เช้าวันนี้....จิบกาแฟขมแล้ว เปิดเพลงจากละครชุด “ดรรชนีนาง” ฟัง เหตุที่เปิดเพลงชุดนี้ ก็เพราะเมื่อสองวันก่อนได้ยินเสียงเพลง ‘ดรรชนีไฉไล’ ที่ขึ้นต้นว่า
ดรรชนีไฉไล นามนี้อยู่กลางใจพี่ดวงเดียว
รักน้องสุดใจจริงเชียว รักดรรชนีไฉไลคนเดียว...จงเชื่อใจ
เท่านั้น...ก็จุดประกาบแวบขึ้นมาในความคิดของผม จนกลายเป็นคอลัมน์ในวันนี้
‘ดรรชนีไฉไล’ เป็นเพลงเอกในเรื่อง ‘ดรรชนีนาง’ เป็นบทประพันธ์ของ ‘อิงอร’ หรือ คุณศักดิ์เกษม หุตาคม ท่านเป็นคนสงขลา เข้ามารับราชการในกรุงเทพ เขียนนวนิยายเรื่อง ‘ดรรชนีนาง’ ลงในหนังสือประชามิตร จนมีชื่อเสียงโด่งดัง แล้วมีการนำเรื่องมาแสดงเป็นละครที่ศาลาเฉลิมนคร มีคุณ ส.อาสนจินดา เพื่อนสวนกุหลาบของพ่อเป็นพระเอก เป็นละครที่จับใจผู้คนมาก
พอนำมาทำเป็นภาพยนต์ คุณ ชนะ ศรีอุบล พระเอกนักกล้าม หน้าตาหล่อเหลาเป็นพระเอก มีคุณพิศมัย วิไลศักดิ์ เป็นนางเอก ตอนนั้นเธอสวยเหลือเกิน และยังร้องเพลง ‘หนาวตัก’ ซึ่งเป็นเพลงเอกในภาพยนตร์ด้วยตนเอง ดูเหมือนจะเป็นเพลงเดียวที่น้าหมัย ร้องอัดแผ่นเสียง ในชีวิตการเป็นนักแสดงอันยาวนานของเธอ แต่ผู้คนไม่เคยลืม
ผมเองนั้นได้ดูทั้งละคร และภาพยนต์ ดูจบแล้วอยากเป็นทหารเรือ เพราะพระเอกในเรื่อง ชื่อ น.ต.ม.จ.ดำรงฤทธิ์ ธำรง รน. ประจำเรือรบหลวง อรุโณทัย เป็นนายทหารเรือ รูปหล่อสมาร์ทมาก สาวๆที่ดูละครเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ใฝ่ฝันที่จะได้เป็น ‘คุณนาย’ นายทหารเรือด้วยกันทั้งนั้น เพราะทหารน้ำเขาแต่งเครื่องแบบชุดขาว สะอาดสะอ้านดูเรียบร้อยแถมยังห้อยกระบี่เข้าไปอีก
กระทั่งปัจจุบันนี้ เวลางานเลี้ยงนักเรียนนายเรือ ก็จะมีเพลงจากเรื่อง “ดรรชนีนาง” สอดแทรกในการบรรเลงของวงดนตรีเสมอ มิได้ขาด สาวๆเป็นแฟนนักเรียนนายเรือ ที่ผมรู้จักร้องเพลง ‘หนาวตัก’ กันได้เกือบทุกคน นักเรียนเตรียมทหารรุ่นเดียวกับผมเหล่าทหารเรือ รูปหล่อจัดจ้าน พอเป็นพระเอกเรื่อง ‘ดรรชนีนาง’ นี้ได้ ๒-๓ คนทีเดียว
รุ่นนี้ก็แปลก ผู้คนเขาลือกันว่า หน้าตาดีๆเยอะมาก !
ตอนที่ คุณ ส.อาสนจินดา เป็นพระเอกนั้น ท่านไม่ได้ร้องเพลงในเรื่องเอง แต่เป็น
‘ลิปซิง’ โดยมีคุณ ปรีชา บุณยเกียรติ เป็นผู้ร้องอยู่หลังฉาก ไม่ใช่ลิปซิงที่ใช้แผ่นซีดีเปิดอย่างทุกวันนี้ เรียกว่าคนร้องป่วยเจ็บไม่ได้ เพราะหากเป็นอะไรไปละครต้องล่มแน่
คุณ ปรีชาฯ โด่งดังเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ ก็เพราะละครเรื่องนี้จริงๆ และเพลงที่ทำให้ผู้คนรู้จักคุณปรีชาฯมาก ก็มาจากละครเรื่องนี้ชื่อเพลง ‘เดือนต่ำดาวตก’ ที่ขึ้นว่า
เดือนต่ำ-ดาวตกวิหคร้อง เหมือนเสียงน้อง ครวญคร่ำร่ำเฉลย
สารภีโชยกลิ่นเรณูเชย เหมือนพี่เคยจูบ เกศแก้วกานดา
เพลงนี้ ป๋าเปรม ท่านประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ท่านชอบมาก !
นางเอกในเรื่องเป็นสาวสงขลา (บ้านของ ‘คุณอิงอร’ ผู้แต่งเรื่องนี้) ที่พบรักกับพระเอก ตอนนำเรืออรุโณทัยไปเยี่ยมเมืองนี้ ความรักนั้นหวานชื่นนัก แต่ฝ่ายชายกลับดันไปแต่งงานกับหญิงอื่นซะนี่ สาวเจ้าจึงตัดนิ้วชี้ส่งไปให้พระเอก เพื่อทวงสัญญารักเพราะได้ความรักจากเธอแล้ว กลับปันใจ ทอดทิ้งไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่น น่าหวาดเสียวเอาการอยู่เหมือนกัน แต่หากผมเป็น น.ต.ม.จ.ดำรงฤทธิ์ฯ คงโล่งใจ...
เพราะไม่ได้มา ‘ตัด’ ของพระเอก !!
อย่างไรก็ตาม เพลง ‘ดรรขนีไฉไล’ ยังฟังไพเราะ ซาบซึ้ง สำหรับผม มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ข่าวหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าสนใจ และเกี่ยวกับนิ้วชี้หรือ ดรรชนี เหมือนกัน เมื่ออ่านแล้วพยายามหาว่า จะมีการดำเนินการกันอย่างไรต่อไป เพราะความอยากรู้ จนกระทั่งบัดนี้ ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างไร
ข่าวนั้นเป็นข่าวจากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ พุธ ๑๖ ก.พ.๒๕๔๘ หนังสือพิมพ์หัวสีเขียว ลงข่าวในพาดหัวรอว่า
เด็ก ‘ตี๋กร่าง’ กดดันนายกฯเรียกผู้สมัครชี้แจงเพิ่มเติม
แล้วข่าวในลงเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้งว่า
ต่อมาเมื่อเวลา 19.25 น. พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า กกต.เสียงแตกแจกใบแดง “พล.ท.มะ” ผู้สื่อข่าวรายงานในการประชุม กกต.นั้น ที่ประชุมได้หารือกันถึงเรื่งการให้ใบแดง กรณีขง พล.ท.มะ โพธิ์งาม ว่าที่ สส.กาญจนบุรี เขต ๕ เนื่องจากมีหลักฐานว่านายอำเภอหนองปรือ วางตัวไม่เป็นกลาง ช่วยหาเสียงให้ พล.ท.มะ ซึ่งเข้าข่ายต้องได้รับใบแดง แต่ที่ประชุมไม่สามารถลงมติได้
เพราะมี กกต.บางคนได้หยิบยกกรณีนายตุ่น จินตะเวช ว่าที่ สส.อุบลราชธานี มาเปรียบเปรยว่าเข้าข่ายทำผิดกฎหมายเลือกตั้งด้วย โดยเชิญชวนให้คนลงเลือกตั้งหมายเลข 11 ซึ่ง กกต.บางคนเห็นว่า นายตุ่นกางนิ้วชี้ กับนิ้วกลาง ขึ้นมาสองนิ้ว เป็นการทำเครื่องหมายพรรคมหาชน ทำให้ที่ประชุมขอพักการพิจารณาของ พล.ท.มะไปพิจารณาวันที่ 16 ก.พ.อีกครั้ง
ผมไม่ทราบว่า เรื่องว่าที่ ส.ส.ตุ่น จินตะเวช ไปกางนิ้วตอนไหน หรือกางในวันเลือกตั้งหรือก่อนวันเลือกตั้งที่เขาไม่ให้หาเสียง แล้วลักษณะการกางนิ้วเป็นอย่างไร กางแล้วหันหลังมือใส่ตัวเอง หรือหันฝ่ามือเข้าหา แล้วมันแปลไปว่า เป็นการยกเลข ๑๑ ขึ้นมา เป็นการประกาศโฆษณาให้เลือกตัวเอง อย่างที่เป็นข่าวใช่หรือไม่ ?
ใครจะเป็นผู้เชี่ยวชาญให้การกับ ก.ก.ต. ในการตีความ ‘ภาษามือ’ ?
ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่คงทราบว่า การ ที่ กางนิ้วชี้ กับนิ้วกลาง ขึ้นมาสองนิ้ว เป็นเครื่องหมายที่คนอังกฤษ และคนทั่วโลกที่ศึกษาประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ ๒ จะทราบดีว่า ผู้ที่ทำเครื่องหมายนี้คือ มหาบุรุษ เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ผู้ซึ่งนำกองทัพอังกฤษ และชาวสิงโตคำราม เข้าต่อสู้กับกองทัพนาซีด้วยความห้าวหาญ แม้เมื่อเริ่มสงคราม อังกฤษจะดูชัยชนะเลือนลาง โดดเดี่ยว สิ้นหวัง แต่ด้วยกำลังใจที่เหมือนสิงห์ บรรทุกเอาความเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นจะเอาชนะข้าศึกใหัจงได้ ไว้เต็มเพียบ
อังกฤษชนะสงคราม และเป็นมหาอำนาจที่เกรียงไกรมาจนปัจจุบัน
ระหว่างสงครามกำลังดำเนินอยู่นั้น ท่านเซอร์วินสตัน เชอร์ชิล ไปที่ไหน ก็ชูสองนิ้วกางออกอย่างภาพที่เห็น เรียกกันว่า V Sign หรือ Victory Sign อันเป็นการตอกย้ำเตือนว่า
อังกฤษต้อง เอาชนะ...ชนะ...และชนะ ศึกครั้งนี้เท่านั้น ไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น คนในบ้านในเมืองก็ฮึกเหิม มีกำลังใจ อดทน เข้าสู้รบอย่างเต็มกำลัง พาชาติรอดวิกฤติครั้งร้ายแรงที่สุดมาได้ กลายเป็นผู้ชนะสงครามมหาโหดครั้งนั้น และประเทศของเขาก็ก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เป็นมหาอำนาจที่เกรียงไกรต่อไปได้ !
คนในบ้านเมืองของท่านนายกเชอร์ชิล ไม่ได้หวาดกลัวจนกลายเป็นกุ้ง เพราะ ‘ขี้’ ขึ้นไปอัดแน่นอยู่บนหัวกบาล อย่างนักวิชาการวิชาเกือกทั้งหลาย รวมทั้งสมาชิกสภากะลาเมืองบางพวก ในประเทศอะไรก็ไม่ทราบ วันๆเอาแต่พ่น ‘กากผายลม’ ออกทางปาก ทั้งๆที่บ้านเมืองตัวเองมีผู้ก่อการร้าย แค่กระหยิบมือเดียว ดันเกิดปอดแหก ขี้หดตดแตก เพราะความกลัวสุดขีด....
ถึงกับปากคอสั่น ชักชวนผู้คนในบ้านในเมือง ให้ไปศิโรราบกราน โขกหน้าผากลงที่ตรงส้นตีน ไอ้พวกฉิบหายมันท่าเดียว !
ขี้ขลาด ตาขาว ไร้เกียติ เสียศักดิ์ศรี ที่เป็นคนในชาติ ‘นักสู้’....น่าอับอาย...ขายขี้หน้า...ยิ่งนัก !
อนาถมาก ทำราวกับว่าทั้งประเทศไม่มี HE-MAN หลงเหลือเลยสักคน...จึงอยากจะถามขยะเหล่านี้ ว่า
ไม่อายเทพยาฟ้าดิน...ไม่อายวิญญาณบรรพบุรุษ...กันบ้างหรืออย่างไรนะ
พวกเอ็งน่ะ ! ?
ส่วนเรื่องของคุณตุ่นนั้น แกบอกหรือยังว่า ไอ้ที่ยกมือนั้น จะทำให้เหมือนท่าน เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล หรือเปล่า ?
หรือเป็นเพียงการบอกใบ้ให้ทราบว่า ว่า
คืนนี้กลับบ้าน จะไปนอนบริหารร่างกาย แล้วทำขาถ่างเป็นตัว V ให้ลมโกรกเล่น !
ความจริงแล้ว ภาษากายหรือ Body Language บางอย่าง ไม่ว่าคนหรือสัตว์ทำ ก็อาจดูคล้ายกัน แม้ไม่มีคำพูด บางทีนักวิชาการบางพวกเขาก็จัดว่าเป็น อวจนภาษา คนหรือสัตว์ก็อาจทำคล้ายคลึงกัน เช่น รูปสาวเมืองกิโมโน กับคุณชิมแปมซีตามรูปที่ท่านเห็น
พออ่านข่าว ก.ก.ต.แล้ว ทำให้นึกถึงเรื่องเล่าให้ยิ้มกัน ตั้งแต่ครั้งเมื่อสมัยยังเป็นเด็ก เรื่องมีอยู่ว่า
ชายใบ้คนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านของชำเพื่อซื้อของ ซึ่งลูกสาวเป็นคนขายประจำ แต่วันนั้นเธอกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัวหลังร้าน ปล่อยให้อาม้าดูหน้าร้านแทน
อาม้าถามว่าจะเอาอะไร ชายใบ้ทำเครื่องหมายสินค้าที่ต้องการจะซื้อ ตามลำดับขั้นตอนดังนี้
๑.ยกมือขึ้นสองข้าง แบมือซ้ายคว่ำลง กำมือขวา แตะกำปั้นมือขวาเข้าใต้มือซ้ายที่แบอยู่ (คล้ายๆกับกริยา ขอเวลานอก หรือ time out ระหว่างการแข่งขันกีฬา...ท่านผู้อ่านกรุณาทำมือตามไปด้วย จะได้ฟีลลิ่งดี...ไม่เชื่อลอง)
๒.ปล่อยมือทั้งสองข้างลง แล้วยกแขนขวาขึ้นระดับสายตา มือขวากำหลวมๆ แล้วแตะมือซ้ายเข้าใต้ข้อศอกขวา แล้วดีดนิ้วมือขวาออกทั้งห้านิ้ว
๓.ปล่อยมือทั้งสองข้างลงจากท่าที่ ๒ ยกฝ่ามือซ้ายหงายขึ้น แบออก คว่ำฝ่ามือขวาประกบบนฝ่ามือซ้ายที่หงาย แล้วซอยฝ่ามือขวาบนมือซ้าย ๒-๓ ครั้ง
เท่านั้นแหละครับ ปรากฏว่า อาม้าร้องลั่นยกมือปิดตา เพราะคิดว่านายใบ้จะทำอุบาทว์ลามกจกเปรต !
อาหมวยกำลังทำกับข้าวอยู่หลังร้าน ได้ยินเสียงทิ้งตะหลิวออกมาหน้าร้าน อาม้าเล่าให้ฟังปากคอสั่น นังหมวยกลับยิ้ม แล้วถามหนุ่มใบ้ ว่า “ลื้อจะซื้ออะไร ?”
ลูกค้าก็ตีใบ้ ย้อนตามข้อที่ผมเขียนเอาไว้ตั้งแต่ข้อ ๑-๓ โดยมีอาหมวยยืนดู แล้วเธอก็ตีใบ้กลับข้อ ๑ และข้อ ๒ พอถึงข้อ ๓ เธอเอาฝ่ามือประกบกัน และขยับมือเหมือนคนใบ้ทำ แต่โบกมือขวาไปๆมาๆ
ต่อจากนั้นอาหมวยเธอเอาปลายนิ้วชี้ซ้าย แตะปลายนิ้วหัวแม่โป้งข้างเดียวกัน เป็นรูปวงกลม แทงนิ้วชี้มือขวาสอดเข้าไปในมาวงไม่รีนั้น
ขยับนิ้วชี้ ชักเข้า...ชักออก...ในวงกลมสองสามที
ลูกค้าใบ้มองดูแล้ว ทำเหมือนเธอ คือทำวงกลมด้วยมือซ้ายอย่างเดียวกัน แทงนิ้วชี้มือขวามาระหว่างวงแล้วซอยยิกๆ เสร็จสรรพยกมือขึ้นแบบคุณตุ่น คือ
กางนิ้วชี้ กับนิ้วกลาง ขึ้นมาสองนิ้ว
อาหมวยยิ้มรับ ไปหยิบถ่านไฟฉาย Eveready ตราแมวเก้าชีวิตให้ ๒ ก้อน คุณใบ้ยิ้มชอบใจ แล้วควักเงินออกมาชำระค่าสินค้า
ตรงนี้ขออธิบาย ว่า
ยกมือขึ้นสองข้าง แบมือซ้าย เอามือขวาเอามือขวากำเป็นกำปั้น แตะมือขวาเข้าใต้มือซ้าย ภาษามือ แปลว่า ถ่าน
ยกมือขึ้นสองข้าง แบมือซ้าย เอามือขวาเอามือขวากำเป็นกำปั้น แตะมือขวาเข้าใต้มือซ้าย แล้วดีดนิ้วเข้าออกทั้งห้านิ้ว ภาษามือ แปลว่า ไฟฉาย
ยกมือซ้ายหงายขึ้น แบออก คว่ำมือขวาประกบบนมือซ้ายที่หงาย แล้วซอยมือขวาบนมือซ้ายขยับเหยงถี่ๆ แปลว่า กบ
หมายความว่า คุณใบ้ชาย แกจะมาขอซื้อ ถ่านไฟฉาย ตรากบ สองก้อน แต่อาม้าตกใจ เพราะเกรงว่าคุณใบ้หน้ามืด จะมาขอร่วมเพศ ๒ ที/ครั้ง
ใครเล่า จะไม่กลัว !
อาหมวยที่มาคลี่คลายปัญหา โดยเอามือขวาขี่มือซ้ายขย่มหนุบๆหนับๆ โบกมือพร้อมส่ายหน้า แปลว่า หมายความว่าถ่านไฟฉาย ตรา-กบ นั้น “ไม่มี”
แล้วไอ้ที่ทำนิ้วมือซ้ายเป็นวงกลม แทงนิ้วชี้มือขวามาระหว่างวงกลมแล้วซอยยิกๆ นั่นน่ะ หมายความว่า
เธอมีแต่ถ่านตรา Eveready หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าถ่าน ‘ตราแมวเก้าชีวิต’ ซึ่งท่านผู้อ่านคงเคยเห็นถ่านไฟฉาย คุณภาพดี ยี่ห้อเก่าแก่คู่เมืองไทย ซึ่งผมเองก็ยังใช้อยู่ทุกวันนี้ และคงจะสังเกตเห็นสัญญลักษณ์ ยี่ห้อของถ่านชนิดนี้ (ตามรูป) คือ
รูป ‘แมวดำ’ ทำท่ากระโดด ลอดรูเลข 9 (เลขอารบิค)
คุณใบ้ก็ยกนิ้วชี้ กับนิ้วกลาง ขึ้นมากางออก แปลว่าจะซื้อถ่านตราแมว ๒ ก้อน การซื้อขายจึงผ่านไปอย่างเรียบร้อย
ฉะนั้น...เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่า การตีใบ้แบบเดียวกันกับคุณตุ่น เป็นการตีความจำนวนตัวเลข ๒ ของคุณใบ้ กลายเป็นเลข ๑๑ ตามความเข้าใจของ ก.ก.ต.บางคน ซึ่งแตกต่างไปจาก “คุณใบ้” ที่ผมเล่า
ตอนที่เป็นนายตำรวจใหม่ๆ มีการสอบสวนคดีสตรีที่ใบ้ถูกข่มขืน พนักงานสอบสวนโรงพักพระราชวัง ต้องเชิญคุณหญิง กมลา ไกรฤกษ์ มารดาของเพื่อนรุ่นเดียวกันกับผม เรียนด้วยกันมาตั้งแต่เล็กๆ มาเป็นล่ามแปล เพราะตอนนั้นท่านเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสอนคนหูหนวก ก.ก.ต. น่าจะลองไปถามคณาจารย์ที่ โรงเรียนเศรษฐเสถียร ที่สอนคนหูหนวก ดูว่า
ไอ้ที่ กางนิ้วชี้ กับนิ้วกลาง ขึ้นมาสองนิ้ว นั้นเป็นการทำเครื่องหมายพรรคมหาชนหรือไม่ตาม ภาษามือ ใช่หรือไม่ ?
ภาษามือ นั้น มีทั้งแบบอักษร สะกดเป็นคำเรียกว่า Manual Language หรือแบบเครื่องหมายแทนคำ Sign Language เป็นภาษาสำหรับคนหูหนวก ซึ่งเขาใช้มือเป็นการสื่อความหมาย และถ่ายทอดอารมณ์แทนการพูด โดยแสดงสีหน้า และกิริยาท่าทางประกอบ คนหูหนวกส่วนใหญ่ใช้ภาษามือ สื่อความหมายแทนคำพูดเป็นภาษาที่ได้ตกลง และรับรองว่าเป็นภาษามาตรฐานสำหรับคนหูหนวกได้
ดังนั้น หากเป็น ก.ก.ต. ผมจะสอบสวนเอาผิดกับคุณตุ่นที่ส่งภาษามือ ผมจะถามทางสถาบันซึ่งมีการศึกษาเรื่องนี้ด้วย
การ กางนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมาสองนิ้ว แล้วมีการตีความเป็นตัวเลขพรรคซึ่งก็ดูพิกล แต่ ก.ก.ต. เขาถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต อาจทำให้คุณตุ่นต้องถูกใบเหลือง ต้องเลือกตั้งกันใหม่หรือถูกแจกใบแดง หมดสิทธิไปเลย ฟังดูก็ให้เห็นใจคุณตุ่นแกอยู่หน่อยๆเหมือนกัน
นั่นเป็นภาษามือ ที่กำลังเป็นประเด็นของความขัดแย้ง และอาจทำให้คนที่ได้คะแนนสูงกว่าคนอื่น กลายเป็นผู้สอบตก ส.ส. ไปก็ได้
ทำให้ผมชักจะสงสัย ว่า....
ถ้าหากก่อนวันเลือกตั้ง คุณตุ่นออกไปเดินตลาดตอนเช้า แล้วมีคนไปรายงาน ก.ก.ต.ว่า คุณตุ่นแอบออกไปยืนโชว์หุ่นตรงหน้าทางเข้าตลาด ไม่ได้กางนิ้วชี้กับนิ้วนางเป็นภาษามือก็จริง แต่คุณตุ่น กระพริบตา ๑๑ ครั้ง อาจมีการตีความไถลเถลือก ว่า นั่นเป็นการหาเสียงในวันเลือกตั้ง ซึ่งต้องห้ามชัดเจน ขอให้แจกใบเหลือง ใบแดง เป็นการลงโทษด้วย
หรือส.ส.ตุ่น เดินเข้าตลาด ซื้อดอกบัว ๑๑ ดอก ขนมกุยช่าย ๑๑ ชิ้น ข้าวผัด ๑๑ ห่อ
สากกะเบือ ๑๑ ดุ้น ฯลฯ
ล้วนแล้วแต่เป็นการบอกใบ้ หาเสียง ให้ไปเลือกพรรคมหาชนอลหม่านของคุณตุ่น จึงขอให้ ก.ก.ต.ตัดสิทธิ ส.ส.ใหม่คือ คุณตุ่น จินตะเวช คนนี้ ให้เด็ดขาดไปเลย
ฟังดูขลัง หรือดูพิกลกันแน่? แล้วจะพิจารณากันอย่างไรต่อไป ? ให้สงสัยอยู่
วิจารณ์ไปก็เท่านั้น ทำอะไรไม่ได้ นอกจากจะต้องรอฟังความเห็นของ ก.ก.ต .... แต่...
ผมอยากฟังความเห็นของท่านผู้อ่าน ในเรื่องนี้กันบ้าง ใครมีความเห็นดีๆ ลอง
โพสท์มาให้อ่านกันบ้างคงจะดี
อย่างไรก็ตามถ้า กกต.พิจารณาตัดสิทธิคุณตุ่น ผมจะไม่ปรบมือให้คณะกรรมการ
ก.ก.ต. ที่ทำหน้าที่เคร่งครัด แต่ถ้าผมเป็นคุณตุ่ม ซึ่งโดนตัดสิทธิเพราะชู ๒ นิ้ว อย่างที่ข่าวหนังสือพิมพ์เขารายงาน
ขอเรียนให้ ก.ก.ต.และท่านผู้อ่านทราบว่า
ผมจะไปยืนท่าตรง หน้าอาคาร ศรีจุลละทรัพย์ ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ ก.ก.ต.แล้วชูกำปั้นขวา ขึ้นเหนือศีรษะ แขนขวาท่อนบนด้านในแนบหู
พอเข้าที่ก็แล้วดีดนิ้วกลางออกมา ส่วนนิ้วอื่นรวมทั้ง “ดรรชนี ‘ไม่’ ไฉไล” ของผม ยังงอรวมอยู่ในกำปั้น เพราะขืนยกขึ้นไปคู่กับนิ้วกลาง (หรือที่เรียกว่ามัชฌิมา แปลว่า ‘นิ้วกลาง’) เดี๋ยวจะมีการตีความผิดๆ หรือแปลความหมายไม่ถูก พาลสอบตกอย่าง ‘ไม่ไฉไล’ กันอีก
ชูให้มัน โด่เด่-เด่นเป็นสง่า อยู่อย่างนั้น แล้วให้ช่างภาพหนังสือพิมพ์ ทีวี วิทยุ มาถ่ายภาพ บันทึกทำข่าว
นอกจากนั้นผมก็จะไปตาม C.N.N มาถ่ายโทรทัศน์ออกแพร่ไปทั่วโลก ว่าผู้ได้รับการเลือกตั้งไทยแลนด์ ต้องถูกตัดสิทธิ เพราะชูนิ้วเหมือนท่าน เชอร์ชิล
แล้วจะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ต่อไปว่า
ที่มายืนชู ‘นิ้วกลาง’ แข็งขันอย่างนี้ ก็เพื่อจะบอกความในใจกับ ก.ก.ต. ว่า
“ผมจะย้ายไปอยู่พรรคสัจจะนิยม กับคุณน้าบรรหารและ คุณแบม คนสวย ส.ส.ในดวงใจของผม ซึ่งพรรคได้เบอร์ ๑ เลยยกนิ้วกลาง ๑ นิ้ว
เป็นสัญลักษณ์ หมายเลข ๑ !”
เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ผมจะทำท่า ‘กลับหลังหัน’ ตามแบบฝึกตำรวจ แล้ว โก่งก้นตัวเอง ไปทางตึกศรีจุลละทรัพย์ โดยไม่ยอมลืม ‘ปุ๋ง’ ออกไปอีก ๑๑ ปู้ด ....
....ให้กลิ่นอันรัญจวนลอย....ล่อง...ละลิ่ว...ปลิวไปถึง ท่านคณะกรรมการ ก.ก.ต. เพื่อเป็นเครื่องยืนยัน ว่า
ผมได้โผผินบินออกจากรัง ‘นกกระจอกเทศ’ เบอร์ ๑๑ เรียบร้อยแล้ว...
ครับ...กระผม !