เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว รับประทานขนมถ้วยฟู จากร้านขนมไทยเก่าแก่เมืองโคราชบ้านเอง ร้านนี้ชื่อ ‘ไพจิตร’ ฝีมือขนมไทยเป็นเลิศ โดยเฉพาะขนมถ้วยฟูที่หอมหวนชวนชิม รสชาติเฉพาะตัวเพราะเขาใส่กะทิลงไปด้วย นอกจากขนมถ้วยฟูแล้ว ยังมีขนมชั้น และเปียกปูนที่เด่นมาก ขายมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ร้านของเขาอยู่บนถนนจอมพลหลังย่าโม ติดกับศูนย์โพลา ใครไปโคราช อย่าลืมแวะเชียวแล้วจะติดใจ
เมื่อวันก่อนวาเลนไทน์ไปรับประทานอาหารที่ร้าน ZEIST อยู่บนถนนเชื่อมเอกมัยกับซอยสุขุมวิท ๗๑ ใกล้บ้านผม ซึ่งเขาเปิดมาปีกว่า อาหารอร่อยมาก ผมกับครอบครัวไปรับประทานบ่อยมาก อาหารของเขาเป็นพอร์ชั่นเล็กๆ กำลังพอทาน ฝีมือดีระดับโรงแรมห้าดาวเลยทีเดียว เจ้าของร้านเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี อัธยาศัยอ่อนโยน ทำอาหารด้วยตนเอง ขอแนะนำว่า อาหารฝรั่งเศสร้านนี้ ที่ทำจากปลาอร่อยทุกอย่าง อาหารเส้นอิตาเลี่ยนโดยเฉพาะ cabonara อร่อยสุดๆ อยากให้ลองไปทานดูแล้วจะติดใจ
ร้านนี้ชื่ออ่านยาก เพราะเป็นภาษาเยอรมัน อ่านว่า ไซท์
เรื่องชื่อนี่สำคัญมาก อย่างร้านนี้ใครดูชื่อ ZEIST ครั้งแรก ต้องหันขวับพร้อมกับถามตัวเองว่า “เอ....อ่านว่าไงหว่า ?” คำนี้เป็นชื่อเมืองในเยอรมันครับ สะกดและอ่านอย่างนี้เอง
เรื่องการตั้งชื่อนั้นสำคัญมาก เพราะชื่อดีเป็นศรีแก่ตัวเองและกิจการ ท่านผู้ที่ตั้งชื่อเก่งที่สุดคนหนึ่งของประเทศนี้คือ ท่านอาจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก แห่งมติชน บริษัท ร้านค้า ที่เปิดใหม่อยากจะให้กิจการค้าขายดี
ต้องคนนี้แหละ ใช่เลย !
เรื่องชื่อนั้น ใช่แต่ชื่อคนชื่อบริษัทห้างร้านเท่านั้น ชื่อหนังนี่ก็เอาเรื่องทีเดียว หากหนังดีแต่ชื่อเรื่องห่วย ก็จะพาลเจ๊งเอาง่ายๆเหมือนกัน หรือตั้งไม่เข้าท่า ตัวเจ้าของหนังเองนั่นแหละจะซวย มีเรื่องขอเล่าให้ฟังสักหน่อย
เมื่อประมาณ ๓๐ ปี เห็นจะได้ ผมกำลังนั่งรับประทานอาหารกับคุณ เกชา เปลี่ยนวิถี ที่คอฟฟี่ชอปโรงแรมเพรสสิเดนท์เก่า นักสร้างหนังหน้ากลางเก่ากลางใหม่คนหนึ่งเดินเข้ามา ยกมือไหว้ผมและคุณเกชา แล้วเล่าให้ฟังว่าจะสร้างหนังเรื่องใหม่ ซึ่งเขาเห็นว่าชื่อหนังเรื่องใหม่ของตัวเองนั้น น่าจะเร้าใจมาก สมกับยุคที่ตอนนั้นเป็นสมัยหนังบู๊ขึ้นหม้อ และขอความเห็นว่า ชื่อหนังใหม่ที่ตั้งมานั้นจะโดนใจท่านผู้ชมหรือไม่ เพราะชื่อที่ตั้งมา คือ
“สิงห์เหนือ เสืออิสาน อันธพาลใต้”
พอเจ้าของหนังพูดจบ เท่านั้นแหละครับ...คุณเกชาตบโต๊ะผาง บอกทันทีว่า
“ถ้าหนังของมึง ไปฉายเลยบางสะพานได้ กูยอมนอนให้มึงกระทืบ !”
ดูซิครับ คนอะไรมันอ่อนแอทางปัญญาได้ถึงนี้ แค่ตั้งชื่อยังไม่ทันจะดูหนัง มันก็ไป
กล่าวหาเขาแล้วว่า ‘คนใต้’ เป็นอันธพาลเข้าไปแล้ว ไม่มีใครเขายอมง่ายๆหรอก
ผมจึงเห็นด้วยกับคุณเกชาทุกประการ ว่าไอ้หนังชื่อเฮงซวยอย่างนี้ เลยบางสะพานเข้าชุมพร ก็ไม่มีโรงไหนกล้าให้ฉายแล้ว เจ้าของกลัวโรงของเขาพังปี้ป่น เพราะประชาชนคนใต้จะต้องรุมปาจอเอาแหลกลาญแน่ๆ
ชื่อคนนี่ก็อีกเหมือนกัน ท่าน อ.เสฐียรพงษ์ ก็ตั้งได้ยอดเยี่ยม มีคนไปให้ท่านตั้งมากมาย ใครอยากได้ชื่อใหม่แทนชื่อเก่า ก็ไปหาท่าน ไม่ผิดหวังแน่ เพราะจะด้ชื่อเก๋ๆมานำหน้านามสกุล
เรื่องชื่อนี่ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ตอนสอบเข้าเตรียมทหารได้อยู่ตอนเดียวกัน เขานั่งอยู่โต๊ะเรียนหน้าผม เดิมชื่อ “ชัยวัฒน์” พอเป็นนายทหารเปลี่ยนชื่อเป็น “สมภพ” พอเป็นนายพลแล้วเปลี่ยนเป็น “สมทัต” เปลี่ยนไปมาจนกระทั่ง มียศเป็นพลเอก ได้เป็นผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุดก่อนเกษียณอายุราชการไป
ถัดจากผมไปทางด้านหลังอีกสองโต๊ะ เพื่อนชื่อ “ชุมพล” นั่งอยู่ คนนี้ไม่เปลี่ยนชื่อเลย ต่อมามียศพลเรือเอก เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ เรียกว่านักเรียนห้องเดียวกับผม จึงมีผู้บัญชาการถึงสองเหล่าทัพ ส่วนอีกคนนั่งติดกับท่านอดีตแม่ทัพเรือ ไม่เปลี่ยนชื่อเหมือนกัน ชื่อ “พัลลภ” นี่ก็เกือบเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ เพราะเป็นพลอากาศเอก ตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารอากาศ
เพื่อนคนหนึ่งชื่อ วิขัย เปลี่ยนชื่อเป็น อกนิษฐ์ แล้วมียศเป็นถึง พลเรือเอก มีบารมีพอตัวเลยทีเดียว ลงสมัครรับเลือกตั้งที่สัตหีบ แต่ดันไปเข้าพรรคฝ่ายค้าน เลยแพ้การเลือกตั้งให้กับนายทหารรุ่นพี่ หากไปอยู่พรรคของเตรียมทหารรุ่นน้อง รับรองเข้าป้ายแน่ๆ
คิดแล้วก็ครึ้มดีเหมือนกัน ที่ตัวเองมีนายพลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก นั่งล้อมหน้าล้อมหลังมาแล้ว ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น !
ตอนนี้ผลการเลือกก็ประกาศกันไปหมดแล้ว เสียดายว่าผมทำคอลัมน์ของเดลินิวส์ ที่เขาวิจารณ์เรื่องชื่อของนักการเมือง และอิทธิพลดวงดาว ที่มีผลกระทบต่อชื่อที่ใช้ในการสมัครรับเลือกตั้งหายไป เขาเขียนได้ดีจริงๆ อุตส่าห์ตัดเก็บแต่ไม่รู้เอาไปวางไว้ไหน อายุมากขึ้นก็หลงลืมอย่างนี้ไม่ดีเลย แต่เมื่อคุยเรื่องชื่อแล้ว ก็ต้องขอคุยถึงชื่อนักการเมืองสตรีในหัวใจสองคน ในทัศนะของผมเอง ท่านผู้อ่านจะถือเป็นแก่นสารอะไรคงไม่ได้
คนแรกคือคุณ จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ คนนี้ แม้ชื่อจะฟังเป็นฝรั่ง แต่ชื่อเล่นว่า BAM ซึ่งมาจากคำว่า BAMBINA ภาษาอิตาเลียนแปลว่า เด็กผู้หญิงเล็กๆที่น่ารัก ผู้คนเลยเอ็นดูเธอ พากันไปลงคะแนนให้ และยังไปมีดีที่นามสกุล ตรงที่มีคำว่า ลิ่ว เลยวิ่งข้ามรั้วลิ่วฉลุยเข้าป้าย แซงนักวิ่งตัวเก็งที่วิ่งสะดุดรั้วปริญญา หกล้มขาหักไปเสียก่อน !
คนที่สองคือ คุณณหทัย ทิวไผ่งาม ซึ่งชื่อนี้ดีมาก แต่หากคุณพ่อคุณแม่เกิดตั้งชื่อเป็น หนึ่งฤทัย อาจไม่ได้รับเลือกตั้ง เพราะไปซ้ำกับนักร้องหลายคน เผลอๆผู้คนอาจไม่เลือกเพราะคิดว่าเป็นนักร้องลงมาสมัคร และนามสกุลของเธอก็ดีเหลือเกิน ฟังเป็นธรรมชาติ คนรักต้นไผ่เพราะเป็นไม้มีประโยชน์อย่างผมชอบมาก แต่เรื่องชื่อต้นไม้เอามาตั้งเป็นนามสกุล ก็ต้องเลือกให้ถูกด้วยด้วย ควรเป็นไม้มงคลหรือไม้ที่มีประโยชน์ เพราะหากใครขืนตั้งนามสกุลตัวเองเป็น “ทิวกัญชางาม” หรือ “ทิวอุตพิดงาม” อย่างนี้ยุ่งแน่
ขออำนวยอวยพรให้ นักการเมืองสตรีที่อยู่ในดวงใจผม ผู้ซึ่งอยากมีลูกสะใภ้เป็นนักการเมืองคุณภาพ อย่างทั้งสองท่าน (ลูกชายผมยังไม่แต่งอีกหนึ่ง) ให้มีความเจริญก้าวหน้า เป็นที่พึ่งของประชาชนตลอดไป
ความเจ็บให้รู้หาย ความไข้อย่ารู้มี เจริญสุขสวัสดี เป็นศรีของชาติบ้านเมือง ชื่อเสียงและเกียรติยศ จงปรากฏในทุกสถาน ทุกกาลไป !
เมื่อมีอายุแล้ว ขอให้สาวน้อยของผมทั้งสอง จงอย่าได้เป็นเหมือน หญิงผู้ไร้ระเบียบสมาชิกแห่งสภาท่าจะบ๊องส์ของเมืองสาระขันขัน (ดูเรื่องของเมืองนี้ใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๘ “เหี้ยส่องกระจก !” ) ผู้ชอบข่มสามีต่อหน้าสาธารณชน พูดจาไม่เข้าหูมนุษย์ ขนาดคนเป็นผัวตัวยังต้องถามว่า
“หล่อนไปทำอะไรมาจ๊ะ ผู้คนเขาถึงได้เกลียดกันทั้งประเทศ !”
เห็นหล่อนทีไรแล้ว ให้นึกถึงท่านอาจารย์ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ท่านชอบใช้คำโบราณ ซึ่งคนไทยวิจารณ์ลักษณะหญิงเช่นนี้ว่า
“เวลายิ้ม ก็เหมือนหลอก...เวลาหยอก ก็เหมือนขู่ !”
คือผู้คนเวลาเห็นแกแสยะยิ้มทีไร เป็นต้องออกอาการ ตกอกตกใจทุกทีไป เพราะเหมือนเห็นปีศาจมายืนแยกเขี้ยวแลบลิ้น ปลิ้นตา หลอกหลอนอยู่ตรงหน้า
ครั้นเวลาแกทำเป็นน่ารัก หยอกเอินผัวเล่น ก็คงเหมือนเสือหรือยักขินี มาทะมึนยืนขู่อยู่ตรงหน้า เห็นทางโทรทัศน์ทีไร ผู้คนเป็นต้องรีบเปลี่ยนช่องทันที คงจะกลัวซวยลูกกะตาตัวนั่นเอง
ถ้า ‘คุณแบม’ หรือ ‘คุณหนูอ้อ’ ของผม เป็นอย่างยัยคนนี้ อย่าได้มาให้เห็นกันเป็นอันขาด ผมยื่นนิ้วโป้งให้จริงๆด้วยนะ จะบอกให้ !
สำหรับการปราบปรามผู้ก่อการร้าย เวลาตั้งชื่อแผนยุทธการเข้าปราบปราม อย่างเช่นหากตั้งเป็นชื่อ “ยุทธการ-ทักษิณพิชิต” แปลว่า “ชนะภาคใต้แล้ว” อย่างนี้ผิด เพราะคำว่า “พิชิต” เป็น past tense ของคำว่า “พิชัย” แปลว่า “ความชนะ” พิชิตแปลว่า “ชนะแล้ว” หากไปตั้งตั้ง“ยุทธการ-ทักษิณพิชิต”อย่างนั้นเข้า ก็หมายความว่า
ได้ปราบปรามการก่อความไม่สงบภาคใต้ได้แล้ว ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง ด้วยว่าเหตุการณ์ยังไม่เรียบร้อย ผู้ก่อการร้ายยังคงกำแหงแผลงฤทธิ์ได้อยู่ และอาจแปลกลับไปว่าทักษิณเป็นผู้ถูกพิชิตก็ได้ ต้องระมัดระวังการตั้งชื่อให้ดี
ถ้าจะตั้งชื่อเพื่อเอาชนะต้องตั้งเป็น “ยุทธการ-พิชัยทักษิณ” หมายความว่า วิธีการหรือกลยุทธ์ ที่จะเอาชนะการก่อการร้ายภาคใต้ และทำให้เกิดความสงบสุขในภูมิภาคนี้ให้จงได้ เป็นการประกาศความมุ่งมั่นออกไป ให้ประชาชนได้ทราบทั่วกัน โดยความเห็นส่วนตัวผมแล้ว เห็นว่า ไม่ใช่ของเหลือบ่ากว่าแรงอะไรนักหนา เพราะเราเอาชนะศึกเสือเหนือใต้ที่สาหัสกว่านี้มาแล้ว
ฉะนั้น จะตั้งชื่อยุทธการก็พึงระวังเหมือนกันบ้าง ต้องให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ไม่อย่างนั้นผู้คนเขาก็จะติติงเอาได้
ถ้าจะให้ดี ควรตั้งชื่อเป็นกลางๆ แสดงถึงความสงบเรียบร้อยที่จะคืนกลับมา เช่นใช้คำว่า “ยุทธการ-ทักษิณสันติ” อย่างนี้เป็นต้น
หากจะเอาชนะเร็ว อยากจะแนะนำคนที่มีบารมีและเข้าใจปัญหานี้ดี เป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพนับถือทางภาคใต้ ซึ่งรัฐบาลสมควรเอาไปเป็นที่ปรึกษา รับรองว่าทางการจะจัดการปัญหาได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ สนใจก็ติดต่อถามมาก็แล้วกัน
เรื่องชื่อนั้น อย่าว่าแต่ภาษาไทยเลย แม้ชื่อคนไทยสะกดเป็นฝรั่งยังมีปัญหา ตัวอย่างได้แก่เพื่อนรัก ‘คู่หู-คู่ฮา’ ของผม ซึ่งคบกันมาตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบขวบด้วยกัน และเขียนถึงเขาหลายครั้งในคอลัมน์นี้ คุณแม่ของเขาเป็นบุตรีคนสุดท้องท่าน เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ เป็นน้องสาวแท้ๆของ คุณควง อภัยวงศ์ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ และตัวเขาเป็นน้าของ อ.พิมล ศรีวิกรณ์ ส.ส.ไทยรักไทย ระบบเขตเลือกตั้งหมาดๆ เพื่อนคนนี้มีชื่อไพเราะเพราะพริ้ง ว่า
“ปิยะธัช”
สะกดเป็นภาษาฝรั่งว่า PI-YA-TUT
‘ปิยะธัช’ ไปเรียนหนังสือที่เยอรมัน ตั้งแต่จบ ม.๖ จากเมืองไทย เล่าให้ผมฟังอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ว่า เวลาพวกเยอรมันเรียกทีไรเป็นสะดุ้งทุกที เพราะฝรั่งออกเสียงสำเนียงเรียกเขาเป็น
“พี-ยา-ตุ๊ด”
เพื่อนรักของผมคนนี้บอกว่า ได้ยินฝรั่งเรียกแล้ว มีความรู้สึกเจ็บริดสีดวงที่รูทวารเหลือกำลัง จึงต้องไปสถานทูตเปลี่ยนตัวสะกดใหม่ ในพาสปอร์ตใหม่ เป็น
PI-YA-TAT
แต่ก็ไปไม่รอด เพราะฝรั่งดันอ่านเป็น “พี-ยา-แต๊ด”
หนักเข้าไปอีก
เจ้าตัวถึงกับรำพึงรำพันกับผม ว่า ...
“... โถ...กู...หนอกู....อุตส่าห์เปลี่ยนชื่อแทบตาย ฝรั่งมันยังเสือกเรียกสองชื่อ ทั้งเก่าและใหม่ เป็น ‘ตุ๊ด’ เป็น ‘แต๊ด’...โธ่เอ๋ย..ไม่ได้ไปไกลถึงไหนเลย เรียกได้ห่างกันแค่ ๑-๒ นิ้ว เท่านั้นเอง...จะทำอย่างไงกับพวกมันดีวะ!”
ฟังแล้วก็น่าเห็นใจอยู่
เจ้าตัวจึงท้อใจนัก พาลไม่ยอมเรียนที่เยอรเผือกอีกแล้ว บินไปเรียนต่อที่อเมริกามันซะเลย
ฉะนั้น เวลาตั้งชื่อลูกก็ต้องคิดกันให้ดี เพราะเดี๋ยวนี้เราจำเป็นต้องติดต่อกับฝรั่งมากขึ้น บางชื่อนั้น เมื่ออ่านออกเสียงเป็นฝรั่งแล้ว เหมือนเป็น ‘ลางร้าย’ เลยก็ว่าได้ เช่นชื่อของนักการเมืองใหญ่ ที่สะกดเป็นภาษาอังกฤษ ว่า
Mr. BANYAT BANTATTAN
ท่านผู้อ่านจะออกเสียงสำเนียงอย่างไร ก็สุดแท้แต่ความเห็นของแต่ละคน แต่อยากจะเล่าให้ฟังว่า
วันหนึ่งยามที่นักการเมืองท่านนี้ยังมีบุญใหญ่อยู่ ได้เดินทางไปยุโรป แต่แกคงคุยเพลินกับคนไปส่งที่สนามบินหรือยังไงไม่ทราบได้ ทางสายการบินได้ประกาศเรียกตัวดังก้องอาคารผู้โดยสาร ว่า
“แอตเตนชั่น,พลีส, แอตเตนชั่น เพจจิ้ง แพสเซ็นเจอร์ ฟรอมไตแลนด์ ” (คนเมืองนี้พูดตัว ท.เป็นตัว ต. ‘แอ็ทเทนฌั่น’ เป็น ‘แอตเตนชั่น’ พูด ‘ไทยแลนด์’ ไม่ได้ กลายเป็น ‘ไตแลนด์’ ทุกทีไปซิน่า...)
ตอนนี้เสียงหยุดจังหวะไปนิดหนึ่ง แล้วพูดชื่อผู้โดยสารออกไปว่า
“มิสเตอร์...แบน..แหยด...มิสเตอร์...แบน..แหยด”
ตรงนี้เจ้าของชื่อที่ได้ยิน คงจะพอทนได้ แต่คงนึกในใจว่า ชื่อกูอ่าน “นาย บัน-หยัด” เอ็งจะอ่าน “มิสเตอร์...แบน..แหยด” ก็ชั่งหัวแม่เอ็งไปเหอะ...
ปรากฏว่าคนอ่านมือใหม่หรืออย่างไรไม่ทราบได้ เพราะแทนที่จะอ่านนามสกุลผู้โดยสาร กลับไปอ่านเอาตรงชื่อ พอแม่คนอ่านรู้ว่าผิด ก็เริ่มใหม่ หลังจากหยุดไปสักประเดี๋ยว
สันนิษฐานได้ว่า คนประกาศต้องก้มดูนามสกุล แล้วคงนึกในใจ ว่า
ชื่อ ‘แบน...แหยด’ น่ะ ก็ยังพออ่านกันได้ แต่นามสกุล จะให้โพรนาวซ์กันยังไงวะเนี่ยะ ....
...แล้วเธอก็กลั้นใจประกาศต่อ ซึ่งทำให้เจ้าของชื่อ และคณะลิ่วล้อที่ติดตาม (ตอนนี้คนหนึ่งเป็นรองอัครมหานายก ตอนนั้นเป็นข้าราชการประจำ) แทบช๊อคสิ้นสติลงไปในทันที เพราะ....
อะนาวเซอร์สาว เริ่มต้นประกาศทวนใหม่ ตั้งแต่ แอตเตนชั่น,พลีส...แต่พอถึงนามสกุล ก็อ่านไปส่งเดช เสียงดังฟังชัด ว่า
“มิสเตอร์ แบน....แต๊ด.....แต๋ต๋ต๋ นนนนนนนนนนนนนนนน !!!.......”
โอ้โฮเฮะ...อุเหม่! อีแม่เจ้าประคุณรุนช่อง !!
เธอออกเสียง ‘สระแอ๋’ ดังชัดเจนสักครึ่งวิฯ และวรรคนิดหนึ่ง ก่อนจะลาก ‘สระแอ๋น’ ตามยาวเป็นวา...อย่างที่ผมเขียน (เวลาท่านอ่าน กรุณาออกเสียงให้ดังคับบ้าน จะได้ฟีลลิ่งดีจริงๆ ไม่เชื่อลอง...)
เป็นลาง...เห็นมั้ยครับ...บอกแล้วว่า...มันเป็น ‘ลางร้าย’ จริงๆด้วย !!
ฉะนั้น...ต่อจากนี้ไป ใครก็ตาม กรุณาอย่าได้มาพูดกับผม ว่า ชื่อ นามสกุล อะไรก็ได้ไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นชื่อไทยหรือฝรั่ง หรือจะมาปุจฉาเป็นปริศนา ‘ผะหมี่’ ถามกับผม ว่า
“นามนั้นสำคัญไฉน ?” อีกเป็นอันขาด...
....ไม่เชื่อ...ก็อย่าลบหลู่นะ !!