xs
xsm
sm
md
lg

ร่มโพธิ์ร่มไทรในฤดูใบไม้ผลิ

เผยแพร่:   โดย: อาทิตย์ ประสาทกุล

การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลก็ทำให้อารมณ์ความรู้สึกของคนเราเปลี่ยนไปได้เหมือนกัน

ราวสองสัปดาห์่ก่อน ที่เมืองนิวยอร์กมีฝนตกติดต่อกันสองสามวัน คล้ายสัญญาณบอกว่าฤดูหนาวอันเย็นยะเยือกกำลังจะจบสิ้น และฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึงในเร็ววัน กองหิมะที่หมักหมมคลุกฝุ่นอยู่ตามซอกมุมตึกและถนนถูกสายฝนละลายชะล้างทำความสะอาดจนหมดจด พื้นถนนที่เปียกนองด้วยน้ำฝนปนหิมะก็ได้รับแสงแดดจากฟากฟ้าที่ฉายส่องลงมาัปัดเป่าให้แห้งสะอาด

ผู้คนดูเหมือนจะต้อนรับฤดูใหม่นี้ด้วยความยินดี ที่มหาวิทยาลัย ผมเห็นเด็กนักเรียน ครู และพนักงานแต่งตัวกันสวยงามด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใส ที่สวนสาธารณะข้างบ้าน คุณแม่ทั้งหลายต่างพร้อมใจกันพาลูกน้อยออกมาเล่นบ่อทราย และชิงช้าสวรรค์ ที่ทางเดินริมถนนในเมือง ผู้คนเดินกันพลุกพล่าน ขวักไขว่ และบ้างครั้งก็ดูวุ่นวาย

ภาพเช่นนี้เหมือนมดวิ่งกรูออกมาจากรังหลังฝนตกอย่างใดอย่างนั้น ผิดเสียแต่ว่า มนุษย์มดนิวยอร์กเกอร์นีี้่ไม่ได้วิ่งหนีอันตรายดังมดหนีน้ำท่วมรัง ห่างวิ่งกรูกันออกมาหาไออุ่นจากแสงอาทิตย์ที่ไม่ได้พบเจอกันมานานตลอด 3 เดือนกว่าที่ผ่านมา

ส่วนผมเองนั้น ก็เริ่มรู้สึกตัวได้ว่าควรจะออกมาจากตึกเรียนมาสูดบรรยากาศดีๆ แบบนี้้บ้าง ตลอดภาคเรียนที่ผ่านมา ผมได้แต่อุดอู้อยู่ในห้องเรียน ห้องสมุด หรือไม่ก็ห้องคอมพิวเตอร์แทบทั้งวันทั้งคืน ผมอยู่บ้าน เมื่อหัวติดหมอนตัวติดฟูก และอาบน้ำอาบท่าเท่านั้น พอเช้าออกมาก็อยู่โรงเรียนจนถึงตีสองตีสาม จนบางครั้งก็ล่วงเลยไปถึงตีสี่หรือเฉียดตีห้า

ผมรู้สึกว่าวิถีชีวิตของผมเริ่มเอียงกระเท่เร่ เผื่อการตัดสินใจออกมาเจอแสงแดด ในครั้งนี้ จะทำให้กลับไปสู่ความสมดุลอย่างที่เคยเป็นอยู่เมื่อครั้งเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองไทยได้บ้าง

เอียงจนกระทั่งไม่อยากเดินตากหิมะหรือความหนาวออกไปที่ทำการไปรษณีย์ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงเรียนเพียง 4 ถนน เพื่อนำรองเท้ายางแบบเบาที่ตั้งใจซื้อให้คุณยายที่รักเมื่อสักเดือนก่อนไปส่งกลับเมืองไทย

จนเมื่อแดดออกนี่ล่ะ ผมจึงได้ฉุกคิดว่าต้องรีบเอารองเท้าไปส่งให้คุณยายโดยด่วน คุณยายคงรอคอยรองเท้าที่ผมเคยพูดถึงทางโทรศัพท์อยู่แน่ๆ เมื่อคุยกับคุณยายทางโทรศัพท์ครั้งก่อน คุณยายยังเอ่ยถามถึงว่าเมื่อไรคุณยายจะได้ใส่รองเท้าแตะจากหลานสักที

ถ้าถามผมว่าจากบ้านมาเรียนต่อในครั้งนี้ ผมคิดถึงใครมากที่สุด คำตอบก็คงจะเป็นคุณยาย

เทคโนโลยีโทรศัพท์ และอีเมล์ทำให้ผมได้ติดต่อกับคุณพ่อ คุณแม่ และพี่สาวได้ง่าย สะดวก และบ่อยขึ้น แต่นานๆ ครั้งจึงจะได้คุยกับคุณยายทางโทรศัพท์สักที

ผมมักบอกใครต่อใครว่าผมเติบโตมาในครอบครัวที่แม้ไม่อบอุ่น แต่ก็ไม่ถึงกับเย็นยะเยือก ผมมีคุณพ่อที่น่ารัก มีคุณแม่ที่เป็นห่วงเป็นใย แต่ท่านทั้งสองแยกทางกันเมื่อผมเป็นเด็ก ซึ่งผมเข้าใจว่าท่านทั้งสองต่างมีเหตุผลอันเหมาะสม

ในช่วงรอยต่อของชีวิตนี้ นอกจากผมจะมีทั้งคุณพ่อ และคุณแม่ที่ไม่เคยทอดทิ้ง และอยู่กับผมในต่างเวลาต่างวาระกันแล้ว ผมก็มีคุณยายนี่ล่ะที่อยู่ใกล้ๆ เสมอ

ผมชอบผลไม้ไทยทุกประเภท (ยกเว้นทุเรียน ที่เด็กในรุ่นผมเบือนหน้าหนีกันแทบทุกคน) ก็เพราะคุณยายชอบกินผลไม้ และมักปอกให้ผมกินทุกครั้ง นอกจากนี้แล้ว หลังกลับจากโรงเรียนประถมฯ ผมยังนั่งสวดมนต์เสียงดังพร้อมกับคุณยายทุกวัน

คุณยายจะกระเตงผมออกไปไหนข้างนอกด้วยทุกครั้ง รวมทั้งเมื่อคุณยายไปพับผ้าซับแผล (ผ้ากอซ) ที่สภาสังคมสงเคราะห์บนถนนราชวิถี กับคณะฯ นอกจากผมจะพับผ้ากอซสำหรับทหารผ่านศึกเป็นแล้ว ยังติดนิสัยขอบทานน้ำมะตูม ก็เพราะได้ลิ้มลองน้ำมะตูมร้อนแสนชื่นใจที่ทางสภาสังคมสงเคราะห์เขานำมาเสิร์ฟอีกด้วย

ในเวลาหัวค่ำ สองเรายายหลานจะนอนดูข่าวภาคค่ำ และนอนหลับไปพร้อมๆ กันบนเสื่อที่ปูในห้องรับแขก คุณยายสอนผมให้ยกมือไหว้พระพุทธรูป รวมทั้งพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวง และพระราชินีบนจอโทรทัศน์ทุกครั้ง

พอผมอายุ 9 ขวบ ผมต้องอยู่ไกลคุณยายเป็นครั้งแรก เมื่อผมต้องเข้าเรียนในโรงเรียนประจำ ทางโรงเรียนอนุญาตให้กลับบ้านทุก 2 อาทิตย์ คุณพ่อจะเป็นคนไปรับผมที่โรงเรียน แล้วมานอนค้างด้วยกันที่บ้านคุณแม่ในคืนวันเสาร์และวันอาทิตย์ ก่อนพาผมไปส่งกลับเข้าโรงเรียนในเช้าวันจันทร์

การที่ต้องไปกินนอนที่โรงเรียนทำให้ผมได้เจอคุณยายทุกสองสัปดาห์ตามกำหนดการกลับบ้านของโรงเรียน แต่ผมก็ได้คุยกับคุณยายเสมอ เราจะเขียนจดหมายถึงกันและกันทุกครั้งที่ผมเข้าโรงเรียน ผมจะเขียนหาคุณยายในช่วงสัปดาห์แรกที่อยู่โรงเรียนเล่าว่าวันนี้ที่โรงเรียนมีกับข้าวอะไรให้กิน ผลสอบเป็นอย่างไรบ้าง และกิจกรรมที่ทั้งตื่นเต้นและไม่ตื่นเต้นที่ได้ทำที่โรงเรียน คุณยายก็จะตอบกลับมาในช่วงสัปดาห์ที่สอง (ที่กำลังเริ่มคิดถึงบ้านหนัก) เล่าเรื่องทำนองเดียวกัน

จดหมายยายหลานต้องหยุดไปชั่วคราวเมื่อผมเริ่มขึ้นชั้นมัธยมฯ เมื่อผมเริ่มเล่นรักบี้ให้กับโรงเรียนอย่างจริงจัง ต้องซ้อมหนักทั้งเช้าและเย็น แต่ถึงกระนั้น บ่อยครั้งที่คุณยายขนกล้วยน้ำว้าหวีโตมาฝากผมกับเพื่อนๆ ให้บำรุงร่างกายนักกีฬาอย่างพวกเรา

บางครั้งคุณยายก็มารับกลับบ้าน โดยเฉพาะเมื่อทางโรงเรียนเปลี่ยนตารางกลับบ้านเป็นเย็นวันศุกร์ ซึ่งบางครั้งคุณพ่อติดประชุม หรือติดสอนหนังสือ

ผมต้องอยู่ห่างจากคุณยายครั้งที่สองนั้นก็เมื่อทางโรงเรียนส่งให้ผมไปเรียนอยู่ที่โรงเรียนประจำที่อังกฤษเป็นระยะเวลา 1 ปีเต็ม จดหมายยายหลานกลับมาสู่วัฏจักรเดิมอีกครั้ง

สองเรายายหลานได้พบหน้ากันตลอด 4 ปีที่ผมอยู่มหาวิทยาลัย แต่ผมก็ยังมีกิจกรรมที่ทำให้ต้องออกจากบ้านไปเสมอๆ ทั้งซ้อมรักบี้ให้กับมหาวิทยาลัย ทำกิจกรรมให้กับคณะ และไปเที่ยวเ่ล่นตามประสาเด็กหนุ่ม

ก่อนจากกันมาเรียนต่อปริญญาโทในครั้งนี้ ผมมีความสุขกับการที่ได้ท่องเที่ยวเดินทางกับคุณยาย เราไปเที่ยวด้วยกันทั้งในและต่างประเทศตามโอกาส และปัจจัยจะอำนวย เมื่อครั้งคุณลุงจัดทัวร์ไปเมืองจีน ผมก็ได้ลางานไปเข็นรถเข็นให้กับคุณยาย

สามเดือนก่อนผมออกเดินทาง หลังจากเรา (ยาย-ย่า-หลาน –ผมและลูกพี่ลูกน้องหลานย่าฝาแฝด) กลับมาจากไปเยี่ยมพี่สาวลูกพี่ลูกน้องที่สิงคโปร์ คุณยายท้องเสีย และหกล้มลงสะโพกกระแทกพื้นเบาๆ ขณะรีบเดินเข้าไปห้องน้ำ

สามวันต่อมา คุณยายไม่มีแรงเดิน และเดินไม่ได้ พี่เลี้ยงโทรศัพท์ไปบอกผมที่ทำงาน ผมขออนุญาตที่ทำงานกลับบ้านมาดูคุณยาย ผมจำได้ว่า การขึ้นรถไฟฟ้าเที่ยวนั้นเป็นการอยู่บนรถที่รู้สึกว่ายาวนานที่สุด

คุณหมอสองท่านแรกวินิจฉัยว่าคุณยายไม่เป็นอะไร เพียงแค่กล้ามเนื้ออักเสบ รอสักพักก็กล้ามเนื้อก็น่าจะฟื้นคืนตัวเป็นปกติ แต่ชักนานจนน่าสงสัย ทั้งคุณยายเองและผมคะยั้นคะยอให้หมอทำการฉายเอกซเรย์ที่สะโพก

ผลการฉายรังสีออกมาว่าเหตุที่คุณยายเดินไม่ได้นั้น ก็เพราะข้อกระดูกที่สะโพกนั้นหัก ซึ่งเป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในคนสูงอายุ

เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว ใจผมลุกลี้ลุกลนอยากให้คุณยายหายจากอาการป่วย ผมรู้ดีว่าคุณยายชอบพบปะเพื่อนฝูง ชอบคุยกับแม่ค้าที่ตลาด ชอบออกไปทำผม และไม่ชอบอยู่บ้านนานๆ หากคุณยายไม่หาย ผมก็คงจะไปเรียนต่ออย่างไม่มีความสุขอย่างแน่นอน

ผมจึงเลื่อนการเดินทางออกไปนานที่สุดเท่าที่จะนานได้

ผมโชคดีที่มีรุ่นพี่ (และรุ่นพ่อ) ที่โรงเรียนเก่าอย่างคุณหมอสุริยา ณ นคร คุณหมอชนินทร์ ล่ำซำ และได้มีอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างคุณหมออี๊ด ลอประยูร เมื่อเล่นรักบี้ให้กับทีมจุฬาฯ ท่านทั้งสามได้ให้คำแนะนำและกำลังใจอันเป็นประโยชน์ต่อการรักษาอาการป่วยของคุณยายเป็นอย่างมาก

พี่ล่ำ (คุณหมอชนินทร์ ล่ำซำ) ที่อาจารย์ศุภมิตร ปิติพัฒน์ แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ บอกว่าเป็นนักเรียนวชิราวุธฯ ที่เก่งอย่างรอบด้านที่สุด ได้กรุณาแนะนำให้ผมพาคุณยายไปหาคุณหมอกีรติ เจริญชลวานิช คุณหมอกีรติฯ แนะนำให้คุณยายทำการผ่าตัดเปลี่ยนข้อ ซึ่งเป็นเรื่องไม่น่ากลัวโดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวไกลเช่นสมัยนี้ คุณหมอชมว่าคุณยายแข็งแรง และบอกว่ากำลังใจจากลูกหลานนั้นสำคัญที่สุดสำหรับผู้สูงอายุ

สองอาทิตย์ก่อนผมออกเดินทาง คุณยายซึ่งอายุ 86 ปี ต้องเข้าห้องผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนข้อกระดูกสะโพกด้านซ้าย โดยคุณหมอกีรติฯ จะเป็นผู้ทำการผ่าตัดให้

ผมลาที่ทำงานมาเรียนต่อแล้ว แต่ได้เลื่อนการเดินทางออกไป จึงทำให้มีเวลาอยู่กับคุณยายอย่างใกล้ชิด

การผ่าตัดของคุณยายเป็นไปด้วยดี คุณยายฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว จนคุณน้าแซวคุณยายว่า พอผ่าตัดเสร็จคุณยายจะวิ่งได้

คุณยายกลับบ้านก่อนผมออกเดินทางสองวัน ในตอนเช้าก่อนผมออกเดินทาง คุณยายตื่นขึ้นมาส่งผมไม่ทัน แต่ผมเข้าไปกราบลาคุณยายในห้องนอน พี่เลี้ยงเ่ล่าว่าคุณยายดุพี่เลี้ยงเป็นการใหญ่ที่ไม่ยอมปลุกให้คุณยายเสียเนิ่นๆ จะได้เตรียมตัวออกมาส่งผมหน้าประตูตามที่เคยทำประจำเมื่อผมจะต้องเดินทาง

ผมเดินทางมาถึงที่โรงเรียนหนึ่งคืนก่อนโรงเรียนเปิดในเช้าวันรุ่งขึ้น

เมื่อคืนผมคุยกับคุณยายทางโทรศัพท์ คุณยายเล่าว่าตอนนี้คุณยายเดินได้คล่อง และออกกำลังกายทุกเช้าโดยเดินรอบสนามวันละ 4 รอบ บางครั้งก็ออกไปดูละครคณะเสรีหวังในธรรมที่โรงละครแห่งชาติบ้าง และกำลังจะพยายามลดความอ้วนจาก 62 กิโลกรัม ให้เหลือ 58 กิโลฯ ตอนนี้คุณยายลดได้ 59 กิโลฯ แล้ว พร้อมถามว่าผมจะกลับไปเยี่่ยมบ้านเมื่อไร

ผมดีใจมากที่ได้ยินว่าคุณยายกลับมาแข็งแรง และอารมณ์ดีเหมือนอย่างเคย

อากาศที่อุ่นขึ้นในมหานครนิวยอร์ก ทำให้ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอยากออกเดินทางไปส่งรองเท้าให้คุณยายที่ไปรษณีย์ฯ ตัวผมนั้นรู้สึกไม่ชอบฤดูหนาวที่บรรยากาศมืดๆ มัวๆ เอาเสียเลย อากาศแบบนี้ทำให้ใจผมหงอยเหงาเศร้าสร้อยอยู่บ่อยๆ

ระหว่างทางไปไปรษณีย์ ผมต้องเดินผ่านโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ข้างมหาวิทยาลัยพอดี

ท่ามกลางแสงจ้าของดวงอาทิตย์ ผู้สูงอายุซึ่งเป็นคุณยายของใครหลายๆ คนต่างออกมากันอาบไออุ่นหน้าตึกพักในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสเช่นนี้ คุณยายเหล่านี้นั่งอยู่บนรถเข็นพร้อมกับคนดูแล แต่ผมเห็นแล้ว ดูบรรยากาศเหงาๆ อย่างไรบอกไม่ถูก

ผมรู้สึกทันทีว่าโชคดีและภูมิใจมากที่เกิดเป็นคนไทย ที่ได้เติบโตมาพร้อมกับครอบครัวที่มีปู่ย่าตายาย เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลาน

--ผมขอนำบทกลอนบทนี้ฝากท่านผู้อ่าน คุณยายเคยให้แผ่นกระดาษที่พิมพ์บทกลอนบทนี้ให้เมื่อครั้งเข้ามหาวิทยาลัยปีแรก ผมนำไปติดไว้ในห้องบนข้างฝา แล้วหมั่นเตือนตัวเองให้อ่านและจดจำอยู่เสมอ ผมขออนุญาตผู้ประพันธ์ (ซึ่งไม่ปรากฏนาม) นำมาเผยแพร่มา ณ ที่นี้ด้วย

                    พ่อแก่ แม่เฒ่า

พ่อแม่ ก็แก่เฒ่า            จำจากเจ้าไม่อยู่นาน
จะพบ จะพ้องพาน          เพียงเสี้ยววารของคืนวัน

ใจจริง ไม่อยากจาก        เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน
แต่ชีพ มิทนทาน            ย่อมร้าวรานสลายไป

ขอเถิด ถ้าสงสาร           อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ
คนแก่ ชะแรวัย              คิดเผลอไผลเป็นแน่นอน

ไม่รัก ก็ไม่ว่า                 เพียงเมตตาช่วยอาทร
ให้กิน และให้นอน           คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ

เมื่อยาม เจ้าโกรธขึ้ง         ให้นึกถึงเมื่อเยาว์วัย
ร้องไห้ ยามป่วยไข้          ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน

เฝ้าเลี้ยง จนโตใหญ่          แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวังเพียง จะได้ผล            เติบโตจนสง่างาม

ขอโทษ ถ้าทำผิด             ขอให้คิดทุกทุกยาม
ใจแท้ มีแต่ความ              หวังติดตามช่วยอวยชัย

ต้นไม้ ที่ใกล้ฝั่ง                มีหรือหวังอยู่นานได้
วันหนึ่ง คงล้มไป              ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง
กำลังโหลดความคิดเห็น