นักข่าวที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของนิตยสารฟาร์อีสเทิร์น อีโคโนมิค รีวิว นายไมเคิล วาติคิโอลติส ได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์เฮรัลด์ ทรีบูนส์ เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๙
ธันวาคม ที่ผ่านมา เกี่ยวกับมุสลิมในภูมิภาคของบ้านเรา น่าสนใจมากครับ และผมเห็นว่าตรงใจดี จึงอยากถ่ายทอดเล่าสู่กันฟัง
คือผู้เขียนคนนี้ได้มองว่า เดิมนั้น เชื่อว่า สังคมมุสลิมในแถบนี้ของโลก ถือเป็นแบบอย่างของสังคมมุสลิมที่มีน้ำอดน้ำทนและอยู่ร่วมกับวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายได้
แต่เขาว่าระยะหลังๆนี้ ความเชื่อเช่นนี้ อาจจะไม่ได้เป็นความจริงอีกแล้วละครับ
เพราะเขากล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่นานนี้ ในหลายประเทศที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่หนาแน่น ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย หรือในภาคใต้ของประเทศไทยเรา คนมุสลิมได้หันเข้าหาศรัทธาจากศาสนามากกว่าเดิม เหตุเพราะเกิดแรงกดดันทางเศรษฐกิจและมีปัจจัยจากภาวะทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้นครับ
ดังนั้นก็เป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติละครับ ที่ชาวมุสลิมต้องมีกลไกในการปกป้องตนเองจากแรงกดดันที่เกิดขึ้น ด้วยการหันเข้าหาศาสนา ประกอบกับเวลานี้สื่อมวลชนมีอิทธิพลมาก ทำให้มีภาพลักษณ์จากข่าวต่างประเทศว่าประเทศที่เป็นอิสลามกำลังถูกโจมตีไม่เว้นแต่ละวัน
ดังนั้น จากสภาพเดิมที่ชาวมุสลิมในภูมิภาคอยู่กันอย่างสันติสุข ปราศจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ไม่มีการกีดกันทางสังคมหรือทางศาสนา และทรัพยากรมีมากพอเพียงที่จะอยู่กันอย่างแบ่งปันกับประชากรที่ต่างศาสนาในพื้นที่เดียวกัน
ทุกอย่างมาเปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในเอเซียที่เริ่มจากประเทศไทย และก็เกิดเหตุการณ์ ๑๑กันยายนในอเมริกา และเหตุการณ์รุนแรงระหว่างชาวปาเลสไตน์กับอิสราเอลขึ้น
ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ชาวมุสลิมในภาคใต้เวลานี้ตกงานกันมากขึ้นและข่าวโทรทัศน์ มีข่าวต่างประเทศเช่นรถถังของอิสราเอลบดขยี้บ้านเรือนของชาวอาหรับในพื้นที่ชนวนกาซาแทบทุกวัน สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำว่าคนมุสลิมถูกทำร้าย และสร้างแรงศรัทธาทางศาสนาเพิ่มขึ้นและเร้าใจทางศาสนามากยิ่งขึ้นที่เห็นว่าคนมุสลิมต้องลุกขึ้นต่อสู้ครับ
ในภาคใต้ของไทยเรานั้น แต่เดิมไม่เคยมีปัญหาเลย นักข่าวคนนี้ก็ได้สัมภาษณ์ผู้นำชุมชนชาวมุสลิมอาวุโสท่านหนึ่งซึ่งยืนยันว่า แต่เดิมไม่เคยมีปัญหาที่รุนแรงแต่อย่างใด แต่ว่าสถานการณ์โลก จากที่คนดูข่าวทีวี เป็นบรรยากาศจูงใจและรู้สึกว่าเกิดการต่อสู้ที่คนมุสลิมต้องกระทำมากขึ้น
ความรุนแรงในภาคใต้ของไทยเรานั้น การปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ของไทยนั้นเน้นที่การตอบโต้ที่รุนแรงพอกัน ซึ่งยิ่งทำยิ่งก่อให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นการสู้ในเรื่องศาสนาและเชื้อชาติ
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆอีก ผู้นำชุมชนที่เป็นคนมุสลิมอาวุโสได้ให้ความเห็นว่า ความขัดแย้งนอกพื้นที่ห่างไกลก็มีส่วน เช่นความขัดแย้งในบอสเนีย หรือในปากีสถาน มีคนไทยที่เคยเดินทางไปที่ดังกล่าว เมื่อกลับมาก็ได้รับอิทธิพล หรือบางคนก็ได้รับการฝึกกลับมาก็เกิดความรุนแรงได้
คนมุสลิมนั้น โดยทั่วไปมีจิตใจรักสงบ แต่เมื่อเกิดแรงกดดัน ก็หันหน้าเข้าหาที่พึ่งด้านศาสนา
มีโพลในอินโดนีเซีย พบว่าในภาวะบ้านเมืองขาดกฏหมาย คนอินโดนีเซียจะอนุรักษนิยม หันหน้าเข้ากฏหมาย และเมื่อพึ่งกฏหมายบ้านเมืองไม่ได้ ก็จะทดแทนด้วยกฏศาสนา และคนส่วนใหญ่ยังต้องการให้รัฐบาลหันมาใช้กฏหมายอิสลามแทนที่กฏหมายบ้านเมือง และต้องการให้ประเทศเปลี่ยนเป็นรัฐอิสลามเสียด้วย
ทุกวันนี้ ประชากรมุสลิมภาคใต้ของไทย ส่วนใหญ่ปฏิเสธความรุนแรง พวกเขารักสงบ มีความอดทน แต่คนมุสลิมนั้นมีศักดิ์ศรี และรักเกียรติของตัวเองยิ่ง และก็ต้องการให้คนอื่น เคารพในสิ่งนี้ด้วย และชาวมุสลิมส่วนใหญ่นั้น เชื่อมั่นในผู้นำศาสนา
ในชุมชนของตนเองเป็นหลัก และไม่ใช่เชื่อในระบบราชการ หรือทหารหรือตำรวจ
ดังนั้นถ้ารัฐบาลใช้แต่กำลังทหารหรือตำรวจเพียงอย่างเดียว โดยมีแนวทางอนุรักษ์นิยม แต่ไม่คำนึงถึงการเคารพสิทธิและเกียรติยศศักดิ์ศรีของประชาชนชาวมุสลิมแล้วก็คงยากที่จะเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของชาวมุสลิมทางภาคใต้ได้
รัฐบาลต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่ ให้บทบาทผู้นำชุมชนมากขึ้น ใช้ศาสนาเป็นสิ่งเหนี่ยวนำ นึกถึงศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ เคารพในความเป็นมุสลิมของเขาและกระทำการใดๆโดยไม่ใช้ความรุนแรงนำหน้าในการแก้ปัญหา
ธันวาคม ที่ผ่านมา เกี่ยวกับมุสลิมในภูมิภาคของบ้านเรา น่าสนใจมากครับ และผมเห็นว่าตรงใจดี จึงอยากถ่ายทอดเล่าสู่กันฟัง
คือผู้เขียนคนนี้ได้มองว่า เดิมนั้น เชื่อว่า สังคมมุสลิมในแถบนี้ของโลก ถือเป็นแบบอย่างของสังคมมุสลิมที่มีน้ำอดน้ำทนและอยู่ร่วมกับวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายได้
แต่เขาว่าระยะหลังๆนี้ ความเชื่อเช่นนี้ อาจจะไม่ได้เป็นความจริงอีกแล้วละครับ
เพราะเขากล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่นานนี้ ในหลายประเทศที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่หนาแน่น ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย หรือในภาคใต้ของประเทศไทยเรา คนมุสลิมได้หันเข้าหาศรัทธาจากศาสนามากกว่าเดิม เหตุเพราะเกิดแรงกดดันทางเศรษฐกิจและมีปัจจัยจากภาวะทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้นครับ
ดังนั้นก็เป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติละครับ ที่ชาวมุสลิมต้องมีกลไกในการปกป้องตนเองจากแรงกดดันที่เกิดขึ้น ด้วยการหันเข้าหาศาสนา ประกอบกับเวลานี้สื่อมวลชนมีอิทธิพลมาก ทำให้มีภาพลักษณ์จากข่าวต่างประเทศว่าประเทศที่เป็นอิสลามกำลังถูกโจมตีไม่เว้นแต่ละวัน
ดังนั้น จากสภาพเดิมที่ชาวมุสลิมในภูมิภาคอยู่กันอย่างสันติสุข ปราศจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ไม่มีการกีดกันทางสังคมหรือทางศาสนา และทรัพยากรมีมากพอเพียงที่จะอยู่กันอย่างแบ่งปันกับประชากรที่ต่างศาสนาในพื้นที่เดียวกัน
ทุกอย่างมาเปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในเอเซียที่เริ่มจากประเทศไทย และก็เกิดเหตุการณ์ ๑๑กันยายนในอเมริกา และเหตุการณ์รุนแรงระหว่างชาวปาเลสไตน์กับอิสราเอลขึ้น
ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ชาวมุสลิมในภาคใต้เวลานี้ตกงานกันมากขึ้นและข่าวโทรทัศน์ มีข่าวต่างประเทศเช่นรถถังของอิสราเอลบดขยี้บ้านเรือนของชาวอาหรับในพื้นที่ชนวนกาซาแทบทุกวัน สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำว่าคนมุสลิมถูกทำร้าย และสร้างแรงศรัทธาทางศาสนาเพิ่มขึ้นและเร้าใจทางศาสนามากยิ่งขึ้นที่เห็นว่าคนมุสลิมต้องลุกขึ้นต่อสู้ครับ
ในภาคใต้ของไทยเรานั้น แต่เดิมไม่เคยมีปัญหาเลย นักข่าวคนนี้ก็ได้สัมภาษณ์ผู้นำชุมชนชาวมุสลิมอาวุโสท่านหนึ่งซึ่งยืนยันว่า แต่เดิมไม่เคยมีปัญหาที่รุนแรงแต่อย่างใด แต่ว่าสถานการณ์โลก จากที่คนดูข่าวทีวี เป็นบรรยากาศจูงใจและรู้สึกว่าเกิดการต่อสู้ที่คนมุสลิมต้องกระทำมากขึ้น
ความรุนแรงในภาคใต้ของไทยเรานั้น การปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ของไทยนั้นเน้นที่การตอบโต้ที่รุนแรงพอกัน ซึ่งยิ่งทำยิ่งก่อให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นการสู้ในเรื่องศาสนาและเชื้อชาติ
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆอีก ผู้นำชุมชนที่เป็นคนมุสลิมอาวุโสได้ให้ความเห็นว่า ความขัดแย้งนอกพื้นที่ห่างไกลก็มีส่วน เช่นความขัดแย้งในบอสเนีย หรือในปากีสถาน มีคนไทยที่เคยเดินทางไปที่ดังกล่าว เมื่อกลับมาก็ได้รับอิทธิพล หรือบางคนก็ได้รับการฝึกกลับมาก็เกิดความรุนแรงได้
คนมุสลิมนั้น โดยทั่วไปมีจิตใจรักสงบ แต่เมื่อเกิดแรงกดดัน ก็หันหน้าเข้าหาที่พึ่งด้านศาสนา
มีโพลในอินโดนีเซีย พบว่าในภาวะบ้านเมืองขาดกฏหมาย คนอินโดนีเซียจะอนุรักษนิยม หันหน้าเข้ากฏหมาย และเมื่อพึ่งกฏหมายบ้านเมืองไม่ได้ ก็จะทดแทนด้วยกฏศาสนา และคนส่วนใหญ่ยังต้องการให้รัฐบาลหันมาใช้กฏหมายอิสลามแทนที่กฏหมายบ้านเมือง และต้องการให้ประเทศเปลี่ยนเป็นรัฐอิสลามเสียด้วย
ทุกวันนี้ ประชากรมุสลิมภาคใต้ของไทย ส่วนใหญ่ปฏิเสธความรุนแรง พวกเขารักสงบ มีความอดทน แต่คนมุสลิมนั้นมีศักดิ์ศรี และรักเกียรติของตัวเองยิ่ง และก็ต้องการให้คนอื่น เคารพในสิ่งนี้ด้วย และชาวมุสลิมส่วนใหญ่นั้น เชื่อมั่นในผู้นำศาสนา
ในชุมชนของตนเองเป็นหลัก และไม่ใช่เชื่อในระบบราชการ หรือทหารหรือตำรวจ
ดังนั้นถ้ารัฐบาลใช้แต่กำลังทหารหรือตำรวจเพียงอย่างเดียว โดยมีแนวทางอนุรักษ์นิยม แต่ไม่คำนึงถึงการเคารพสิทธิและเกียรติยศศักดิ์ศรีของประชาชนชาวมุสลิมแล้วก็คงยากที่จะเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของชาวมุสลิมทางภาคใต้ได้
รัฐบาลต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่ ให้บทบาทผู้นำชุมชนมากขึ้น ใช้ศาสนาเป็นสิ่งเหนี่ยวนำ นึกถึงศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ เคารพในความเป็นมุสลิมของเขาและกระทำการใดๆโดยไม่ใช้ความรุนแรงนำหน้าในการแก้ปัญหา