xs
xsm
sm
md
lg

หญิงสาวบนโซฟา ... สังคมไทยเป็นอะไรไป?

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

ปลายเดือนตุลาคม ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ระหว่างที่ผมกลับไปเยี่ยมบ้าน เป็นช่วงเวลาที่มีการจัดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติหรือ Book Expo 2004 พอดิบพอดี แม้จะมีเวลาไม่มากนัก แต่ผมก็พยายามหาเรื่องเฉียดไป บริเวณศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์จนได้ แม้เพียง 2-3 ชั่วโมงก็ยังดี

ด้วยความกระหายใน บทความ หนังสือของนักเขียนหลายคนที่มิอาจหาอ่านได้ทางโลกไซเบอร์ ผมจึงรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับหนังสือที่มากหลาย เหมือนกับที่หลายคนรู้สึก

ขณะเดินผ่านซุ้มของสำนักพิมพ์สามัญชน ผมไม่พลาดที่จะหยิบ "เมื่อโลกไม่มีประวัติศาสตร์" หนังสือรวมบทวิจารณ์เล่มล่าสุดที่รวบรวมเอาผลงานที่ตีพิมพ์ผ่านหนังสือพิมพ์มติชน ในห้วงเวลาปี 2545-2546 ของ อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เอาไว้

ผมเริ่มอ่านงานของอาจารย์เสกสรรค์ ครั้งแรกเมื่อช่วงมหาวิทยาลัย ด้วยความรู้สึกที่ว่า เป็นงานเขียนที่ช่วยจุดประกายไฟที่ลุกโชนในวัยรุ่น และ กระตุ้นเตือนความรับผิดชอบของเยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะชนชั้นกลางที่มีโอกาสเหยียบบ่าของผู้อื่นเข้าไปศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา

แม้ช่วงหลังจะมีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมางานของอาจารย์เสกสรรค์ พลังหดหาย ขาดความดุดันไปมาก นอกจากนี้ยังมีผู้ไม่ประสงค์ดีกล่าวว่า แนวคิดของอาจารย์พ้นสมัยไปเสียแล้ว แต่ผมกลับเห็นว่า งานของ อ.เสกสรรค์ แม้จะขาดความดุดัน ดังเช่นแต่ก่อน แต่กลับมีความลุ่มลึกและนิ่งขึ้น ตามวัยที่มากขึ้นของผู้เขียน

ในงานหนังสือเดียวกัน นอกจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ที่ผมซื้อกลับมาฝากผู้ใหญ่ที่เคารพ และหนังสือสารพัดสารพันแล้ว ผมยังเดินกวาดเอานิตยสารตามบูทต่างๆ มาด้วยจำนวนหนึ่ง

หนึ่งในนิตยสารที่ผมซื้อติดมือกลับมาก็ คือ FHM หรือ For Him Magazine ภาคภาษาไทย

ด้วยเหตุผลในหน้าที่การงาน เดิมผมจึงติดตามหนังสือผู้ชายวัยทำงาน แนวทะเล้น ทะลึ่งตึงตังอยู่บ้าง อย่างเช่น FHM หรือ Maxim ตั้งแต่ยังทำงานอยู่ที่เมืองไทย

นิตยสารเหล่านี้แม้จะทำได้อย่างสนุก มีสีสัน เช่นไรก็ตาม แต่เมื่ออ่านมากเข้าแล้วผมกลับเห็นว่า หากสำนักพิมพ์เมืองไทยจะซื้อหัวของนิตยสารเหล่านี้มาตีพิมพ์เป็นภาษาไทย น่าจะประสบกับอุปสรรคไม่น้อย .... อุปสรรคที่ผมเห็นว่าสำคัญที่สุดมิใช่เรื่อง ค่าลิขสิทธิ์ หรือ ตลาดหนังสือจำพวกนี้ในเมืองไทยขายไม่ออก แต่เป็นเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม!

แม้กระแสโลกาภิวัฒน์จะยังโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า โลกตะวันตก กับ โลกตะวันออก ด้วยประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชาติพันธุ์ การแพร่กระจายของศาสนา ได้กำหนดให้บรรทัดฐานระหว่างสองสังคมนั้นให้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ นิตยสารกลุ่มข้างต้นที่ผมกล่าวไปเป็นนิตยสารที่วางขายในวงกว้าง มิได้หลบขายอยู่ใต้แผงดังเช่น หนังสือโป๊ใต้ดินในยุคก่อน เนื่องจากนิตยสารหัวนอกเหล่านี้จำต้องอาศัยรายได้จากโฆษณาเพื่อมาทำกำไรให้กับผู้ผลิต ดังนั้น การทำหนังสือให้สอดคล้องกับบรรทัดฐานของสังคมจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับนิตยสาร Lifestyle ของตะวันตก ที่ถูกซื้อไปตีพิมพ์เป็นภาษาท้องถิ่น แน่นอนว่า กองบรรณาธิการของบริษัทผู้ซื้อหัวนิตยสารเหล่านี้มาก็ต้องปรับเนื้อหาให้มีความสอดคล้องกับวัฒนธรรมของสังคมในประเทศตน มิอาจมักง่ายแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาท้องถิ่นได้แบบทื่อๆ โดยมิเลือกเนื้อหา

ด้วยเหตุผลดังกล่าวเมื่อผม เปิดอ่านนิตยสาร FHM ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2547 (หน้าปก พาเมลา แอนเดอร์สัน) ถึงส่วน Sex Confidential คอลัมน์ หญิงสาวบนโซฟา (Girls on the Sofa) ผมจึงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงเนื้อหาที่ถูกนำมาตีพิมพ์

เนื้อหาของคอลัมน์ดังกล่าวเป็นการจับเอา ผู้หญิงไทย 5 คน ที่มีสถานะเป็นนักศึกษา 4 คน และพนักงานบริษัท 1 คน วัยอยู่ในช่วง 20-22 ปี มาถ่ายภาพ ตอบคำถามในเรื่องรสนิยมทางเพศกันอย่างโจ่งแจ้ง อย่างเช่น

- เคยลองร่วมเพศกันนอกห้องบ้างไหม
- แล้วสถานที่ใดที่อยากลองร่วมเพศนอกห้องมากที่สุด
- ชอบเป็นฝ่ายรุกหรือรับ
ฯลฯ

โดยปกติแล้วคอลัมน์ Girls on the Sofa ของ FHM ที่ถูกแปลเป็นภาษาถิ่นในภูมิภาคเอเชียอย่างเช่น ประเทศจีน นั้นกองบรรณาธิการมักจะเป็นการแปลเอาเนื้อหาจากภาษาอังกฤษ หยิบเอาผู้หญิงชาวตะวันตก มาเป็นผู้ดำเนินเรื่องและตอบคำถามทางเพศที่โจ๋งครึ่มเหล่านี้

มิใช่เรื่องแปลกที่สังคมตะวันตกจะเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะ หนังสือโป๊ในตำนานอย่างเพลย์บอย ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมาก็หยิบเอานักศึกษามหาวิทยาลัยดังๆ มาเป็นนางแบบนู้ดอยู่บ่อยๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยบรรทัดฐานของสังคมไทย และวัฒนธรรมเอเชียหลายๆ ประเทศ ปัจจุบัน เรื่องเหล่านี้ผมยังถือว่าเป็นเรื่อง ผิดปกติ และ ผิดบรรทัดฐานของสังคม

หลังจากอ่านพบเนื้อหาของคอลัมน์ดังกล่าว ผมก็เกิดคำถามขึ้นในใจ 3 ข้อคือ หนึ่ง แม้ทางกฎหมายสาวๆ ไทยเหล่านี้อายุจะบรรลุนิติภาวะแล้วแต่พวกเธอกล้าได้อย่างไรที่จะ ตอบคำถามเหล่านี้ให้สาธารณชนได้ทราบ (ทั้งยังมีรูปภาพมายืนยันอีกต่างหาก) สอง กองบรรณาธิการนิตยสารดังกล่าวเหตุใดจึงมิได้กลั่นกรอง ปล่อยเนื้อหาเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร และ สาม หลังจากกระแส เสรีทางการเมือง เสรีทางการค้า เสรีการเงิน สังคมไทยย่างก้าวเข้าสู่ยุคเสรีทางเพศ กับเขาแล้วหรือ?

อ.เสกสรรค์ อธิบายผ่านตัวอักษรให้ผมฟัง ถึงที่มา-ที่ไป ของสภาพสังคมในปัจจุบันกับเรื่อง อัตลักษณ์ และสำนึกสังกัด (Identity) ซึ่งผมขออนุญาตหยิบยกมากล่าวอ้างเพื่อความไม่คลาดเคลื่อนของเนื้อหา ว่า

ในยุคโบราณ คนเราแทบไม่มีอะไรเป็นอัตลักษณ์ของตัวเอง (Personal Identitiy) แต่ละคนจะค้นพบตัวเองได้ ก็ต่อเมื่อครองฐานะบางอย่างในกลุ่มที่เขาสังกัด ตั้งแต่เป็นลูกใครหลานใคร มีตำแหน่งอะไรในเผ่าพันธุ์ อัตลักษณ์ในเรื่องชนชาติ (Ethnic Identity) เป็นสิ่งหนึ่งที่ก่อรูปขึ้นมาในยุคดังกล่าว การอยู่นอกชนเผ่าหรือกลุ่มสังกัดพื้นฐาน เท่ากับว่าไม่มีตัวตน
ต่อมาในยุคสมัยใหม่ เมื่อมีรัฐชาติเกิดขึ้น อัตลักษณ์ในเรื่องชนชาติ เชื้อชาติ และวัฒนธรรมย่อยในท้องถิ่นต่างๆ ได้ถูกลบล้างไปมาก หรือถูกดัดแปลงให้มาขึ้นต่อลักษณะร่วมที่ใหญ่กว่า ซึ่งก็คืออัตลักษณ์ หรือ สำนึกสังกัดในระดับชาติ (National Identitiy) นั่นเอง
ถึงตอนนี้ พื้นที่สำหรับบุคลิกภาพเฉพาะตัวได้ปรากฎขึ้นมาบ้าง แต่พันธะที่มีต่อหน่วยสังกัดก็ยังเป็นกรอบใหญ่ที่เข้มข้นในการกำหนดพฤติกรรมคน สังคมจะมีบรรทัดฐานชัดเจนว่าผู้ใหญ่ควรวางตัวอย่างไร เด็กควรวางตัวอย่างไร กระทั่งมีจินตนาการแน่นอนเกี่ยวกับความเป็นผู้หญิง ผู้ชาย มีมาตรฐานเกี่ยวกับการแต่งกาย ถ้อยคำภาษา ฯลฯ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงข้อเรียกร้องที่บุคคลจะต้องสนองตอบต่อส่วนรวม
สุดท้ายเมื่อถึงยุคโลกาภิวัฒน์ ทั้งอัตลักษณ์ทางชนชาติและทางชาติ ต่างก็ถูกกัดกร่อนลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนสิ่งที่หายไป ย่อมรวมเอาสำนึกสังกัดที่เคยมีต่อส่วนรวมทุกระดับไว้ด้วย


อ.เสกสรรค์ กล่าวด้วยว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มนุษย์ (โดยเฉพาะเยาวชนที่เติบโตมากับโลกาภิวัฒน์) จึงมีเหลือแต่ Personal Identity ล้วนๆ .... พวกเขาไม่ผูกพันกับใครเลย นอกจากตัวเอง แต่พวกเขาก็ไม่มีกรอบอ้างอิงอะไรเลยในการค้นหาตัวตนของตนเอง ทุกอย่างจึงกลายเป็นเรื่องสับสนอลหม่าน ...... ภาวะดังกล่าว ส่งอิทธิพลเชื่อมต่อไปถึงการยึดมั่น และเชื่อถืออยู่เพียงในอิสระเสรีของตน แต่ขาดความรับผิดชอบและไม่รู้จัก บทบาท-หน้าที่ของตนที่มีต่อสังคมโดยรวม

ถึงตรงนี้ ..... หญิงสาวบนโซฟาทั้ง 5 คน ถ้ามีโอกาสได้อ่านข้อเขียนชิ้นนี้ ก็อาจจะกล่าวโต้แย้งผมกลับคืนมาก็ได้ว่า คอลัมน์ดังกล่าว "เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน สิทธิส่วนบุคคลของฉัน ร่างกายฉัน ความคิดของฉัน คนอื่นไม่เกี่ยว"

หากหญิงสาวทั้ง 5 และ คนในสังคมส่วนใหญ่เห็นพ้องดังเช่นคำโต้แย้งที่ว่า ผมก็จะยินดีก้มหน้ารับคำด่าทอ และ ทนมองสังคมไทยในรูปลักษณ์ที่ไม่คุ้นตา โดยดุษณี
กำลังโหลดความคิดเห็น