นหนังคาวบอยเรื่อง “จอมโจรหน้ากากดำ” อย่างนั้น
๒.พูดจาฉะฉาน ชัดถ้อยชัดคำ ช่างเป็นคนที่มีความสามารถ ในการค้นหาแง่มุมและเหตุผลต่างๆ มาสนับสนุนความเห็นของตน หรือหักล้างความเห็นของคนอื่น มีมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่น แต่มีความแหลมคมชัดเจน อาจารย์บอกว่าถ้ามีคุณสมบัติอย่านี้แหละ จะเรียนเป็นหมอความได้ดี แต่พวกที่ที่หาเหตุผลไม่เก่งเอาแต่เลี้ยวไปเลี้ยวมานั้น จัดว่าเป็นพวกนักตะแบง เอาสีข้างเข้าถูกอย่างพวกนักการเมืองชอบทำ ประเภทแพ้ไม่เป็น ข้างๆคูๆ กูถูเรื่อยไปตลอด อย่างนั้นไม่เข้าเรื่อง แต่ก็มีให้เห็นอยู่เป็นประจำ
๓.ช่างจำ ตรงนี้สำคัญมาก เรียนกฎหมายนี่จำเป็นจริงๆ สำหรับผมแล้วเป็นจุดอ่อนเลย เพราะความจำไม่ค่อยจะดี แต่เรื่องความจำนี้ ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเรียนวิชาอะไร ย่อมเป็นคุณสมบัติที่สำคัญ ไม่เฉพาะแต่การเรียนกฎหมายเท่านั้น อย่างไรก็ตามอาจารย์วิษณุฯท่านเน้นว่า โดยที่กฎหมายนั้น เป็นเรื่องของการหาเหตุผลมาหักล้างกัน หรือจูงใจให้คนอื่นคล้อยตาม ความจำที่ดีจึงช่วยให้ดูเป็นคนมีไหวพริบปฏิภาณดี ทำให้เด่นขึ้นในสายตาของผู้ที่รับฟัง และการยกเหตุยกผลมาอ้างอย่างรวดเร็ว ว่องไว ทันใจ ยิ่งคนฟังทำให้น่าเชื่อถือมากขึ้น
๔.ภาษาดี อาจารย์บอกว่า อยากจะเป็นนักกฎหมายไทย ต้องรู้ภาษาไทยดี เพราะภาษาเป็นสื่อสะท้อนความคิดของเราออกมาให้ผู้คนเข้าใจ ต้องดีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน บางคนเขียนดีแต่พูดติดอ่างเลยเสียรังวัดไป ภาษาพูดนั้นจะโน้มน้าวให้คนที่เขาฟังอยู่นั้น จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่ภาษาของผู้พูด และยิ่งไปกว่านั้น ภาษานี้เอ จะช่วยทำให้คนฟังเข้าถึงเหตุผลของผู้พูด ให้มีความรู้สึกจับใจคล้อยตามหรือไม่ จึงจำเป็นต้องฝึกกันทั้งการพูดการเขียน ผมเคยฟังผู้พิพากษาท่านหนึ่งพูดว่า กว่าที่ท่านจะเขียนคำพิพากษาเป็น ท่านใช้เวลาถึง ๕ ปี หลังการบรรจุที่เป็นผู้พิพากษาแล้ว
อาจารย์วิษณุฯ สอนหนังสือดีและท่านยกตัวอย่างเก่ง บางทีก็ไม่ได้ยกเอาเหตุการณ์ใกล้ๆ แบบวันนี้พรุ่งนี้ บางครั้งท่านก็ยกเอาเหตุการณ์ต้นรัตนโกสินทร์ สมัยอยุธยา หรือบางครั้งก็ว่าไปไกลถึงพญาลิไท ยุคสุโขทัยเป็นราชธานีนั่นเลย รองนายกฯที่มาจากสายอาจารย์ท่านนี้ ได้ นบ.เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นเนติบัณฑิตไทย และได้ปริญญาเอกจาก University of California,Barkeley, สหรัฐอเมริกา
ท่านสนใจในเรื่องการเมืองมาก และอาจเป็นเพราะโอนจากอาจารย์มหาวิทยาลัย ไปทำหน้าที่อยู่สำนักนายกมานาน มีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับกฎบัตรกฎหมาย จึงต้องอ่านรายงานการประชุมของรัฐสภาเป็นประจำ มีโอกาสได้ติดตามและสังเกตการโต้เถียงในสภาผู้แทนราษฎร จนสามารถยกมาได้อย่างสอดคล้อง กลมกลืน กับการบรรยายของท่าน
ในเรื่องของความแม่นยำในกฎหมายหมาย ท่านอาจารย์ได้ยกเอาการโต้เถียงของสมาชิกสภามาประกอบ ผมจึงขอนำมาถ่ายทอดให้มาให้ท่านดูกัน เพราะน่าสนใจ ส่วนถ้อยคำในวงเล็บนั้น คงเป็นความเห็นของท่านอาจารย์เอง การปะทะคารมระหว่างสมาชิกรัฐสภามีดังนี้
สมาชิก ๑ “ท่านประธาน ผมขอค้าน”
ประธาน “ค้านไม่ได้ ต้องประท้วง”
สมาชิก ๒ (เห็นเพื่อนเพลี่ยงพล้ำ) “ท่านประธาน ผมขอประท้วงครับ”
ประธาน “ประท้วงใคร?”
สมาชิก ๒ “ประท้วงคุณสนิทที่พูดผิดข้อบังคับ
ประธาน “ประท้วงคุณสนิทไม่ได้ ถ้าจะประท้วงต้องประท้วงประธานที่ปล่อยให้คุณสนิทพูด”
สมาชิก ๓ (เห็นเพื่อนเพลี่ยงพล้ำ) “ท่านประธานครับ ผมขอประท้วงท่านประธาน ครับ”
ประธาน “ประท้วงว่ายังไง”
สมาชิก ๓ “ประท้วงว่า ท่านประธานทำผิดข้อบังคับข้อที่ ๑๑ ”
ประธาน “ประท้วงไม่ได้ เพราะประธานใช้อำนาจตามข้อบังคับที่ ๑๖ ”
สมาชิก ๓ “แต่ข้อที่ ๑๖ อยู่ภายใต้บังคับข้อทื่ ๑๑ นี่ครับ”
ประธาน “แต่ข้อที่ ๑๖ มีสองวรรค วรรคสองระบุว่า เว้นแต่ประธานจะเห็นเป็นการสมควรอย่างอื่น บัดนี้ประธานเห็นเป็นอย่างอื่น”
สมาชิก ๓ “ถ้าอย่างนั้นผมขอประท้วงตามข้อ ๒๔ ”
ประธาน “ข้อ ๒๔ มีข้อยกเว้นในข้อ ๒๕ ว่าประธานใช้อำนาจเป็นอย่างอื่นได้”
สมาชิก ๓ “แต่การจะใช้ข้อ ๒๕ต้องให้ที่ประชุมเห็นชอบเสียก่อน นี่ที่ประชุมยังไม่ได้เห็นชอบ”
ประธาน “ตามข้อ ๙ ถ้าที่ประชุมไม่ค้านแปลว่าที่ประชุมเห็นชอบ คุณนั่งลงได้ ประธานไม่อนุญาตให้พูดอีกแล้ว ขอเชิญท่านสมาชิกลงคะแนนได้”
อ่านแล้วเวียนหัวดีไหม ?
ท่านอาจารย์วิษณุบอกว่า บรรยากาศอย่างนี้ถ้าความจำไม่ดี ข้อบังคับไม่แม่น ปฏิภาณไม่ดี ใครจะไปขอเวลานอกเพื่อค้นข้อบังคับมาเถียงประธานได้ทัน และประธานเองหากจะขอเวลานอกเปิดข้อบังคับ คงไม่ทันสู้กับสมาชิก พาลเสียหน้าอีก
เรียกว่าต้องมีหัวหมอความพอสมน้ำสมเนื้อกัน จึงจะโต้ตอบกันได้ทันการ
ท่านผู้อ่านเคยชมรายการของคุณ พิสิฐ กีรติการกุล ชื่อ คดีเด็ด บ้างหรือเปล่าครับ ? ถ้าเคยดู ตอนตำรวจไปจับกุมผู้ต้องหา มักจะเห็นเรื่องของ“คนหัวหมอ” เสมอ ทีเดียว เช่น
ผู้ที่อยู่ในวงการเล่นการพนัน พอตำรวจบุกเข้าไปจับ วิ่งหนีขึ้นเล่าเต๊งเอาผ้าห่มคลุมตัว นอนหลับตาพริ้ม พอตำรวจบุกเข้าจับ การสนทนาโต้ตอบระหว่างสองฝ่าย มักจะเป็นอย่างนี้
คนถูกจับ “หมู่จับผมเรื่องอะไร ไม่ได้เล่นไพ่กับเขาสักหน่อย ถึงจะอยู่บ้านเดียวกันก็เถอะ แต่พวกเขาเล่นอยู่ชั้นล่าง ผมนอนหลับฟี้อยู่ข้างบน อย่างนี้เป็นการรังแกราษฎรนะ!”
ผู้หมู่มองอย่างรำคาญ ก่อนพูดออกไปว่า “แกอย่ามาทำหัวหมอ ไอ้ที่กำอยู่ในมือซ้ายน่ะอะไร ไม่ใช่ไพ่ควีนโพดำตัวสะเปโตหรอกรึ ?
“อ้าว !” คนถูกจับตกใจ แต่ก็แย้งต่อไปว่า “ผมเป็นคนนอนหลับยาก ถ้าไม่ได้กำอะไรไว้ในมือซ้ายแล้ว นอนไม่ค่อยจะหลับ มันเป็นความผิดตรงไหนไม่ทราบครับคุณตำหนวด ?”
ตำรวจคนจับมองด้วยสายตาขุ่นๆ ก่อนจะบอกว่า
“ไปเลยแก…ลงไปเลย ไปรวมกับไอ้พวกขาไพ่ข้างล่าง จะได้รีบขึ้นรถไปโรงพัก อย่ามาทำฉันเสียเวลานะ…ไอ้หัวหมอ !”
พอตำรวจตะคอกเข้าให้เท่านั้น คนหัวหมอก็เดินหน้าเจื่อน ลงบันไดไปรวมกับพรรคพวกแต่โดยดี
อย่างนี้เป็นต้น
คนที่เป็นตำรวจนั้น น่าจะมนุษย์ที่ชินกับพวก หัวหมอ มากกว่าอาชีพอื่น เพราะภาษิตของคนที่เป็นผู้กระทำความผิด หรือผู้ต้องขังในเรือนจำนั้นมีอยู่ว่า
“ทำก็อย่าให้เขารู้...รู้ก็อย่าให้เขาเห็น...เห็นก็อย่าให้เขาจับได้...จับได้ก็อย่ารับ !”
มาถึง พ.ศ.นี้ก็เพิ่มไปอีกหน่อย ว่า
“รับก็บอกไปว่า...ตำรวจซ้อมให้รับ !!”
มันเป็นอย่างนี้แหละครับ...ท่านที่เคารพ
หัวหมอที่ตลกสุดๆก็คือ หัวหมอประจำพรรคการเมือง แห่งนครสาระขันขัน เมืองที่ผมเขียนเอาไว้ใน กาแฟขม ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๘ “เหี้ยส่องกระจก !” นั่นแหละครับ หนอยแน่…ออกมาทำท่าขึงขัง บอกว่าสมาชิกที่เป็นรองหัวหน้าพรรคเดียวกัน บังอาจเขียนหนังสือด่าหัวหน้าพรรคตัวเอง โดยหัวหมอประจำพรรคดันทะลึ่งจัดการงานนอกสั่ง เพราะนายยังไม่ได้บอกให้ทำ แต่สาระแนทำก่อน แถมคำรามผ่านสื่อว่า จะล่าชื่อถอดถอนรองหัวหน้าพรรค ก็คนที่อกหักเพราะไม่ได้รับตำแหน่งแห่งที่อะไร เลยเขียนหนังสือกระแนะกระแหนหัวหน้าพรรค ให้ผู้คนเขาดูถูกลูกพี่เล่นนั่นแหละ! โดยนายหัวหมออ้างว่ามี ส.ส.สมาชิกเห็นด้วยและลงชื่อจำนวนหนึ่ง พอฝ่ายตรงข้ามด่ากลับเข้าให้อย่างไม่เกรงกลัว ว่า
“อย่างเอ็งนั้นแค่นักเลงปากซอย อย่ามาทำเสือก !”
ไอ้ที่หนักเข้าไปอีกก็คือ ไม่มีสมาชิกคนไหน มาลงลายมือชื่อร่วมก๊วนกับแกด้วยเลย
เท่านั้นแหละครับ...ไม่น่าเชื่อ... หัวหมอ หน้าแตกยับเยิน เลยกลายเป็น หัวหงอ งอก่องอขิงไป ไม่กล้าปริปากโต้เถียงเรื่องนี้อีกเลย แต่ก็อุตส่าห์ไว้เชิง บอกว่าได้ดำเนินการตามหน้าที่หัวหมอเสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหาร
เลยถูกด่าว่า…ทุเรศ !
ท่านผู้อ่านสังเกตไหมครับว่า หลังจากที่กรมราชทัณฑ์ของเรา ส่งเสริมการศึกษาให้ผู้ต้องขังศึกษาต่อในระดับปริญญาได้ บรรดาผู้ต้องขังทั้งหลาย ก็จะมุ่งมั่นเรียนกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ ความเป็น นิติศาสตร์บัณฑิต จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาพยายามไขว่คว้ามาให้ได้ เพื่อใช้เป็นประโยชน์ตอนพ้นโทษออกมา เพราะหากพลาดพลั้งอีกก็จะได้ใช้ความรู้ทางกฎหมาย ต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ร้ายๆได้ ตัวอย่างคนดังที่เห็นๆ อยู่ก็มี
คุณหมอ เสริม สาครราษฎร์ และคุณ คณิศร วิวัฒนะชาติ
คุณหมอเสริมนั้น โด่งดังมาจากเรื่องชำแหละแฟนสาว ส่วนคุณคณิศร ชื่อนี้อาจไม่คุ้นสำหรับท่านผู้อ่าน แต่ถ้าบอกว่า คนนี้แหละที่มีฉายาว่า “แรมโบ้เอ็ม” เป็นบุตรข้าราชการทหารผู้ใหญ่ระดับนายพล ถูกจับเพราะขนอาวุธสงครามไปยิงถล่มโรงพักพญาไท เพื่อชิงตัวลูกน้องที่ถูกตำรวจโรงพักนี้จับกุม
“แรมโบ้” นอกจอคนนี้ ผมอดชมเชยความห้าวหาญและความรักลูกน้องไม่ได้ เพราะแกกล้าขนาดจับนายร้อยเวรเป็นตัวประกัน นี่เป็นเพราะความเป็นหนุ่มเลือดร้อนแท้ๆ แต่ผิดที่ผิดทางไปหน่อย ตำรวจจึงต้องใช้เวลานานกว่าเหตุการณ์จะสงบลง ตอนบุกขึ้นโรงพักพญาไทผมฟังข่าวอยู่พอดี พอข่าวออก ยังคิดว่าแกต้องถูกยิงตายแน่ๆ แต่ก็รอดมาได้ เลยถูกจับกุมดำเนินคดีหลายข้อหา ติดคุกมาก็หลายปีแล้ว ตอนนี้เป็นรูมเมทกับคุณหมอเสริมและจบกฎหมายแล้วทั้งคู่
คุณแรมโบ้นั้นข่าววงในบอกว่าเรียนหนังสือเก่ง ได้ปริญญาหลายใบ ได้ปริญญาโทแล้วกำลังจะทำปริญญาเอกด้วยซ้ำไป ถ้าเขาออกมาสู่สังคม หากรู้จักควบคุมอารมณ์ ผมว่าน่าจะเป็นคนดีมีคุณภาพของบ้านเมืองเลยทีเดียว
ไม่นานนี้มีข่าวออกมาว่า คุณแรมโบ้เอ็มต้องไปหา ขาใหญ่ หรือผู้กว้างขวางในเรือนจำ เพราะอยากจะแยกห้องขังกับคุณหมอเสริมเสียแล้ว เพราะคุณหมอเล่นผ่าตัดชำแหละแมวสองตัวที่คุณแรมโบเลี้ยงไว้ โดยบอกว่าจะทำการวินิจฉัยโรค ทำให้แมวสุดที่รักของคุณแรมโบตายเรียบร้อยไปทั้งคู่
คุณแรมโบคงแหยงกลัวคุณหมอจะร้อนวิชา จะมาขอวินิจฉัยโรคตัวแกบ้าง เลยเกิดอาการเสียว ไม่อยากเป็นรูมเมทกับคุณหมออีกต่อไป!
เขียนเรื่องหมอความให้อ่านกันเล่น เบาๆเพลินๆ เพราะคิดว่าแฟนๆยังไม่หายเหนื่อยจากการเที่ยวหลังเทศกาลใหญ่ของบ้านเรา แต่หากท่านผู้อ่านที่เป็นนักกฎหมาย หรือนักศึกษากฎหมาย หรืออยากจะเป็นหมอความ เป็นคนหัวหมอกับเขาบ้าง ผมก็มีปัญหาข้อสอบเบาๆ ให้ท่านลองพิจารณาลับสมองกันเล่นหลังสงกรานต์ ดังต่อไปนี้
ผู้ชายซึ่งเพื่อนฝูงเรียกว่าเป็น “หัวหมอ” ขนานแท้คนหนึ่ง ถามเพื่อนผู้หญิงที่หน้าตาน่าเอ็นดู รูปร่างดีเหลือกำลัง ไซส์ขนาดสุดเสียงสังข์เลย ว่า
“หากเธอถอดเสื้อออก และให้ฉันเอานิ้วชี้แตะที่ปลายหน้าอกของเธอเบาๆ ฉันจะเอาเงินให้เธอสี่หมื่นบาท ข้างละสองหมื่นเชียวนะ จะเอาหรือเปล่า ?”
ฝ่ายหญิงถามว่า “จริงๆนะ” ทำหน้าตาขึงขัง
“จริงซิ” ฝ่ายชายก็ตอบแข็งขันเหมือนกัน
ฝ่ายหญิง ถอดเสื้อตัวสวยที่สวมออกด้วยความมั่นใจ แล้วค่อยปลดตะขอเสื้อยกทรงออกช้าๆ
พอผ้าชิ้นน้อยที่ปกปิดปทุมถันหลุดออก สาวเจ้าก็เชิดอกเปลือยชูชัน ยืนผงาดต่อหน้าชายหนุ่ม แล้วบอกด้วยเสียงอันดังว่า
“แตะซิ่... แตะเร็วๆเข้า... แล้วรีบจ่ายเงินสี่หมื่นมาซะดีๆ”
ฝ่ายชายรีบเอามือไขว้หลัง จ้องดูดอกบัวคู่งามจนตาแทบถลน กลืนน้ำลาย แล้วค่อยๆส่ายหน้าช้าๆ ก่อนตอบเสียงเครือว่า
“อยากแตะน่ะ อยากอยู่... แต่ตอนนี้ เงินมันยังไม่มีจ้ะ !”
จากปัญหาข้อนี้ จึงอยากถามท่านที่เป็นหมอความ หรือกำลังอยากจะเป็นหมอความ หรือจะลองคิดอย่างคนหัวหมอว่า
การกระทำของฝ่ายชายเป็นความผิดอาญาฐานใด หรือจะผิดทางแพ่ง และฝ่ายหญิงจะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่ อย่างไร ?
ลองคิดหาคำตอบกันเล่นๆ และอธิบายความให้ฟังกันหน่อย...นะครับ !!
..............................
หมายเหตุ ท่านผู้อ่านที่ไปเที่ยวสงกรานต์ ยังไม่ได้อ่าน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๗๗ “ จดหมายถึงแม่วันสงกรานต์” อย่าลืมคลิกไปอ่าน
พลาดไม่ได้เด็ดขาด !