สัปดาห์ที่แล้ว ผมขึ้นไปทำธุระที่จังหวัดสุโขทัย พร้อมๆ กับครอบครัว .... หลังจากเสร็จธุระ ผมจึงถือโอกาสใช้เวลา 2 วันที่เหลือ เที่ยวเมืองเก่าสุโขทัย บ้านเดิมของคุณทวด คุณปู่ และคุณพ่อ
นึกแล้วก็น่าแปลกใจอยู่ เพราะ สุโขทัย แม้จะเป็นบ้านเก่าของคุณปู่และคุณพ่อ แต่ครอบครัวผมก็ไม่ได้เดินทางมาสุโขทัยแบบพร้อมหน้ากันอย่างน้อยก็เกือบสิบปีได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึง พี่สาวและพี่ชาย ที่ตั้งแต่เล็กยังไม่เคยมาเหยียบสุโขทัยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
พอเสร็จธุระในวันศุกร์ เช้าวันเสาร์ ผมและครอบครัวจึงขับรถมุ่งตรงไปยัง อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย (เมืองเก่าสุโขทัย) ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสุโขทัย ที่เมื่อปี พ.ศ.2534 ก็ถูกองค์การยูเนสโก ยกให้เป็น "มรดกโลก"
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อยู่ห่างจากตัวจังหวัดสุโขทัยเพียง 12 กิโลเมตร ช่วงที่ผมไปดูเหมือนว่า จะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ มากกว่านักท่องเที่ยวไทย (อาจเป็นได้ว่า หนีคลื่นสึนามิทางภาคใต้มาเที่ยวทางภาคเหนือแทน) โดยเฉพาะ นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น อังกฤษ และยุโรป ซึ่งดูจะสนใจกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมากกว่า นักท่องเที่ยวจากชาติอื่นๆ
เมื่อลงจากรถ ผมและพี่ๆ ต่างก็เช่าจักรยานกันคนละคัน ....
แม้อากาศช่วงปลายเดือนมกราคมจะร้อนระอุๆ อยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนไม่น้อยดูจะมีความสุขทีเดียวกับการขี่จักรยานชม ซากปรักหักพังของเมืองเก่าสุโขทัย ผิดกับนักท่องเที่ยวไทยที่ดูจะบางตาอย่างเห็นได้ชัด

ผมพบว่าการได้ขี่จักรยานชมเมืองเก่า เป็นเรื่องที่สนุก และรื่นรมย์มิใช่น้อย อย่างไรก็ตาม ผมก็พบว่าด้วยศักยภาพของเมืองสุโขทัย เรายังสามารถพัฒนา โบราณสถานสำคัญของชาติแห่งนี้ให้ดีขึ้นกว่านี้อีกได้โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ สถานการณ์การท่องเที่ยวทางภาคใต้ กำลังได้รับผลกระทบหนักจากภัยธรรมชาติ และต้องใช้เวลาอีกระยะในการฟื้นฟูสถานที่ และภูมิทัศน์ ยังมิต้องพูดถึงการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องใช้เวลานานกว่านั้น
พูดถึงไทยในฐานะการของการเป็น ประเทศแห่งการท่องเที่ยว ที่ในแต่ละปีแต่ละปีมีนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาได้ไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาท (ตัวเลขในปี 2546 อยู่ที่ 309,269 ล้านบาท และ ในปี 2547 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเคยคาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ราว 384,000 ล้านบาท)* ส่วนรัฐบาลก็มีเป้าหมายว่าจะยกระดับให้ประเทศไทยกลายสภาพเป็น Tourism Capital of Asia
จากเหตุการณ์ธรณีพิบัติ-สึนามิ ที่กระทบกับ จังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา เมื่อปลายปี 2547 ที่ผ่านมาทำให้ค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้วว่า ในปี 2548 การท่องเที่ยวไทยคงไม่สามารถจะทำเงินตราต่างประเทศได้ตามเป้าหมาย 450,000 ล้านบาทที่ถูกวางไว้ก่อนหน้า
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแผนการที่ คุณสุวิทย์ เมษินทรีย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยระบุไว้ถึงแผนการในการยกระดับ จังหวัด ภูเก็ต-พังงา-กระบี่ ให้เป็น สวรรค์ของการท่องเที่ยวเขตร้อนระดับโลก (World Class Tropical Paradise)
โดยแผนดังกล่าววางยุทธศาสตร์ให้ ภูเก็ต ให้เป็น Premium Tropical Beach&Resort ยกระดับให้พังงาเป็น World-Class Marine&Ecotourism Destination และ ทำให้กระบี่เป็น Natural Beach&Resort with Serenity (อ่านเพิ่มเติมจาก นิตยสาร Thaicoon ฉบับที่ 85 เดือนธันวาคม 2547 หน้า 73) ..... จากเหตุภัยธรรมชาติ ทำให้แผนการเหล่านี้จำต้องเลื่อนออกไปอีกระยะ
กลับมาถึง จังหวัดสุโขทัย จุดเด่นอันเป็นแม่เหล็กดูดนักท่องเที่ยวหลักก็ คือ มรดกโลก อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย (อาจรวมไปถึง อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ซึ่งอยู่ในจังหวัดใกล้เคียง) ที่ต่างก็ถูกคัดเลือกให้อยู่ในทำเนียบมรดกโลกขององค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี 2534
ผมพบว่า อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ขาดการจัดการท่องเที่ยวที่ดี และการนำทรัพยากรที่มีมาใช้อย่างคุ้มค่า กล่าวคือ สุโขทัยเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่มีศักยภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 5 ชั่วโมงรถ ห่างจากหัวเมืองอย่างพิษณุโลกเพียงหนึ่งชั่วโมง ปัจจุบันมีสนามบินที่มีเครื่องบิน ขึ้น-ลง เป็นประจำทุกวัน ความมีชื่อเสียงในฐานะเป็นราชธานีเก่าของประเทศไทย รวมไปถึงสินค้าที่ระลึกเชิงวัฒนธรรม อย่างเช่น เครื่องสังคโลก ทองโบราณ ผ้าหาดเสี้ยว ฯลฯ แต่ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย กลับขาด การบริการนำเที่ยวที่ดี (ยกตัวอย่างเช่น การดึงเยาวชนในท้องถิ่นให้เข้ามาเป็นผู้นำเที่ยว โดยคนท้องถิ่นจะได้ประโยชน์หลายสถานทั้ง รายได้ การฝึกภาษา การธำรงค์ความรู้เกี่ยวกับถิ่นฐานของตนเองไว้ให้ลูกหลาน ฯลฯ) รวมไปถึงการให้เกร็ดความรู้ด้านประวัติศาสตร์กับนักท่องเที่ยว
ผมมีโอกาสท่องเที่ยวไปในประเทศจีนหลายแห่ง โดยเฉพาะมรดกโลกหลายสิบแห่งในประเทศจีนอันเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วโลก
จริงๆ แล้วปัญญาชนคนจีนที่มีความรู้ ค่อนข้างยกย่องประเทศไทยมากในประเด็นการจัดการท่องเที่ยว ว่าคนไทยฉลาดที่สามารถจัดการท่องเที่ยวให้ทำเงินตราต่างประเทศ (เท่ากับการส่งสินค้าออก) คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ได้มากกว่าประเทศจีนมาก แต่ทั้งนี้หลังจากไปเยือน สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในเมืองไทย ไม่ว่าจเป็น เชียงใหม่ อยุธยา และล่าสุดสุโขทัย ผมกลับพบว่า เรายังไม่สามารถดึงเสน่ห์ของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของชาติ ออกมานำเสนอได้มากเท่าที่ควร
แหล่งท่องเที่ยวในประเทศจีนจำนวนไม่น้อย (หรือแม้แต่ในยุโรปก็ตาม) ไม่ได้มีความสวยงามเท่าไรนัก สิ่งของ-สิ่งปลูกสร้าง จำนวนมากก็เป็นสิ่งที่ทำขึ้นใหม่โดยลอกเลียนแบบเรื่องเล่าเก่าๆ แต่ประเทศเหล่านี้สามารถนำ สถานที่ท่องเที่ยวเหล่านั้นมาเสนอขายนักท่องเที่ยวให้เข้าชมได้ในราคาที่สูง เสียจนน่าตกใจ (พิจารณาง่ายๆ ค่าเข้าอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย นั้นเก็บเพียง 40 บาท ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวสร้าง-ปรับปรุงใหม่บางแห่งในประเทศจีนสามารถเก็บค่าเข้าชมได้มากถึง 200-500 บาท)
กุญแจของเรื่องดังกล่าวนั้น ไม่ซับซ้อนไปกว่า คำว่า 'เรื่องราว-ตำนาน-ประวัติศาสตร์'
ชาวจีน ยุโรป และอเมริกัน มีวัฒนธรรมทางสังคมที่ดีร่วมกันอยู่ประการหนึ่งก็คือ การเป็นผู้ชอบจดบันทึก ดังนั้น เมื่อเขาจัดสถานที่ท่องเที่ยว หรือ พิพิธภัณฑ์ พวกเขาสามารถหยิบเอาประเด็นเล็กๆ ออกมาดึงดูดใจนักท่องเที่ยวได้ไม่รู้จบ อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์หมากรุก พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตา บ้านเกิดเก่าของบุคคลผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ ที่อยู่เก่าของบุคคลในประวัติศาสตร์ชาตินั้นๆ สถานที่สำคัญต่อเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ
ขณะที่ประเทศไทย แม้จะเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่เรายังไม่มีการพัฒนาในด้านนี้อย่างจริงๆ จังๆ เสียที
ไม่เพียงแต่ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคําแหง อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ที่จังหวัดสุโขทัย แต่รวมไปถึง จังหวัด พื้นที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น อยุธยา เชียงใหม่ เชียงราย เชียงแสน ฯลฯ หรือแม้แต่วัดวาอาราม ที่มีอยู่มากมายทั่วประเทศไทย
ผมเชื่อว่า เสน่ห์ในเรื่องราว-ตำนาน-เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทางประวัติศาสตร์ เหล่านี้คนไทยมีอยู่ไม่น้อยไปกว่าชาติไหนหรอกครับ
*หมายเหตุ - ตัวเลขอ้างอิงจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
นึกแล้วก็น่าแปลกใจอยู่ เพราะ สุโขทัย แม้จะเป็นบ้านเก่าของคุณปู่และคุณพ่อ แต่ครอบครัวผมก็ไม่ได้เดินทางมาสุโขทัยแบบพร้อมหน้ากันอย่างน้อยก็เกือบสิบปีได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึง พี่สาวและพี่ชาย ที่ตั้งแต่เล็กยังไม่เคยมาเหยียบสุโขทัยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
พอเสร็จธุระในวันศุกร์ เช้าวันเสาร์ ผมและครอบครัวจึงขับรถมุ่งตรงไปยัง อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย (เมืองเก่าสุโขทัย) ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสุโขทัย ที่เมื่อปี พ.ศ.2534 ก็ถูกองค์การยูเนสโก ยกให้เป็น "มรดกโลก"
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อยู่ห่างจากตัวจังหวัดสุโขทัยเพียง 12 กิโลเมตร ช่วงที่ผมไปดูเหมือนว่า จะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ มากกว่านักท่องเที่ยวไทย (อาจเป็นได้ว่า หนีคลื่นสึนามิทางภาคใต้มาเที่ยวทางภาคเหนือแทน) โดยเฉพาะ นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น อังกฤษ และยุโรป ซึ่งดูจะสนใจกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมากกว่า นักท่องเที่ยวจากชาติอื่นๆ
เมื่อลงจากรถ ผมและพี่ๆ ต่างก็เช่าจักรยานกันคนละคัน ....
แม้อากาศช่วงปลายเดือนมกราคมจะร้อนระอุๆ อยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนไม่น้อยดูจะมีความสุขทีเดียวกับการขี่จักรยานชม ซากปรักหักพังของเมืองเก่าสุโขทัย ผิดกับนักท่องเที่ยวไทยที่ดูจะบางตาอย่างเห็นได้ชัด
ผมพบว่าการได้ขี่จักรยานชมเมืองเก่า เป็นเรื่องที่สนุก และรื่นรมย์มิใช่น้อย อย่างไรก็ตาม ผมก็พบว่าด้วยศักยภาพของเมืองสุโขทัย เรายังสามารถพัฒนา โบราณสถานสำคัญของชาติแห่งนี้ให้ดีขึ้นกว่านี้อีกได้โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ สถานการณ์การท่องเที่ยวทางภาคใต้ กำลังได้รับผลกระทบหนักจากภัยธรรมชาติ และต้องใช้เวลาอีกระยะในการฟื้นฟูสถานที่ และภูมิทัศน์ ยังมิต้องพูดถึงการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องใช้เวลานานกว่านั้น
พูดถึงไทยในฐานะการของการเป็น ประเทศแห่งการท่องเที่ยว ที่ในแต่ละปีแต่ละปีมีนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาได้ไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาท (ตัวเลขในปี 2546 อยู่ที่ 309,269 ล้านบาท และ ในปี 2547 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเคยคาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ราว 384,000 ล้านบาท)* ส่วนรัฐบาลก็มีเป้าหมายว่าจะยกระดับให้ประเทศไทยกลายสภาพเป็น Tourism Capital of Asia
จากเหตุการณ์ธรณีพิบัติ-สึนามิ ที่กระทบกับ จังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา เมื่อปลายปี 2547 ที่ผ่านมาทำให้ค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้วว่า ในปี 2548 การท่องเที่ยวไทยคงไม่สามารถจะทำเงินตราต่างประเทศได้ตามเป้าหมาย 450,000 ล้านบาทที่ถูกวางไว้ก่อนหน้า
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแผนการที่ คุณสุวิทย์ เมษินทรีย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยระบุไว้ถึงแผนการในการยกระดับ จังหวัด ภูเก็ต-พังงา-กระบี่ ให้เป็น สวรรค์ของการท่องเที่ยวเขตร้อนระดับโลก (World Class Tropical Paradise)
โดยแผนดังกล่าววางยุทธศาสตร์ให้ ภูเก็ต ให้เป็น Premium Tropical Beach&Resort ยกระดับให้พังงาเป็น World-Class Marine&Ecotourism Destination และ ทำให้กระบี่เป็น Natural Beach&Resort with Serenity (อ่านเพิ่มเติมจาก นิตยสาร Thaicoon ฉบับที่ 85 เดือนธันวาคม 2547 หน้า 73) ..... จากเหตุภัยธรรมชาติ ทำให้แผนการเหล่านี้จำต้องเลื่อนออกไปอีกระยะ
กลับมาถึง จังหวัดสุโขทัย จุดเด่นอันเป็นแม่เหล็กดูดนักท่องเที่ยวหลักก็ คือ มรดกโลก อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย (อาจรวมไปถึง อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ซึ่งอยู่ในจังหวัดใกล้เคียง) ที่ต่างก็ถูกคัดเลือกให้อยู่ในทำเนียบมรดกโลกขององค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี 2534
ผมพบว่า อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ขาดการจัดการท่องเที่ยวที่ดี และการนำทรัพยากรที่มีมาใช้อย่างคุ้มค่า กล่าวคือ สุโขทัยเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่มีศักยภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 5 ชั่วโมงรถ ห่างจากหัวเมืองอย่างพิษณุโลกเพียงหนึ่งชั่วโมง ปัจจุบันมีสนามบินที่มีเครื่องบิน ขึ้น-ลง เป็นประจำทุกวัน ความมีชื่อเสียงในฐานะเป็นราชธานีเก่าของประเทศไทย รวมไปถึงสินค้าที่ระลึกเชิงวัฒนธรรม อย่างเช่น เครื่องสังคโลก ทองโบราณ ผ้าหาดเสี้ยว ฯลฯ แต่ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย กลับขาด การบริการนำเที่ยวที่ดี (ยกตัวอย่างเช่น การดึงเยาวชนในท้องถิ่นให้เข้ามาเป็นผู้นำเที่ยว โดยคนท้องถิ่นจะได้ประโยชน์หลายสถานทั้ง รายได้ การฝึกภาษา การธำรงค์ความรู้เกี่ยวกับถิ่นฐานของตนเองไว้ให้ลูกหลาน ฯลฯ) รวมไปถึงการให้เกร็ดความรู้ด้านประวัติศาสตร์กับนักท่องเที่ยว
ผมมีโอกาสท่องเที่ยวไปในประเทศจีนหลายแห่ง โดยเฉพาะมรดกโลกหลายสิบแห่งในประเทศจีนอันเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วโลก
จริงๆ แล้วปัญญาชนคนจีนที่มีความรู้ ค่อนข้างยกย่องประเทศไทยมากในประเด็นการจัดการท่องเที่ยว ว่าคนไทยฉลาดที่สามารถจัดการท่องเที่ยวให้ทำเงินตราต่างประเทศ (เท่ากับการส่งสินค้าออก) คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ได้มากกว่าประเทศจีนมาก แต่ทั้งนี้หลังจากไปเยือน สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในเมืองไทย ไม่ว่าจเป็น เชียงใหม่ อยุธยา และล่าสุดสุโขทัย ผมกลับพบว่า เรายังไม่สามารถดึงเสน่ห์ของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของชาติ ออกมานำเสนอได้มากเท่าที่ควร
แหล่งท่องเที่ยวในประเทศจีนจำนวนไม่น้อย (หรือแม้แต่ในยุโรปก็ตาม) ไม่ได้มีความสวยงามเท่าไรนัก สิ่งของ-สิ่งปลูกสร้าง จำนวนมากก็เป็นสิ่งที่ทำขึ้นใหม่โดยลอกเลียนแบบเรื่องเล่าเก่าๆ แต่ประเทศเหล่านี้สามารถนำ สถานที่ท่องเที่ยวเหล่านั้นมาเสนอขายนักท่องเที่ยวให้เข้าชมได้ในราคาที่สูง เสียจนน่าตกใจ (พิจารณาง่ายๆ ค่าเข้าอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย นั้นเก็บเพียง 40 บาท ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวสร้าง-ปรับปรุงใหม่บางแห่งในประเทศจีนสามารถเก็บค่าเข้าชมได้มากถึง 200-500 บาท)
กุญแจของเรื่องดังกล่าวนั้น ไม่ซับซ้อนไปกว่า คำว่า 'เรื่องราว-ตำนาน-ประวัติศาสตร์'
ชาวจีน ยุโรป และอเมริกัน มีวัฒนธรรมทางสังคมที่ดีร่วมกันอยู่ประการหนึ่งก็คือ การเป็นผู้ชอบจดบันทึก ดังนั้น เมื่อเขาจัดสถานที่ท่องเที่ยว หรือ พิพิธภัณฑ์ พวกเขาสามารถหยิบเอาประเด็นเล็กๆ ออกมาดึงดูดใจนักท่องเที่ยวได้ไม่รู้จบ อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์หมากรุก พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตา บ้านเกิดเก่าของบุคคลผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ ที่อยู่เก่าของบุคคลในประวัติศาสตร์ชาตินั้นๆ สถานที่สำคัญต่อเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ
ขณะที่ประเทศไทย แม้จะเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่เรายังไม่มีการพัฒนาในด้านนี้อย่างจริงๆ จังๆ เสียที
ไม่เพียงแต่ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคําแหง อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ที่จังหวัดสุโขทัย แต่รวมไปถึง จังหวัด พื้นที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น อยุธยา เชียงใหม่ เชียงราย เชียงแสน ฯลฯ หรือแม้แต่วัดวาอาราม ที่มีอยู่มากมายทั่วประเทศไทย
ผมเชื่อว่า เสน่ห์ในเรื่องราว-ตำนาน-เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทางประวัติศาสตร์ เหล่านี้คนไทยมีอยู่ไม่น้อยไปกว่าชาติไหนหรอกครับ
*หมายเหตุ - ตัวเลขอ้างอิงจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย