เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว ได้มีโอกาสฟังรายการ “พลังชีวิต” ของ อสมท.
เอฟ.เอ็ม. ๑๐๐.๕ ตอนตีห้า ดำเนินรายการโดย คุณ อมร บรรจง เป็นรายการสุขภาพที่น่าสนใจมาก ผมเป็นแฟนรายการนี้เลยทีเดียว ด้วยว่าตนเองนั้น มีอายุแล้ว เป็นห่วงสุขภาพ อยากให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเท่าที่จะทำได้ จึงยังเล่นออกกำลังยกลูกเหล็ก เล่นสควอช ต่อยปั๊นชิ่งบอล วันไหนคึกขึ้นมาก็ลงนวมเบาๆกับลูกศิษย์ เข้าสนามยิงปืนบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อไม่ให้มันเรื้อจนเกินไป ทำให้สุขภาพแข็งแรงพอใช้ได้ แต่ไม่ถึงกับไปลงสนามรักบี้ตะลุมบอนแบบเก่า
จึงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาแผ้วพาล แม้แต่หวัดโรคสามัญ ก็ไม่ได้มาเยี่ยมผมหลายสิบปีแล้ว เคยเล่าให้แฟนคอลัมน์ฟังว่า หลักโภชนาการของผมเป็นอย่างไร จึงป้องกันหวัดได้ชะงัดนัก ลองย้อนไปอ่านดูกัน
ทุกวันนี้ ไม่ได้คิดว่าตนเป็นคนอายุมาก และยังใฝ่หาความรู้อย่างสม่ำเสมอ เหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ที่ทำอย่างนั้นก็เพราะว่า ไม่อยากเป็นคนแก่แบบที่ พระเดชพระคุณ พระราชวิจิตรปฏิภาณ วัดสุทัศน์ฯ ท่านใช้คำโบราณเทศน์สอนพุทธบริษัทที่สูงอายุว่า อย่าเป็นคนแก่แบบ
"แก่แดด แก่ฟัก แก่แฟง แก่แตง แก่น้ำเต้า
แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน"
เจ้าคุณท่านว่า ใครแก่แบบนี้ จะอยู่กับใครเขายาก !
คนแก่แล้วร่างกายไม่สมบูรณ์ ส่วนใหญ่ก็จะมีปัญหาเรื่องความเจ็บไข้โรคภัยเบียดเบียน ต้องเป็นภาระของลูกหลาน ซึ่งผมเคยเขียนถึงการดูแลผู้เจ็บป่วยระยะสุดท้าย ก่อนท่านพุทธทาสจะละสังขาร ซึ่งผมได้แสดงความห่วงใยในเรื่องการดูแลผู้ป่วย และผู้สูงอายุเอาไว้ โดยได้ถอดจากบทความที่ตัวเอง ที่เขียนลงในสยามรัฐ เมื่อกว่าสิบปีมาแล้ว เอามาไว้ใน กาแฟขม...ขนมหวาน (ตอนที่ ๓๔) แต่ก็ยังไม่ล้าสมัย เชื่อว่ายังให้ข้อคิดต่อผู้เป็นแพทย์และนักกฎหมายได้ดีอยู่ และอยากให้ผู้ที่สูงอายุแล้ว ลองอ่านดูกัน อาจเป็นประโยชน์กับท่านก็ได้
เมื่อเร็วๆนี้ ได้ฟังรายการของ บี.บี.ซี.เกี่ยวกับคนชราในประเทศต่างๆ เช่น
ฝรั่งเศสคนอายุเกิน ๗๕ มีจำนวนถึง ๔ ล้านคน แต่การดูแลคนชราเขาดีมาก เพราะมีบ้านพักในระดับที่ผู้เข้าไปอยู่พอใจ คนอิตาเลียนซึ่งมักพักเป็นครอบครัวใหญ่ปัจจุบันต้องจ้างคนรัสเซียข้ามประเทศมาดูแล แล้วจ่ายเงินในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดือนละ ๘๐๐ ยูโร ซึ่งมากกว่าคนไทยที่ไปรับจ้างเป็นแม่บ้าน หรือดูแลคนชราในฮ่องกง สิงคโปร์ เพียงเล็กน้อย
คนแก่บางชาติที่มีสงครามกลางเมือง อย่างประเทศ ‘อูกันดา’ ต้องเครียดเพราะต้องเลี้ยงเด็กกำพร้าจากสงครามกลางเมือง ซึ่งเป็นหลานของพวกตน ที่พ่อแม่ตายเพราะโรคเอดส์ และสงครามกลางเมือง คุณภาพชีวิตก็ไม่ดีอย่างยิ่ง
เรื่องการดูแลคนชราหรือผู้สูงอายุในบ้านเรานั้น ผมไม่ได้ศึกษาในเรื่องนี้มากนัก แต่ที่แน่ๆก็คือ จำนวนผู้สูงอายุนับวันจะมากขึ้น เพราะคนไทยอายุยืนยาวกว่าเดิม
เคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่า เวลานี้ในบางภาคของบ้านเรา คนแก่ต้องดูแลหลาน เพราะพ่อแม่ของเด็กที่เป็นลูกหลานของตัว ต้องมีภาระเพิ่มขึ้น ใครที่ดูโทรทัศน์ช่อง ๗ เขามีรายการระหว่างข่าวภาคค่ำ จะมีเรื่องความยากลำบากของผู้คนสูงวัย มานำเสนอให้ผู้ชมได้รับรู้รับทราบกัน เพื่อให้ผู้ใจบุญได้ช่วยเหลือกัน ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องดีมาก ใครมีเงินเหลือใช้ต้องทำบุญกันอย่างนี้ กุศลจะดลบันดาลให้ท่านมีความสุข มีลูกหลานแวดล้อมยามตัวแก่เฒ่าลง ซึ่งเวลานี้ความเป็นครอบครัวที่อบอุ่นแบบโบราณ อย่างสมัยผู้คนส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาคเกษตรกรรม น้อยลงทุกที
คนเรานั้นถ้าไม่รีบตายไปเสียก่อน ความชราต้องมาเยือนจนได้ ท่านอาจารย์ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกสื่อมวลชนตั้งฉายาว่า “เฒ่าสารพัดพิษ” แล้วพูดถึงท่านในลักษณะเรียกแบบ “จิก” ว่าเฒ่าอย่างโน้น ตาเฒ่าอย่างนี้ ตามสันดานสื่อบ้านเรา ท่านอาจารย์ใช้คำพูดที่ผมไม่ลืมเลยว่า
“ใครจะเรียกผมเฒ่าสารพัดพิษบ้าง ไอ้แก่บ้าง ก็ช่างหัวมัน พวกมันไม่แก่บ้าง ให้มันรู้ไป ! ”
ไม่กี่วันนี้ ผมคุยกับคุณนพพร บุณยะฤทธิ์ อดีต บก.สยามรัฐ และชาวกรุง ท่านบอกว่า ตอนนี้บรรดาคนที่ต่อว่าท่านอาจารย์ และตั้งฉายาให้เป็น “เฒ่าสารพัดพิษ” นั้นต่างก็เริ่มแก่ตัวกันหมด บางคนต้องเข้าออกโรงพยาบาลหลายครั้ง เข้าไอ.ซี.ยู.เพราะใกล้ตายก็มี
อดีต บอ.กอ. และนักเขียนใหญ่อย่างคุณนพพรฯท่านนี้ เคยพระเอกละครเรื่องสุดฟากฟ้าบนเวทีใหญ่ และละครโทรทัศน์อีกหลายเรื่อง ตอนนี้อยู่ในวัย ๗๘ ปี แล้ว ยังแข็งแรง ขับรถเองได้ ยังดื่มไวน์ได้ปริมาณคงเส้นคงวา ความจำดีกว่าผมเสียด้วยซ้ำไป
คำว่า เฒ่าสารพัดพิษ นั้น ที่ใช้เรียกท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ฯนั้น มาจากหนังจีนทางโทรทัศน์ยุคนั้น ผมว่าน่าจะหมายถึง ผู้สูงอายุที่เต็มไปด้วยความรู้และสติปัญญา ตลอดจนรู้รอบเจนจบในเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายต่างๆ สามารถใช้เป็นเครื่องมือโต้ตอบผู้คนได้ โดยไม่ต้องใช้กำลังด้วยซ้ำ ซึ่งดีกว่าให้ผู้คนเขาเรียก เฒ่าหัวงู เขาใช้รียกคนที่เป็นผู้ใหญ่ แต่มักมากในกาม ชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็กๆ อย่างนักการเมืองที่เป็นข่าวต้องติดตะราง เพราะชำเราเด็กอายุน้อย คำนี้บางทีใช้เป็นคำด่าทอคนแก่เจ้าเล่ห์ ที่ใช้อุบายหลอกลวงเด็กผู้หญิง
นอกจากนั้นก็ยังมี เฒ่าทารก คือคนแก่ที่ทำตัวเป็นเด็กๆ คิกขุอะโนเนะ ขี้อ้อน ขี้งอนให้ผู้คนเขารังเกียจเล่น
สุขภาพนั้นเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกผู้นาม ยิ่งแก่ตัวไป สุขภาพดี ก็เป็นบุญของลูกหลาน ถ้าทั้งสุขภาพดีและความจำดีด้วย ยิ่งประเสริฐ เพราะสุขภาพดีแต่ความจำไม่ดี บางทีอาจเป็นเหมือนเรื่องชวนหัว ที่เขาเล่ากันมานมนานแล้ว ว่า
ตำรวจสายตรวจรายหนึ่ง ไปพบผู้สูงอายุท่านหนึ่ง แต่งกายดี ท่าทางยังแข็งแรง นั่งอยู่ริมชายหาดคนเดียว มีเหล้าเปิดค้างอยู่ครึ่งขวด นั่งน้ำตาซึม ตำรวจหนุ่มเข้าไปทัก ว่า
“คุณปู่ เก่งนะครับ ทานเหล้าคนเดียวครึ่งขวด ยังไม่เมาเลย”
“ก็เพิ่ง...ขวดที่สองเองนี่” คุณปู่ตอบ
“โอ้โฮ หมดไปขวดครึ่งแล้วหรือครับนี่...โทษนะครับ คุณปู่อายุเท่าไหร่ปีนี้ ?” สายตรวจอุทานถาม
“สามปีที่แล้วอายุเก้าสิบ ปีนี้เท่าไหร่ คิดเอาเอง” แน่ะ...ตอบดีซะด้วย
“แล้วทำไม คุณปู่มานั่งเศร้าอยู่คนเดียว ครับเนี่ยะ ?” โปลิสหนุ่มถามอีกด้วยความห่วงใย
“ก็ฉันคิดถึงเมีย เพราะเพิ่งแต่งงาน กับผู้หญิงอายุยี่สิบเอ็ดได้แค่สองเดือน” คุณปู่ทำเสียงละห้อย ก่อนพูดต่อว่า
“ เธอน่ารักมาก นิสัยดี การบ้านการเรือนเก่ง แถมยังสวยแบบจับคุณปุ๋ยพรทิพย์กับคุณปุ๊กอาภัสราตอนสาวๆ มารวมกันแล้วหารสอง ยังไงยังงั้นเลย และเธอก็เอาใจฉันดีเหลือเกิน....” คุณปู่หยุดสะอื้นเล็กๆ
“เธอทิ้งคุณปู่ไปหรือยังไงครับ เลยต้องมานั่งดริ้งค์อยู่คนเดียวอยู่นี่?” ความสงสารพุ่งขึ้นมาจับหัวใจตำรวจหนุ่ม
“เปล่ายังอยู่ด้วยกัน รักกันดีด้วย เมื่อเช้านี้ ‘จุ๊บ’ กันก่อนปู่ขับรถออกจากบ้านเลย” ผู้สูงอายุตอบเรียบๆ
“อ้าว...แล้วมานั่งน้ำตาซึม...ทำไมครับ ?” คนหนุ่มถามฉงน ก่อนที่ตัวเองจะได้ยินเสียงคุณปู่สวนกลับแผ่วเบา ว่า
“ก็ฉันจำทางกลับบ้านไม่ได้ เลยต้องจอดรถกินเหล้า ทวนความจำอยู่นี่งัยล่ะ !”
เห็นมั้ย...ความจำมันสำคัญ อย่างนี้ !!
อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล่นๆเชียวนา ใครที่ฟัง จ.ส.๑๐๐ บ่อยๆ จะได้ยินคนที่เป็นลูกหลานโทรไปให้ผู้ดำเนินรายการ ช่วยตามหาพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เดินออกจากบ้านแล้วหายไปเฉยๆ บางคนบ้านอยู่ปักษ์ใต้ แต่ขายบ้านเก่าทิ้งไปนานแล้ว มาอยู่กรุงเทพกับลูกหลาน ครั้นอายุมากความจำเสื่อม พอสัญญาหรือความทรงจำเก่าบางอย่าง ‘แวบ’ เข้ามา ท่านต้องไปสถานีรถไฟหัวลำโพง เพื่อจะซื้อตั๋วกลับปักษ์ใต้ จนลูกหลานรู้แกว พอหายตัวไปปุ๊บ คนที่บ้านต้องวิ่งไปดักที่หัวลำโพง อย่างนี้ก็มี
ความจำเสื่อม นั้น เป็นเรื่องของสังขารและโรคภัยไช้เจ็บ ผมว่า ยังไม่เท่าคนแก่ที่มีกิเลสความลุ่มหลงตัวเอง โทสะและโมหะจริตที่เป็นเจ้าเรือน นั่นร้ายกาจนัก เพราะลูกหลานรังเกียจไม่อยากเข้าใกล้
แม้กระทั่งนักบวชชรา ที่ผู้คนเคยคิดว่า มีศึลาจารวัตรดี พากันยกย่องกราบไหว้บูชา พอเจ้าตัวเลอะเลือนเลื่อนเปื้อน วางเขื่องเหนือมนุษย์ กลายเป็นเทวดา พูดจาหยาบคายฟังไม่ได้ จะเรียกว่าเป็น เฒ่าทารก ก็ใช่ที่
คนที่เคยนับถือเขาเห็นว่า เมื่อกลับกลายเป็นคนก้าวร้าว ศรัทธาก็หดลดถดถอย ต่างพากันเบือนหน้าหนี ไม่อยากไปมาหาสู่เหมือนเดิม
บางคนบอกว่าเป็นเพราะกรรมเก่า ส่วนผู้คนที่ไม่ศรัทธาอยู่แล้ว ขยะแขยงความประพฤติ กลายชังน้ำหน้า เรียกส่งเป็น ผีบุญ ไปเลย อย่างนี้ก็มี
น่าสงสาร...น่าสมเพชเวทนา เอามากๆทีเดียว !
ตอนนี้ผู้คนกำลังพูดคุยถึงเรื่อง คุณปู่ เย็น แก้วมะณี ผู้มีวัยสูงถึง ๑๐๕ ปี ที่ได้รับพระมหากรุณาคุณ พระราชทานเรือลำใหม่ ที่มีหลังคากันแดดฝนให้ ตอนนี้เข้าใจว่าอาจต่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากมีภาพมาลงในหนังสือพิมพ์บ้างก็จะดี เพราะผมเองอยากเห็นว่า คุณปู่จะจัดที่อยู่ในเรือลำใหม่อย่างไร ?
สำหรับท่านผู้อ่านที่อยู่ต่างประเทศ อาจยังไม่ทราบว่า คุณปู่เย็นนั้น สร้างความฮือฮาให้กับคนทั้งประเทศ จากรายการ "คน ค้น ฅน" อันโด่งดังทางโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี ยุค ผอ.มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เรียกคนดูได้ทั้งบ้านทั้งเมือง ชนิดช่องอื่นจัดรายการมาชน เป็นพังพาบราบคาบไปทุกรายไป

"คน ค้น ฅน" รายการดีที่โด่งดัง ได้นำเสนอการใช้ชีวิตของคุณปู่เย็น คนเมืองเพชรบุรี โดยให้ชื่อตอนว่า "ปู่เย็น เฒ่าทระนง !" ที่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ไม่พึ่งพาใคร จับปลาจากแม่น้ำเพชรบุรี หาเลี้ยงชีพตนเอง และใช้ชีวิตประจำวันอยู่ในเรือเกินกว่ายี่สิบปี นับแต่ภริยาถึงแก่กรรม ปลาที่จับได้ก็นำไปขายที่ตลาดทุกวัน ใครให้ของกินฟรีก็ไม่ยอม ซื้อหาเอาเอง เพราะไม่ต้องการพึ่งใคร แต่ก็เป็นคนมีน้ำใจ
การจับปลาของปู่ก็เป็นวิธีการดั้งเดิม คือท่านจะปักและกู้อวนในแม่น้ำ การกู้อวนก็ทำวันละสองครั้ง คือรอบแรกกู้ตอนประมาณสามทุ่ม แล้วตื่นมากู้อีกครั้งหนึ่งตอนตีสี่ จากนั้นในตอนเช้าจะนำปลาไปขาย คุณปู่ต้องการหาเงินให้ครบหนึ่งหมื่นบาท ถึงวันออกโทรทัศน์ ตอนนี้ยังขาดอีกสามพัน
ปู่บอกว่า ที่ต้องหาให้ครบเพื่อเป็นเงินสำรองเลี้ยงชีพ เมื่อได้ครบแล้ว จึงจะหยุดหาปลาขึ้นฝั่งกันเสียที
เมื่อรายการโทรทัศน์แพร่ภาพ ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ สมเด็จพระนางเจ้าฯ จึงทรงมีพระมหากรุณา โปรดเกล้าฯให้คุณ ประสงค์ พิทูรกิจจา ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี และ คุณหญิง สงวนศรี พิทูรกิจจา นายกเหล่ากาชาดจังหวัด ไปดูแล
ท่านผู้ว่าและคุณหญิง นำเครื่องยังชีพพระราชทานไปมอบให้คุณปู่เย็น ที่ท่าน้ำศาลากลางบ้านคามวาสี ใกล้สะพานใหญ่ หน้าวัดมหาธาตุวรวิหาร พร้อมสอบถามถึงความเป็นอยู่สุขภาพ และความต้องการ ระหว่างการสนทนาดำเนินไปขณะที่คุณปู่เย็นยังคงนั่งโต้ตอบอยู่ในเรือ ท่านผู้ว่าบอกว่า
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ดูแลปู่เย็นเป็นกรณีพิเศษตลอดจนมีพระราชประสงค์ พระราชทานเรือลำใหม่ที่มีหลังคากันแดดกันฝนได้
คุณปู่นั้น ตอนแรกก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ต่อเมื่อได้ยืนยัน คุณปู่เย็นยังกล่าวแบบเกรงใจว่า
"เรือแพอย่ากวนใจท่านเลยมันลำบาก คนแก่ไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน ปีหน้าก็ตายแล้ว"
จนต้องคะยั้นคะยอให้รับเรืออยู่หลายครั้ง คุณปู่เย็นถึงได้ตกปากลงคำว่าจะรับเรือรับปาก และหัวเราะต่อท้ายก่อนพูดว่า
"กูไม่ตายแล้ว ใจมันกว้าง (ปลื้มใจ) จะอยู่ไปถึงร้อยสิบปี"
พูดจบกอดพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถไว้แนบอก และบอกว่าจะนำไปใส่กรอบไว้กราบไหว้
อยากให้สังเกตว่า คุณปู่เย็นกับคุณยายไฮนั้น พอรู้ว่าจะเป็นเรื่องไปกวนเบื้องพระยุคลบาท ต่างก็ปฏิเสธทันควัน อย่างที่ผมเขียนไว้ใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๓๔ “High Hopes ของ ‘ยายไฮ’ กับประธานาธิบดี ‘จอห์น เอฟ เคนเนดี’ ความเหมือนที่ต่างแตก. !” ดังนี้.......
ความประทับใจของผู้คนที่มีต่อคุณยายไฮมากนั้น ก็ตรงที่คุณสรยุทธฯถามว่า
“ทำไมยายไม่ไปทูลเกล้าถวายฎีกา เหมือนคนอื่นเขาล่ะ ?
คุณยายกลับตอบอย่างไม่มีใครนึกถึง ว่า
“ไม่อยากไปรบกวนในหลวง ท่านมีงานเยอะแล้ว เรื่องแค่นี้ยายทำของยายเองได้ !”
นี่คือสันดานของคนไทยแท้ๆ ที่รักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ อะไรก็ตาม ที่จะไประคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท นั้น
เขาไม่ทำกัน !
ปู่เย็นนั้น ท่านเป็นลูกเมืองเพขร เป็นมุสะลิมะ คือผู้นับถือศาสนาอิสลาม บิดาชื่อ
นายสุข แก้วมะณี มารดาชื่อ นางชม แก้วมะณี อาศัยอยู่บ้าน ตามทะเบียนราษฆร์ ๒๗๔/๔ ถนนมาตยาวงศ์ ต.ท่าราบ อ.เมือง จ.เพชรบุรี เดิมเป็นคาวบอยเลี้ยงวัว ซึ่งเป็นอาชีพสำคัญของไทยมุสลิมละแวกนั้น มีภรรยาชื่อนางเอิบ แก้วมะณี เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๑๖ มีนามคม ๒๕๓๖ พอภริยาเสียชีวิต ท่านก็ใช้ชีวิตอยู่ในเรือมาตลอด หากินด้วยตัวเองไม่ยอมเป็นภาระใคร เหมือนยายไฮอีกเหมือนกัน
ปู่เย็นได้ปฏิบัติตามแนวทางของพระองค์ อัลลอฮ์ ตะอาลา ที่เผยแพร่พระวจนะโดยท่าน นะบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดำรงชีวิตอย่างสงบ สันติ ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ไม่เป็นภาระกับผู้ใด ถึงวันศุกร์ก็ไปสุเหร่า ประกอบศานกิจตามแนวทางอิสลาม เยี่ยงศาสนิกที่ดี
แม้คุณปู่เย็นกับคุณยายไฮ คนละศาสนา ต่างเพศกัน อยู่กันคนละทิศ แต่เป็นคนไทยที่รักในหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯเหมือนกัน เฉกเช่นเดียวกับคนไทยทั้งหลาย
การที่รายการ "คน ค้น ฅน" เขาให้ชื่อรายการว่า"ปู่เย็น เฒ่าทระนง" นั้น เป็นชื่อที่โดนใจผู้คนมากๆ เพราะคำว่า
ทระนง อ่านว่า (ทอ-ระ-นง) ตรงกับคำว่า ทะนง แปลว่า ถือตัว,หยิ่งในเกียรติของตัว ทะนงตัว เป็นกริยา แปลว่า ถือดีในตัว ทะนงศักดิ์ หมายถึง ถือดีในอำนาจของตัวหยิ่งเกียรติของตน
เกียรติ มีความหมายถึง ชื่อเสียง, ความยกย่องนับถือ, ความมีหน้ามีตา
เกียรติยศ คือเกียรติโดยฐานะตำแหน่งหน้าที่หรือชาติชั้นวรรณะ
เกียรติศักดิ์ แปลว่า เกียรติ, เกียรติตามฐานะของแต่ละบุคคล เป็นคำเดียวกับคำว่า“ศักดิ์ศรี” เช่นประพฤติตนไม่สมศักดิ์ศรี
ล้นเกล้า รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ เอาไว้ ว่า
“เกียรติศักดิ์รักข้าฯ มอบไว้ แก่ตัว” ซึ่งมาจากโคลงฝรั่งเศส ที่นักเรียนเตรียมทหารทุกคนรู้จักดี เพราะเขาเขียนติดเอาไว้ที่ตึกเรียนทั้งฝรั่งเศส และบทพระราชนิพนธ์ภาษาไทยที่ขึ้นต้อนว่า “มโนมอบพระผู้ เสวยสวรรค์...” นั่นแหละครับ
เกียรติ จึงสมบัติส่วนตัวโดยแท้ !
สำหรับ ศักดิ์ศรี ที่พจนานุกรมแปลว่าเกียรติศักดิ์ ศาสนาฝ่ายเทวนิยมเชื่อว่าเป็นเรื่องที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ กับ เกียรติศักดิ์ของความเป็นมนุษย์นั้น เหมือนกัน
ในศาสนาคริสต์ จะพูดเรื่องของศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ที่ใครจะลบหลู่กันไม่ได้ ค่อนข้างมาก ลองดูตัวอย่างจาก คำประกาศของ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นคริสเตียน บอกว่า
เราเป็นคริสตชน เราถือว่าคนเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงสร้าง และทรงรักเรา จึงให้ความ
สำคัญแก่คนก่อนทรัพยากรอื่นๆ พระเจ้าได้โปรดประทานให้คนมีศักยภาพที่เป็นคุณประโยชน์ทั้งปวง ที่จะผดุงศักดิ์ศรีแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าไว้ เราจะเคารพในเกียรติ ศักดิ์ศรี เอกลักษณ์ และคุณค่าอันแท้จริงของแต่ละบุคคล และเราจะดำเนินการโดยกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง และต่อเนื่องในการดำเนินพันธกิจในรูปแบบต่างๆ.....
ส่วนฝ่ายคอทอลิคนั้น ลองดูอย่าง คณะภคินีศรีชุมพาบาล เป็นองค์กรเอกชน ของคณะนักบวชหญิงนานาชาติ อยู่ที่ดินแดงนี่เอง เป็นองค์กรที่เงียบๆ แต่ทำประโยชน์ให้ผู้คนในประเทศไทยมากมายมาอย่างยาวนาน ได้กำหนดหน้าที่การทำงานชัดเจน ว่า
ทำงานกับสตรีและเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ซึ่งอยู่ชายขอบของสังคม มีพันธกิจในด้านการเสริมสร้างคุณภาพชีวิต ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของสตรีและเด็ก โดยส่งเสริมการศึกษา ฝึกวิชาชีพ เพื่อเขาสามารถช่วยเหลือตนเองได้ มีบริการให้คำปรึกษา และป้องกันชีวิต
ทั้งคุณปู่เย็น และคุณยายไฮ นั้น เป็นผู้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ และทระนงองอาจอย่างยิ่ง ในสายตาของผมและอีกหลายคน
ต้องขอยกมือคารวะท่านทั้งสอง อย่างจริงใจ
พระเจ้าทรงรักเรา ท่านสอนให้เรารักเพื่อนบ้าน รักแม้กระทั่งศัตรู ซึ่งเหมือนกันทุกศาสนา และพระพุทธศาสนานั้น เน้นในหลักเมตตา กรุณา เช่นเดียวกับศาสนาอื่นๆ
การอยู่ในบ้านนี้เมืองนี้ ร่มเย็นมาได้ ก็เพราะแม้จะแตกต่างในความเป็นศาสนิก แต่คนทุกศาสนาในประเทศของเราต่างเอื้อเฟื้อ ห่วงหาอาทรกันและกัน บ้านเมืองจึงสืบสันติสุขมาได้
ฉะนั้น ใครจะมาทำให้เราแตกแยกกัน
ยอมไม่ได้โดยเด็ดขาด !
ลูกน้องฝีมือดีของของผมคนหนึ่ง วิเคราะห์ให้ฟังว่า คุณปู่เย็นนั้น ต้องรักภริยาของท่านคือคุณย่า เอิบ แก้วมะณี ที่สูญเสียชีวิตไปมาก เพราะดูจากข่าวแล้ว พอคุณย่าเอิบถึงแก่กรรม คุณปู่ก็ลงเรือหาปลา ไม่นอนบนบกเว้นแต่หน้าฝน เขาอธิบายราวกับว่า ตนเองเป็นจิตแพทย์หรือนักจิตสิทยาเอก ให้ผมฟังอย่างคล่องแคล่ว ว่า
คนที่รักกันนั้น....
หากใครคนหนึ่งถึงแก่กรรม เช่นฝ่ายภริยาตายไปก่อน ฝ่ายชายจะไม่อยากอยู่ในบ้าน เพราะดูไปข้างไหน ก็เห็นแต่ภาพเธอที่เคยนั่งมุมโน้น มุมนี้ ของบ้าน
มองไปในครัวก็เห็นภาพเธอตำน้ำพริก เดินเข้าห้องนอนก็เห็นเธอนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง จะดูที่ต้นมะม่วงหน้าบ้าน ก็เห็นภาพเหวานใจของตัว นั่งถักนิตติ้งอยู่ที่โคนต้น เรียกว่า...มองไปข้างไหนก็เห็นแต่เธอ...เธอ...แล้วก็เธอ...
.... “เธอ เธอ เธอ เท่านั้น ที่จิตใจฉันยังมั่นรักเธอ !” ....
เหมือนอย่างที่เพลง สุนทราภรณ์ เขาว่าเลยทีเดียว ....
อย่างนี้ขืนอยู่ในบ้านก็คงหดหู่ หงอยเหงา เศร้าสร้อย ในที่สุดก็กลายเป็นโรคซึมเศร้าไปจนได้ นี่เองที่คุณปู่เย็นเลยต้องลงเรือ ไม่อยากอยู่บ้านเพราะจะทรมานใจ และเป็นทุกข์อย่างที่ว่า น่าจะนำมาปรับในกรณีของคุณปู่ได้
ผมฟังแล้วก็ทำอือๆออๆ ไปอย่างนั้น แล้วบอกว่าช่างวิเคราะห์ และตีความได้เก่ง สมกับเป็นมือข่าวที่โดดเด่นมาก่อน แต่ผมก็ถามต่อไปอีกนิดหนึ่ง ตามประสาคนปากไว ว่า
“แล้วอย่างเอ็งนี่ ถ้าเมียตายไป จะลงเรืออย่างปู่เย็นไหม !?”
คนช่างวิเคราะห์ ตอบหน้าตาเฉย ว่า
“ถ้ามีสาวสวยๆ ลงไปช่วยหุงหาอาหาร จัดที่หลับปรับที่นอนสปริงในเรือให้.......ผมก็ลง...แน่ครับ !! ”
..................
เอฟ.เอ็ม. ๑๐๐.๕ ตอนตีห้า ดำเนินรายการโดย คุณ อมร บรรจง เป็นรายการสุขภาพที่น่าสนใจมาก ผมเป็นแฟนรายการนี้เลยทีเดียว ด้วยว่าตนเองนั้น มีอายุแล้ว เป็นห่วงสุขภาพ อยากให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเท่าที่จะทำได้ จึงยังเล่นออกกำลังยกลูกเหล็ก เล่นสควอช ต่อยปั๊นชิ่งบอล วันไหนคึกขึ้นมาก็ลงนวมเบาๆกับลูกศิษย์ เข้าสนามยิงปืนบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อไม่ให้มันเรื้อจนเกินไป ทำให้สุขภาพแข็งแรงพอใช้ได้ แต่ไม่ถึงกับไปลงสนามรักบี้ตะลุมบอนแบบเก่า
จึงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาแผ้วพาล แม้แต่หวัดโรคสามัญ ก็ไม่ได้มาเยี่ยมผมหลายสิบปีแล้ว เคยเล่าให้แฟนคอลัมน์ฟังว่า หลักโภชนาการของผมเป็นอย่างไร จึงป้องกันหวัดได้ชะงัดนัก ลองย้อนไปอ่านดูกัน
ทุกวันนี้ ไม่ได้คิดว่าตนเป็นคนอายุมาก และยังใฝ่หาความรู้อย่างสม่ำเสมอ เหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ที่ทำอย่างนั้นก็เพราะว่า ไม่อยากเป็นคนแก่แบบที่ พระเดชพระคุณ พระราชวิจิตรปฏิภาณ วัดสุทัศน์ฯ ท่านใช้คำโบราณเทศน์สอนพุทธบริษัทที่สูงอายุว่า อย่าเป็นคนแก่แบบ
"แก่แดด แก่ฟัก แก่แฟง แก่แตง แก่น้ำเต้า
แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน"
เจ้าคุณท่านว่า ใครแก่แบบนี้ จะอยู่กับใครเขายาก !
คนแก่แล้วร่างกายไม่สมบูรณ์ ส่วนใหญ่ก็จะมีปัญหาเรื่องความเจ็บไข้โรคภัยเบียดเบียน ต้องเป็นภาระของลูกหลาน ซึ่งผมเคยเขียนถึงการดูแลผู้เจ็บป่วยระยะสุดท้าย ก่อนท่านพุทธทาสจะละสังขาร ซึ่งผมได้แสดงความห่วงใยในเรื่องการดูแลผู้ป่วย และผู้สูงอายุเอาไว้ โดยได้ถอดจากบทความที่ตัวเอง ที่เขียนลงในสยามรัฐ เมื่อกว่าสิบปีมาแล้ว เอามาไว้ใน กาแฟขม...ขนมหวาน (ตอนที่ ๓๔) แต่ก็ยังไม่ล้าสมัย เชื่อว่ายังให้ข้อคิดต่อผู้เป็นแพทย์และนักกฎหมายได้ดีอยู่ และอยากให้ผู้ที่สูงอายุแล้ว ลองอ่านดูกัน อาจเป็นประโยชน์กับท่านก็ได้
เมื่อเร็วๆนี้ ได้ฟังรายการของ บี.บี.ซี.เกี่ยวกับคนชราในประเทศต่างๆ เช่น
ฝรั่งเศสคนอายุเกิน ๗๕ มีจำนวนถึง ๔ ล้านคน แต่การดูแลคนชราเขาดีมาก เพราะมีบ้านพักในระดับที่ผู้เข้าไปอยู่พอใจ คนอิตาเลียนซึ่งมักพักเป็นครอบครัวใหญ่ปัจจุบันต้องจ้างคนรัสเซียข้ามประเทศมาดูแล แล้วจ่ายเงินในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดือนละ ๘๐๐ ยูโร ซึ่งมากกว่าคนไทยที่ไปรับจ้างเป็นแม่บ้าน หรือดูแลคนชราในฮ่องกง สิงคโปร์ เพียงเล็กน้อย
คนแก่บางชาติที่มีสงครามกลางเมือง อย่างประเทศ ‘อูกันดา’ ต้องเครียดเพราะต้องเลี้ยงเด็กกำพร้าจากสงครามกลางเมือง ซึ่งเป็นหลานของพวกตน ที่พ่อแม่ตายเพราะโรคเอดส์ และสงครามกลางเมือง คุณภาพชีวิตก็ไม่ดีอย่างยิ่ง
เรื่องการดูแลคนชราหรือผู้สูงอายุในบ้านเรานั้น ผมไม่ได้ศึกษาในเรื่องนี้มากนัก แต่ที่แน่ๆก็คือ จำนวนผู้สูงอายุนับวันจะมากขึ้น เพราะคนไทยอายุยืนยาวกว่าเดิม
เคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่า เวลานี้ในบางภาคของบ้านเรา คนแก่ต้องดูแลหลาน เพราะพ่อแม่ของเด็กที่เป็นลูกหลานของตัว ต้องมีภาระเพิ่มขึ้น ใครที่ดูโทรทัศน์ช่อง ๗ เขามีรายการระหว่างข่าวภาคค่ำ จะมีเรื่องความยากลำบากของผู้คนสูงวัย มานำเสนอให้ผู้ชมได้รับรู้รับทราบกัน เพื่อให้ผู้ใจบุญได้ช่วยเหลือกัน ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องดีมาก ใครมีเงินเหลือใช้ต้องทำบุญกันอย่างนี้ กุศลจะดลบันดาลให้ท่านมีความสุข มีลูกหลานแวดล้อมยามตัวแก่เฒ่าลง ซึ่งเวลานี้ความเป็นครอบครัวที่อบอุ่นแบบโบราณ อย่างสมัยผู้คนส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาคเกษตรกรรม น้อยลงทุกที
คนเรานั้นถ้าไม่รีบตายไปเสียก่อน ความชราต้องมาเยือนจนได้ ท่านอาจารย์ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกสื่อมวลชนตั้งฉายาว่า “เฒ่าสารพัดพิษ” แล้วพูดถึงท่านในลักษณะเรียกแบบ “จิก” ว่าเฒ่าอย่างโน้น ตาเฒ่าอย่างนี้ ตามสันดานสื่อบ้านเรา ท่านอาจารย์ใช้คำพูดที่ผมไม่ลืมเลยว่า
“ใครจะเรียกผมเฒ่าสารพัดพิษบ้าง ไอ้แก่บ้าง ก็ช่างหัวมัน พวกมันไม่แก่บ้าง ให้มันรู้ไป ! ”
ไม่กี่วันนี้ ผมคุยกับคุณนพพร บุณยะฤทธิ์ อดีต บก.สยามรัฐ และชาวกรุง ท่านบอกว่า ตอนนี้บรรดาคนที่ต่อว่าท่านอาจารย์ และตั้งฉายาให้เป็น “เฒ่าสารพัดพิษ” นั้นต่างก็เริ่มแก่ตัวกันหมด บางคนต้องเข้าออกโรงพยาบาลหลายครั้ง เข้าไอ.ซี.ยู.เพราะใกล้ตายก็มี
อดีต บอ.กอ. และนักเขียนใหญ่อย่างคุณนพพรฯท่านนี้ เคยพระเอกละครเรื่องสุดฟากฟ้าบนเวทีใหญ่ และละครโทรทัศน์อีกหลายเรื่อง ตอนนี้อยู่ในวัย ๗๘ ปี แล้ว ยังแข็งแรง ขับรถเองได้ ยังดื่มไวน์ได้ปริมาณคงเส้นคงวา ความจำดีกว่าผมเสียด้วยซ้ำไป
คำว่า เฒ่าสารพัดพิษ นั้น ที่ใช้เรียกท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ฯนั้น มาจากหนังจีนทางโทรทัศน์ยุคนั้น ผมว่าน่าจะหมายถึง ผู้สูงอายุที่เต็มไปด้วยความรู้และสติปัญญา ตลอดจนรู้รอบเจนจบในเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายต่างๆ สามารถใช้เป็นเครื่องมือโต้ตอบผู้คนได้ โดยไม่ต้องใช้กำลังด้วยซ้ำ ซึ่งดีกว่าให้ผู้คนเขาเรียก เฒ่าหัวงู เขาใช้รียกคนที่เป็นผู้ใหญ่ แต่มักมากในกาม ชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็กๆ อย่างนักการเมืองที่เป็นข่าวต้องติดตะราง เพราะชำเราเด็กอายุน้อย คำนี้บางทีใช้เป็นคำด่าทอคนแก่เจ้าเล่ห์ ที่ใช้อุบายหลอกลวงเด็กผู้หญิง
นอกจากนั้นก็ยังมี เฒ่าทารก คือคนแก่ที่ทำตัวเป็นเด็กๆ คิกขุอะโนเนะ ขี้อ้อน ขี้งอนให้ผู้คนเขารังเกียจเล่น
สุขภาพนั้นเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกผู้นาม ยิ่งแก่ตัวไป สุขภาพดี ก็เป็นบุญของลูกหลาน ถ้าทั้งสุขภาพดีและความจำดีด้วย ยิ่งประเสริฐ เพราะสุขภาพดีแต่ความจำไม่ดี บางทีอาจเป็นเหมือนเรื่องชวนหัว ที่เขาเล่ากันมานมนานแล้ว ว่า
ตำรวจสายตรวจรายหนึ่ง ไปพบผู้สูงอายุท่านหนึ่ง แต่งกายดี ท่าทางยังแข็งแรง นั่งอยู่ริมชายหาดคนเดียว มีเหล้าเปิดค้างอยู่ครึ่งขวด นั่งน้ำตาซึม ตำรวจหนุ่มเข้าไปทัก ว่า
“คุณปู่ เก่งนะครับ ทานเหล้าคนเดียวครึ่งขวด ยังไม่เมาเลย”
“ก็เพิ่ง...ขวดที่สองเองนี่” คุณปู่ตอบ
“โอ้โฮ หมดไปขวดครึ่งแล้วหรือครับนี่...โทษนะครับ คุณปู่อายุเท่าไหร่ปีนี้ ?” สายตรวจอุทานถาม
“สามปีที่แล้วอายุเก้าสิบ ปีนี้เท่าไหร่ คิดเอาเอง” แน่ะ...ตอบดีซะด้วย
“แล้วทำไม คุณปู่มานั่งเศร้าอยู่คนเดียว ครับเนี่ยะ ?” โปลิสหนุ่มถามอีกด้วยความห่วงใย
“ก็ฉันคิดถึงเมีย เพราะเพิ่งแต่งงาน กับผู้หญิงอายุยี่สิบเอ็ดได้แค่สองเดือน” คุณปู่ทำเสียงละห้อย ก่อนพูดต่อว่า
“ เธอน่ารักมาก นิสัยดี การบ้านการเรือนเก่ง แถมยังสวยแบบจับคุณปุ๋ยพรทิพย์กับคุณปุ๊กอาภัสราตอนสาวๆ มารวมกันแล้วหารสอง ยังไงยังงั้นเลย และเธอก็เอาใจฉันดีเหลือเกิน....” คุณปู่หยุดสะอื้นเล็กๆ
“เธอทิ้งคุณปู่ไปหรือยังไงครับ เลยต้องมานั่งดริ้งค์อยู่คนเดียวอยู่นี่?” ความสงสารพุ่งขึ้นมาจับหัวใจตำรวจหนุ่ม
“เปล่ายังอยู่ด้วยกัน รักกันดีด้วย เมื่อเช้านี้ ‘จุ๊บ’ กันก่อนปู่ขับรถออกจากบ้านเลย” ผู้สูงอายุตอบเรียบๆ
“อ้าว...แล้วมานั่งน้ำตาซึม...ทำไมครับ ?” คนหนุ่มถามฉงน ก่อนที่ตัวเองจะได้ยินเสียงคุณปู่สวนกลับแผ่วเบา ว่า
“ก็ฉันจำทางกลับบ้านไม่ได้ เลยต้องจอดรถกินเหล้า ทวนความจำอยู่นี่งัยล่ะ !”
เห็นมั้ย...ความจำมันสำคัญ อย่างนี้ !!
อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล่นๆเชียวนา ใครที่ฟัง จ.ส.๑๐๐ บ่อยๆ จะได้ยินคนที่เป็นลูกหลานโทรไปให้ผู้ดำเนินรายการ ช่วยตามหาพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เดินออกจากบ้านแล้วหายไปเฉยๆ บางคนบ้านอยู่ปักษ์ใต้ แต่ขายบ้านเก่าทิ้งไปนานแล้ว มาอยู่กรุงเทพกับลูกหลาน ครั้นอายุมากความจำเสื่อม พอสัญญาหรือความทรงจำเก่าบางอย่าง ‘แวบ’ เข้ามา ท่านต้องไปสถานีรถไฟหัวลำโพง เพื่อจะซื้อตั๋วกลับปักษ์ใต้ จนลูกหลานรู้แกว พอหายตัวไปปุ๊บ คนที่บ้านต้องวิ่งไปดักที่หัวลำโพง อย่างนี้ก็มี
ความจำเสื่อม นั้น เป็นเรื่องของสังขารและโรคภัยไช้เจ็บ ผมว่า ยังไม่เท่าคนแก่ที่มีกิเลสความลุ่มหลงตัวเอง โทสะและโมหะจริตที่เป็นเจ้าเรือน นั่นร้ายกาจนัก เพราะลูกหลานรังเกียจไม่อยากเข้าใกล้
แม้กระทั่งนักบวชชรา ที่ผู้คนเคยคิดว่า มีศึลาจารวัตรดี พากันยกย่องกราบไหว้บูชา พอเจ้าตัวเลอะเลือนเลื่อนเปื้อน วางเขื่องเหนือมนุษย์ กลายเป็นเทวดา พูดจาหยาบคายฟังไม่ได้ จะเรียกว่าเป็น เฒ่าทารก ก็ใช่ที่
คนที่เคยนับถือเขาเห็นว่า เมื่อกลับกลายเป็นคนก้าวร้าว ศรัทธาก็หดลดถดถอย ต่างพากันเบือนหน้าหนี ไม่อยากไปมาหาสู่เหมือนเดิม
บางคนบอกว่าเป็นเพราะกรรมเก่า ส่วนผู้คนที่ไม่ศรัทธาอยู่แล้ว ขยะแขยงความประพฤติ กลายชังน้ำหน้า เรียกส่งเป็น ผีบุญ ไปเลย อย่างนี้ก็มี
น่าสงสาร...น่าสมเพชเวทนา เอามากๆทีเดียว !
ตอนนี้ผู้คนกำลังพูดคุยถึงเรื่อง คุณปู่ เย็น แก้วมะณี ผู้มีวัยสูงถึง ๑๐๕ ปี ที่ได้รับพระมหากรุณาคุณ พระราชทานเรือลำใหม่ ที่มีหลังคากันแดดฝนให้ ตอนนี้เข้าใจว่าอาจต่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากมีภาพมาลงในหนังสือพิมพ์บ้างก็จะดี เพราะผมเองอยากเห็นว่า คุณปู่จะจัดที่อยู่ในเรือลำใหม่อย่างไร ?
สำหรับท่านผู้อ่านที่อยู่ต่างประเทศ อาจยังไม่ทราบว่า คุณปู่เย็นนั้น สร้างความฮือฮาให้กับคนทั้งประเทศ จากรายการ "คน ค้น ฅน" อันโด่งดังทางโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี ยุค ผอ.มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เรียกคนดูได้ทั้งบ้านทั้งเมือง ชนิดช่องอื่นจัดรายการมาชน เป็นพังพาบราบคาบไปทุกรายไป
"คน ค้น ฅน" รายการดีที่โด่งดัง ได้นำเสนอการใช้ชีวิตของคุณปู่เย็น คนเมืองเพชรบุรี โดยให้ชื่อตอนว่า "ปู่เย็น เฒ่าทระนง !" ที่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ไม่พึ่งพาใคร จับปลาจากแม่น้ำเพชรบุรี หาเลี้ยงชีพตนเอง และใช้ชีวิตประจำวันอยู่ในเรือเกินกว่ายี่สิบปี นับแต่ภริยาถึงแก่กรรม ปลาที่จับได้ก็นำไปขายที่ตลาดทุกวัน ใครให้ของกินฟรีก็ไม่ยอม ซื้อหาเอาเอง เพราะไม่ต้องการพึ่งใคร แต่ก็เป็นคนมีน้ำใจ
การจับปลาของปู่ก็เป็นวิธีการดั้งเดิม คือท่านจะปักและกู้อวนในแม่น้ำ การกู้อวนก็ทำวันละสองครั้ง คือรอบแรกกู้ตอนประมาณสามทุ่ม แล้วตื่นมากู้อีกครั้งหนึ่งตอนตีสี่ จากนั้นในตอนเช้าจะนำปลาไปขาย คุณปู่ต้องการหาเงินให้ครบหนึ่งหมื่นบาท ถึงวันออกโทรทัศน์ ตอนนี้ยังขาดอีกสามพัน
ปู่บอกว่า ที่ต้องหาให้ครบเพื่อเป็นเงินสำรองเลี้ยงชีพ เมื่อได้ครบแล้ว จึงจะหยุดหาปลาขึ้นฝั่งกันเสียที
เมื่อรายการโทรทัศน์แพร่ภาพ ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ สมเด็จพระนางเจ้าฯ จึงทรงมีพระมหากรุณา โปรดเกล้าฯให้คุณ ประสงค์ พิทูรกิจจา ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี และ คุณหญิง สงวนศรี พิทูรกิจจา นายกเหล่ากาชาดจังหวัด ไปดูแล
ท่านผู้ว่าและคุณหญิง นำเครื่องยังชีพพระราชทานไปมอบให้คุณปู่เย็น ที่ท่าน้ำศาลากลางบ้านคามวาสี ใกล้สะพานใหญ่ หน้าวัดมหาธาตุวรวิหาร พร้อมสอบถามถึงความเป็นอยู่สุขภาพ และความต้องการ ระหว่างการสนทนาดำเนินไปขณะที่คุณปู่เย็นยังคงนั่งโต้ตอบอยู่ในเรือ ท่านผู้ว่าบอกว่า
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ดูแลปู่เย็นเป็นกรณีพิเศษตลอดจนมีพระราชประสงค์ พระราชทานเรือลำใหม่ที่มีหลังคากันแดดกันฝนได้
คุณปู่นั้น ตอนแรกก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ต่อเมื่อได้ยืนยัน คุณปู่เย็นยังกล่าวแบบเกรงใจว่า
"เรือแพอย่ากวนใจท่านเลยมันลำบาก คนแก่ไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน ปีหน้าก็ตายแล้ว"
จนต้องคะยั้นคะยอให้รับเรืออยู่หลายครั้ง คุณปู่เย็นถึงได้ตกปากลงคำว่าจะรับเรือรับปาก และหัวเราะต่อท้ายก่อนพูดว่า
"กูไม่ตายแล้ว ใจมันกว้าง (ปลื้มใจ) จะอยู่ไปถึงร้อยสิบปี"
พูดจบกอดพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถไว้แนบอก และบอกว่าจะนำไปใส่กรอบไว้กราบไหว้
อยากให้สังเกตว่า คุณปู่เย็นกับคุณยายไฮนั้น พอรู้ว่าจะเป็นเรื่องไปกวนเบื้องพระยุคลบาท ต่างก็ปฏิเสธทันควัน อย่างที่ผมเขียนไว้ใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๓๔ “High Hopes ของ ‘ยายไฮ’ กับประธานาธิบดี ‘จอห์น เอฟ เคนเนดี’ ความเหมือนที่ต่างแตก. !” ดังนี้.......
ความประทับใจของผู้คนที่มีต่อคุณยายไฮมากนั้น ก็ตรงที่คุณสรยุทธฯถามว่า
“ทำไมยายไม่ไปทูลเกล้าถวายฎีกา เหมือนคนอื่นเขาล่ะ ?
คุณยายกลับตอบอย่างไม่มีใครนึกถึง ว่า
“ไม่อยากไปรบกวนในหลวง ท่านมีงานเยอะแล้ว เรื่องแค่นี้ยายทำของยายเองได้ !”
นี่คือสันดานของคนไทยแท้ๆ ที่รักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ อะไรก็ตาม ที่จะไประคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท นั้น
เขาไม่ทำกัน !
ปู่เย็นนั้น ท่านเป็นลูกเมืองเพขร เป็นมุสะลิมะ คือผู้นับถือศาสนาอิสลาม บิดาชื่อ
นายสุข แก้วมะณี มารดาชื่อ นางชม แก้วมะณี อาศัยอยู่บ้าน ตามทะเบียนราษฆร์ ๒๗๔/๔ ถนนมาตยาวงศ์ ต.ท่าราบ อ.เมือง จ.เพชรบุรี เดิมเป็นคาวบอยเลี้ยงวัว ซึ่งเป็นอาชีพสำคัญของไทยมุสลิมละแวกนั้น มีภรรยาชื่อนางเอิบ แก้วมะณี เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๑๖ มีนามคม ๒๕๓๖ พอภริยาเสียชีวิต ท่านก็ใช้ชีวิตอยู่ในเรือมาตลอด หากินด้วยตัวเองไม่ยอมเป็นภาระใคร เหมือนยายไฮอีกเหมือนกัน
ปู่เย็นได้ปฏิบัติตามแนวทางของพระองค์ อัลลอฮ์ ตะอาลา ที่เผยแพร่พระวจนะโดยท่าน นะบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดำรงชีวิตอย่างสงบ สันติ ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ไม่เป็นภาระกับผู้ใด ถึงวันศุกร์ก็ไปสุเหร่า ประกอบศานกิจตามแนวทางอิสลาม เยี่ยงศาสนิกที่ดี
แม้คุณปู่เย็นกับคุณยายไฮ คนละศาสนา ต่างเพศกัน อยู่กันคนละทิศ แต่เป็นคนไทยที่รักในหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯเหมือนกัน เฉกเช่นเดียวกับคนไทยทั้งหลาย
การที่รายการ "คน ค้น ฅน" เขาให้ชื่อรายการว่า"ปู่เย็น เฒ่าทระนง" นั้น เป็นชื่อที่โดนใจผู้คนมากๆ เพราะคำว่า
ทระนง อ่านว่า (ทอ-ระ-นง) ตรงกับคำว่า ทะนง แปลว่า ถือตัว,หยิ่งในเกียรติของตัว ทะนงตัว เป็นกริยา แปลว่า ถือดีในตัว ทะนงศักดิ์ หมายถึง ถือดีในอำนาจของตัวหยิ่งเกียรติของตน
เกียรติ มีความหมายถึง ชื่อเสียง, ความยกย่องนับถือ, ความมีหน้ามีตา
เกียรติยศ คือเกียรติโดยฐานะตำแหน่งหน้าที่หรือชาติชั้นวรรณะ
เกียรติศักดิ์ แปลว่า เกียรติ, เกียรติตามฐานะของแต่ละบุคคล เป็นคำเดียวกับคำว่า“ศักดิ์ศรี” เช่นประพฤติตนไม่สมศักดิ์ศรี
ล้นเกล้า รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ เอาไว้ ว่า
“เกียรติศักดิ์รักข้าฯ มอบไว้ แก่ตัว” ซึ่งมาจากโคลงฝรั่งเศส ที่นักเรียนเตรียมทหารทุกคนรู้จักดี เพราะเขาเขียนติดเอาไว้ที่ตึกเรียนทั้งฝรั่งเศส และบทพระราชนิพนธ์ภาษาไทยที่ขึ้นต้อนว่า “มโนมอบพระผู้ เสวยสวรรค์...” นั่นแหละครับ
เกียรติ จึงสมบัติส่วนตัวโดยแท้ !
สำหรับ ศักดิ์ศรี ที่พจนานุกรมแปลว่าเกียรติศักดิ์ ศาสนาฝ่ายเทวนิยมเชื่อว่าเป็นเรื่องที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ กับ เกียรติศักดิ์ของความเป็นมนุษย์นั้น เหมือนกัน
ในศาสนาคริสต์ จะพูดเรื่องของศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ที่ใครจะลบหลู่กันไม่ได้ ค่อนข้างมาก ลองดูตัวอย่างจาก คำประกาศของ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นคริสเตียน บอกว่า
เราเป็นคริสตชน เราถือว่าคนเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงสร้าง และทรงรักเรา จึงให้ความ
สำคัญแก่คนก่อนทรัพยากรอื่นๆ พระเจ้าได้โปรดประทานให้คนมีศักยภาพที่เป็นคุณประโยชน์ทั้งปวง ที่จะผดุงศักดิ์ศรีแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าไว้ เราจะเคารพในเกียรติ ศักดิ์ศรี เอกลักษณ์ และคุณค่าอันแท้จริงของแต่ละบุคคล และเราจะดำเนินการโดยกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง และต่อเนื่องในการดำเนินพันธกิจในรูปแบบต่างๆ.....
ส่วนฝ่ายคอทอลิคนั้น ลองดูอย่าง คณะภคินีศรีชุมพาบาล เป็นองค์กรเอกชน ของคณะนักบวชหญิงนานาชาติ อยู่ที่ดินแดงนี่เอง เป็นองค์กรที่เงียบๆ แต่ทำประโยชน์ให้ผู้คนในประเทศไทยมากมายมาอย่างยาวนาน ได้กำหนดหน้าที่การทำงานชัดเจน ว่า
ทำงานกับสตรีและเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ซึ่งอยู่ชายขอบของสังคม มีพันธกิจในด้านการเสริมสร้างคุณภาพชีวิต ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของสตรีและเด็ก โดยส่งเสริมการศึกษา ฝึกวิชาชีพ เพื่อเขาสามารถช่วยเหลือตนเองได้ มีบริการให้คำปรึกษา และป้องกันชีวิต
ทั้งคุณปู่เย็น และคุณยายไฮ นั้น เป็นผู้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ และทระนงองอาจอย่างยิ่ง ในสายตาของผมและอีกหลายคน
ต้องขอยกมือคารวะท่านทั้งสอง อย่างจริงใจ
พระเจ้าทรงรักเรา ท่านสอนให้เรารักเพื่อนบ้าน รักแม้กระทั่งศัตรู ซึ่งเหมือนกันทุกศาสนา และพระพุทธศาสนานั้น เน้นในหลักเมตตา กรุณา เช่นเดียวกับศาสนาอื่นๆ
การอยู่ในบ้านนี้เมืองนี้ ร่มเย็นมาได้ ก็เพราะแม้จะแตกต่างในความเป็นศาสนิก แต่คนทุกศาสนาในประเทศของเราต่างเอื้อเฟื้อ ห่วงหาอาทรกันและกัน บ้านเมืองจึงสืบสันติสุขมาได้
ฉะนั้น ใครจะมาทำให้เราแตกแยกกัน
ยอมไม่ได้โดยเด็ดขาด !
ลูกน้องฝีมือดีของของผมคนหนึ่ง วิเคราะห์ให้ฟังว่า คุณปู่เย็นนั้น ต้องรักภริยาของท่านคือคุณย่า เอิบ แก้วมะณี ที่สูญเสียชีวิตไปมาก เพราะดูจากข่าวแล้ว พอคุณย่าเอิบถึงแก่กรรม คุณปู่ก็ลงเรือหาปลา ไม่นอนบนบกเว้นแต่หน้าฝน เขาอธิบายราวกับว่า ตนเองเป็นจิตแพทย์หรือนักจิตสิทยาเอก ให้ผมฟังอย่างคล่องแคล่ว ว่า
คนที่รักกันนั้น....
หากใครคนหนึ่งถึงแก่กรรม เช่นฝ่ายภริยาตายไปก่อน ฝ่ายชายจะไม่อยากอยู่ในบ้าน เพราะดูไปข้างไหน ก็เห็นแต่ภาพเธอที่เคยนั่งมุมโน้น มุมนี้ ของบ้าน
มองไปในครัวก็เห็นภาพเธอตำน้ำพริก เดินเข้าห้องนอนก็เห็นเธอนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง จะดูที่ต้นมะม่วงหน้าบ้าน ก็เห็นภาพเหวานใจของตัว นั่งถักนิตติ้งอยู่ที่โคนต้น เรียกว่า...มองไปข้างไหนก็เห็นแต่เธอ...เธอ...แล้วก็เธอ...
.... “เธอ เธอ เธอ เท่านั้น ที่จิตใจฉันยังมั่นรักเธอ !” ....
เหมือนอย่างที่เพลง สุนทราภรณ์ เขาว่าเลยทีเดียว ....
อย่างนี้ขืนอยู่ในบ้านก็คงหดหู่ หงอยเหงา เศร้าสร้อย ในที่สุดก็กลายเป็นโรคซึมเศร้าไปจนได้ นี่เองที่คุณปู่เย็นเลยต้องลงเรือ ไม่อยากอยู่บ้านเพราะจะทรมานใจ และเป็นทุกข์อย่างที่ว่า น่าจะนำมาปรับในกรณีของคุณปู่ได้
ผมฟังแล้วก็ทำอือๆออๆ ไปอย่างนั้น แล้วบอกว่าช่างวิเคราะห์ และตีความได้เก่ง สมกับเป็นมือข่าวที่โดดเด่นมาก่อน แต่ผมก็ถามต่อไปอีกนิดหนึ่ง ตามประสาคนปากไว ว่า
“แล้วอย่างเอ็งนี่ ถ้าเมียตายไป จะลงเรืออย่างปู่เย็นไหม !?”
คนช่างวิเคราะห์ ตอบหน้าตาเฉย ว่า
“ถ้ามีสาวสวยๆ ลงไปช่วยหุงหาอาหาร จัดที่หลับปรับที่นอนสปริงในเรือให้.......ผมก็ลง...แน่ครับ !! ”
..................