ตอนที่ 155 “Half Truth…ความจริงครึ่งเดียว…ถึงการผ่าทางตันองค์กรอิสระ !”
เช้าวันนี้…จิบกาแฟขมแล้ว รับประทานขนมเปียกปูนขาว ที่หวานหอมอร่อยล้ำ เป็นขนมประจำตระกูลของผมเลยก็ว่าได้ ผู้คนที่เคยชิมลิ้มรส ต้องยกหัวแม่มือให้ทุกคน
กินขนมพร้อมกับดูโทรทัศน์ ที่นำภาพยนต์สืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับองค์กรอาชญากรรมในสหรัฐมาฉาย เป้นเรื่องราวของมาเฟียระดับแนวหน้าของสหรัฐคนหนึ่ง ในยุคสองทศวรรษที่แล้ว คือ John Gotti ซึ่งแม้จะยิ่งใหญ่นักหนา แต่ในที่สุดก็ถูกทางการจับกุมดำเนินคดี ในข้อหาร้ายแรงหลายคดีด้วยกัน ซึ่งพยานที่ขึ้นมาให้การมัดตัวเจ้าพ่อคนนี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นลูกน้องคนสนิทของเขาที่ทรยศ ไปเข้าเป็นพยานให้กับอัยการนิวยอร์ค เป็นเหตุให้ศาลลงโทษในที่สุด
ภาพยนต์เรื่องนี้ผมดูหลายครั้งแล้ว เพราะสนใจศึกษาเรื่องของมาเฟียมานานและเก็บเอาบางส่วนไว้เป็นประโยชน์ ประกอบคำบรรยายในการสอนของผม ซึ่งหากมีโอกาส จะเขียนถึงเรื่องมาเฟียให้ท่านได้อ่านกันบ้าง
ภาพยนต์เรื่องที่ดูนี้ มีการนำสืบพยานบนศาล ก่อนพยานจะเบิกความก็ต้องมีการสาบานตนเหมือนบ้านเรา แตกต่างกันอยู่เล็กน้อย เกี่ยวกับข้อความที่ใช้ในการสาบาน กล่าวคือ
สำหรับศาลไทยนั้น จะมีคำสาบานเขียนติดไว้บนคอกพยาน เสมียนศาลก็จะให้พยานพนมมือ แล้วให้พยานกล่าวคำสาบานด้วยการอ่าน ตามแบบคำสาบานที่เขียนเอาไว้ว่า
“ข้าพเจ้า (ชื่อพยาน) ขอให้สาบานว่า จะให้การตามความสัตย์จริงทุกประการ …..” หากไม่ให้การตามความสัตย์จริง หรือให้การเท็จ ในคำสาบานก็จะมีการสาปแช่ง ขอให้มีอันเป็นไป หรือได้รับผลร้ายจากการเบิกความเท็จ ทำนองนี้ เมื่อสมัยผมเป็นนายตำรวจใหม่ๆ มีคำสาบานน่ากลัวมาก คือถ้าให้การเท็จ เสมียนศาลจะกล่าวนำว่า “ขอให้หอกเท่าใบพาย แทงเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา !….” ว่ากันแรงๆน่ากลัวกันอย่างนั้นเลยทีเดียว
ที่ว่ามานี้ ใช้ทั่วไปเมื่อพยานเป็นชาวพุทธ แต่หากพยานนับถือศาสนาอื่น ก็ให้กล่าวคำสาบาน หรือปฏิญญานตามความเชื่อในศาสนานั้น แต่ต้องมีข้อความว่า “จะให้การตามความสัตย์จริง”
สำหรับฝรั่งอเมริกันนั้น เราจะเห็นตามภาพยนต์ว่า เขาให้พยานยกมือขวาขึ้น หรือบางครั้งก็ให้วางมืออีกข้างหนึ่ง แตะพระคัมภีร์ แล้วเสมียนศาลก็กล่าวนำ ให้พยานว่าตามดังนี้
“ I swear to speak only the truth , the whole truth and nothing but the truth. So help me God. !”
จุดที่สำคัญมากคือ คำสาบานตนของไทยเราจะบอกว่า “สาบานว่าจะให้การตามความสัตย์จริง” ฝรั่งนั้นเขาสาบานว่าจะให้การตามความสัตย์จริง ความสัตย์จริงทั้งหมด (the whole truth)
ความจริงทั้งหมด นี่แหละเป็นปัญหา เพราะคนที่พูดความจริงไม่หมด หรือพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว มันก็จะนำมาซึ่งปัญหาภายหลัง เป็นเหตุให้ผมต้องเขียนถึงในวันนี้
เรื่องความจริงครึ่งเดียวนั้น นำมาซึ่งความเข้าใจผิดอย่างไร ผมอยากยกตัวอย่างคนดังๆให้ดูสักหน่อย
เอาเรื่องคนธรรมดาก่อนก็แล้วกัน
คุณเปรม สามีคุณพลอย ในเรื่องสี่แผ่นดิน ของพล.ต.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธ์ ปราโมช ซึ่งท่านจำลองเอามาจากชีวิตจริง ซึ่งคนมีชีวิตคล้ายคุณเปรมก็มีอยู่จริง ตอนที่ส่งผู้ใหญ่ไปเฝ้าเสด็จ เจ้านายของคุณพลอยถึงในวัง (เสด็จ เป็นคำเรียกเจ้านายสตรี ที่เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าแผ่นดิน) และทูลขอพลอยให้คุณเปรม ลูกหลานเจ้าคุณโชฎึก
ผู้ใหญ่ของคุณเปรม ก็คงทูลเสด็จว่าเป็น ผู้ชายคนที่จะมาขอคุณพลอยนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ชายหนุ่มมีการศึกษาจากไหน เป็นผู้ที่รับราชการอยู่ และคงจะมีความก้าวหน้าต่อไปในชีวิต (ซึ่งก็จริงเพราะต่อมาก็ได้เป็น พระยา คุณพลอยก็เป็นคุณหญิง) เมื่อเสด็จทรงเห็นว่าเป็นคุณเปรมเป็นชายหนุ่มที่มีชาติตระกูลและฐานะดี อนาคตไกล จะมาขอเอาข้าหลวงของท่าน คือคุณพลอยไปตบแต่งเป็นศรีภริยา ก็ทรงเรียกคุณพลอยมาถามไถ่ความสมัครใจ เมื่อเห็นว่าพลอยไม่ตอบว่ากะไร เสด็จก็ทรงตอบไปไม่ขัดข้อง แต่ให้เถ้าแก่ฝ่ายคุณเปรมไปขอเจ้าคุณพ่อของคุณพลอยให้เป้นทางการเสียก่อน
เรื่องราวที่เถ้าแก่ฝ่ายคุณเปรม มากราบทูลเสด็จท่าน ก็เป็นเรื่องจริงทั้ง แต่ไม่เป็น
the whole truth เพราะเมื่อคุณพลอยเข้าไปในบ้านคุณเปรมนั้น ปรากฏว่าพ่อพระเอกของเราก็เอาเด็กคือ ตาอ้น ซึ่งเป็นลูกของคุณเปรมกับเด็กในบ้าน มาฝากเป็นลูกนางเอก เรียกได้ว่า คุณพลอยต้องตกกระไดพลอยโจนสมชื่อ คือแต่งงานกับผู้ชายที่มีลูกแล้ว
ตรงนี้ แหละครับ ที่เสด็จทรงกริ้วนักหนา !
ทั้งนี้ก็เพราะว่า
การที่เถ้าแก้ของคุณพลอยมาทูลเสด็จนั้น ไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด จนทรงเข้าพระทัยผิดว่าพ่อเปรมนั้นเป็นโสดทั้งแท่ง หากเสด็จทรงทราบก่อนว่า
คนเรียกร้อยอย่างคุณเปรม ก็เคยได้เด็กในบ้านเป็นเมีย (เรียกว่า “เมียบ่าว” ) จนมีลูกแล้วหนึ่งคน คงไม่ทรงโปรดประทานคุณพลอยให้ออกจากวังไปมีเหย้าเรือนเป็นแน่แท้ !
การพูดเรื่องจริง แต่พูดไม่หมดอย่างเถ้าแก่คุณพลอยแบบนี้ ฝรั่งเขาเรียกว่า พูดแบบ “half truth”
สำนวนบอกความจริงเพียงครึ่งเดียวหรือ “half truth”นั้น มีการใช้กันบ่อยครั้ง อยากจะยกตัวอย่างท่านประธานาธิบดี ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งให้ดู คือ
ก่อนอเมริกันบุกอิรัค ประธานาธิบดีสหรัฐคือท่าน จอร์ช บุช ต้องขอความเห็นชอบจากสภาคองเกรสตามรัฐธรรมนูญ นั้น
Bruce Ackerman ได้เขียนบทความชื่อ Government by Half-Truth เขาบอกว่า ท่านประธานาธิบดีไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด เพราะการที่ท่านอ้างว่า อิรัคมีอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงนั้น ตัวของท่าน จอร์ช บุช ทราบดีแล้วว่า เกาหลีมีอาวุธนิวเคลียร์
ทำไม ท่านประธานาธิบดีจึงทราบน่ะหรือ ?
ก็เพราะเกาหลีเหนือบอกท่านเอง แล้วหากเป็นดังนั้น หากท่านประธานาธิบดีคิดว่า เกาหลีเหนือเป็น "axis of evil" แล้วทำไมท่านไม่บุกเกาหลีเหนือก่อนล่ะ ? ตรงนี้เองคุณ Bruce Ackerman ใช้คำพูดว่า “The president owes us an explanation.” คือ ท่านประธานาธิบดี ต้องอธิบายให้ประชาชนฟังนั่นเอง
พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ปาฐกถาเรื่อง "ภาวะเศรษฐกิจ ) ปีพ.ศ.๒๕๔๒ และแนวโน้ม ปี ๒๕๔๓" ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทย (ขณะนั้น ยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี) จัดโดยสำนักข่าว Radio News เมื่อ วันอังคารที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ ณ โรงแรมวินเซอร์สวิส สุขุมวิท ๒๐ ก็ใช้คำว่า“half truth” เหมือนกัน ท่านลองอ่านดู
“….เหมือนคนที่ดูว่าวันนี้คลอเรสเตอรอลของผมต่ำ แต่ผมไม่ไปดูไตรกลีเซอร์ไรน์ คือดูไม่ครบและยิ่งเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องทุกคนก็จะห่วงภาพ ห่วงอนาคตทางการเมือง จึงเสนอข้อมูล ในลักษณะ half truth บอกความจริงครึ่งเดียว จะเป็นตรงนี้มากทำให้เราไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริงในการแก้ปัญหา บางทีเราพยายามจะบอกกับสังคมด้วย ความจริงครึ่งเดียว ตรงนั้นก็แย่พอแล้ว เรายังไปหลงเชื่อความจริงครึ่งเดียวอันนั้นอีก ยิ่งเป็น อันตรายหนักเข้าไปอีก …..”
คำอธิบายของนายกรัฐมนตรีนั้น ค่อนข้างชัดเจน แต่ผมอยากให้ท่านลองคิดถึงเซลส์แมนที่ขายรถยนต์ให้ท่าน เขาอาจพูดว่า
“รถยนต์คันนี้เครื่องยนต์ดี เดินเรียบ สมรรถนะสูง ความเร็วต้นดี เข้าทางโค้งเลี้ยวได้ดีเพราะการทรงตัวเยี่ยม…”
สุดแท้แต่จะว่ากันไป ซึ่งเขาอาจพูดตรงกับความจริงทุกประการก็ได้ แต่ถ้ามีจุดอ่อนเขาจะไม่มีวันบอกออกมา ว่า
“นี่เป็นรถยุโรปนะครับ หม้อน้ำเขาทำไว้หนาสำหรับเมืองหนาว เพื่อกันไม่ให้น้ำจับตัวแข็ง แต่หากนำมาใช้ในเมืองร้อนอย่างบ้านเรา หม้อน้ำร้อนเร็ว จะระบายความร้อนไม่ทัน รถอาจดับง่าย เมื่อความร้อนขึ้นสูง…”
อะไรทำนองนี้ ที่ทำให้รถขายไม่ได้เด็ดขาด ถ้าขืนดันพูดความจริงออกมาทั้งหมด เขาจึงพูดถึงเฉพาะส่วนดีตอนต้นเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือ half truth
แต่ another half truth คือข้อด้อยที่กล่าวถึง เซลส์แมนจะต้องปิดบังเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่มีวันให้ลูกค้าล่วงรู้ พูดเอาแต่ส่วนดี หรืออาจเรียกว่า “พูดเอาแต่ได้” หรือพูดเพื่อให้ขายได้ ก็คงจะได้อีกเหมือนกัน
เมื่อไม่กี่วันมานี้ อีตามหาเธร์ อดีตนายกมาเลเซีย ฉกฉวยโอกาสที่บ้านเรามีเหตุการณ์ไม่ปกติ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ไทยกรณีปักษ์ใต้ ราวกับคนบ้านเราเป็นพวกที่ไร้สิทธิมนุษยชน ป่าเถื่อนเต็มประดา ทะลึ่งออกมาเสนอให้เราพิจารณาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเขตปกครองตนเอง ซึ่งเขาอาจพูดถูกบางส่วน เพราะกระบวนการขนย้ายผู้ชุมนุม หน้าโรงพักตากใบ นั้นบกพร่อง เกิดมีคนตายมาก ทำให้เปิดช่องให้มหาเธร์ ออกมาตีเข่าเขย่าศอก โจมตีว่ากล่าวเราให้เสียหาย แต่ท่านผู้อ่านทราบหรือเปล่า ว่าอีตานี่ก็พูดแบบ half truth เหมือนกัน
ทำไมผมจึงว่าแบบนั้น เหตุที่พูดอย่างนี้ ก็เพราะ
ประเทศมาเลเซียนั้น เขามีกฏหมายที่ ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง คือ กฏหมายความมั่นคง หรือ Internal Security Act ของเขา ที่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ สามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยว่า จะเป็นภัยต่อความมั่นคง มาควบคุมตัวไว้เพื่อสอบสวนหาหลักฐาน เป็นเวลานาน ๖๐ วัน ซึ่งกฏหมายเฮงซวยแบบนี้ ผู้มีอำนาจในเมืองเราสมัยก่อน เคยนำมาใช้ที่เรียกกันติดปากว่า “กฏหมายอันธพาล” คือจับคนมาขังก่อน ๓๐ วัน โดยไม่ต้องมีการดำเนินคดีตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาตามปกติ และมีผู้ที่มีอำนาจในยุคต่อมา อยากจะนำกฏหมายแบบห่วยๆของมาเลเซียมาใช้ ตอนที่เราจะยกเลิกกฏหมายคอมมิวนิสต์ ผมก็เขียนคัดค้านอย่างหัวชนฝา
มาในยุค รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของเรา ก็เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนในมาตรา ๓๑ ว่า
“การจับกุม คุมขัง หรือการกระทำใดอันกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน จะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฏหมาย”
แม้เราจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ ที่เขียนปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างนั้น แต่ครั้นเมื่อรัฐบาลนี้ ร่างกฏหมายการสอบสวนคดีพิเศษ ได้ให้อำนาจกรมสอบสวนคดีพิเศษอย่างมาก โดยยกเว้นรัฐธรรมนูญบางมาตรา ผมจึงเขียนวิจารณ์แหลกราญไปเลย เพราเห็นว่า
รัฐธรรมนูญนั้นมีความสำคัญยิ่ง ไม่สมควรที่จะออกกฏหมายพิเศษ มายกเว้นการบังคับใช้รัฐธรรมนูญกันง่ายๆอย่างนั้น
หากท่านผู้อ่านสนใจ กรุณาเปิดไปดู กาแฟขม ...ขนมหวานตอนที่ (๓๒) และ กาแฟขม...ขนมหวาน (๓๕)
เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการงดหรือเว้นการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ เป็นบางมาตรานั้น เป็นเรื่องใหญ่มากในประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา กว่าจะมี Amendment หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ละครั้ง ก็ใช้เวลาถกเถียงกันอยุ่หลายๆปี หรืออย่างเกาหลีจะย้ายเมืองหลวงใหม่กันสักที ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญถึงขั้นต้องลงประชามติกันเลย
ไม่ง่ายดายเหมือนเมืองไทยหรอกครับ !
เรื่องความสำคัญของรัฐธรรมนูญนี่ ผมอยากให้ดูกรณีการพ้นจากตำแหน่งของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นตัวอย่าง
ผู้คนรวมทั้งสื่อมวลชนทั้งหลายต่างรู้ดีว่า คุณหญิงนั้นซื่อสัตย์ เป็นคนดีมีความสามารถ ใครก็ยกย่องท่านในเรื่องนี้ด้วยกันทั้งนั้น และท่านเองได้รับเลือกเข้ามาสู่ตำแหน่ง โดยสมาชิกวุฒิสภาให้ความเห็นชอบ ความจริงเรื่องนี้ ไม่มีใครโต้เถียง
แต่ถ้าพูดแค่ก็แค่ half truth
เพราะ another half truth หรือ อีกครึ่งหนึ่งของความจริง ก็คือ
คุณหญิงได้เข้ามา โดยกระบวนการคัดเลือกที่ไม่ถูกต้องตามกฏหมายและ ระเบียบ ที่มีอยู่ (แต่ไม่ใช่ความผิดของคุณหญิงเลย แต่กระบวนการนั้นผิด) ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ได้วินิจฉัย ในเรื่องความไม่ถูกต้องของกระบวนการคัดเลือก คุณหญิงขึ้นมาเป็นผู้ว่าการส.ต.ง. ไปเรียบร้อยแล้วอย่างชัดเจน ว่า
เป็นเรื่องกระบวนการคัดเลือกที่ไม่ชอบ ซึ่งจำเป็นจะต้องเริ่มกระบวนการสรรหาตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
ตรงนี้กลับมีการไม่ยอมรับโดยกลุ่ม ส.ว.ที่สนับสนุนคุณหญิง
พูดอย่างนี้ท่านผู้อ่านอาจไม่เข้าใจ แต่สมมติให้ฟังง่ายขึ้นดังนี้
โรงเรียนหนึ่งได้ตั้งเกณฑ์การรับนักเรียนใหม่ โดยระบุไว้ชัดเจนว่า ผู้สมัครสอบเข้า ต้องสอบได้ถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไปเท่านั้น โรงเรียนจึงจะรับเข้าเป็นนักเรียนใหม่
มีผู้สมัครสอบหลายคน แต่มีนักเรียนสอบได้ ๖๐ เปอร์เซ็นต์เพียงคนเดียว แต่เมื่อ
เจ้าหน้าที่สอบคัดเลือก ส่งผลการคัดเลือกไปถึงที่ สภาคณะครู มี “ไอ้โม่ง” ไปบอกเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ในการสอบคัดเลือก ว่า ให้เสนอรายชื่อมาให้คัดเลือกมากว่า ๑ คน ทางเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่คัดเลือก จึงจำใจ ต้องเอารายชื่อพวกสอบได้เพียง ๕๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ไปอีก ๒ คน รวม ๓ คน ส่งกลับไปให้คณะครู
สภาคณะครู ประชุมเลือก เอาคนสอบได้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นผู้สอบเข้าเป็นนักเรียนใหม่ของโรงเรียนได้ โดยไม่ยึดถือหลักเกณฑ์ ที่บอกว่าต้องสอบได้ถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไปเท่านั้น
คณะผู้ตรวจการศึกษา ได้รับคำร้องขอให้พิจารณาว่า การคัดเลือกของสภาคณะครูนั้น ชอบหรือไม่ ? ซึ่งเมื่อตรวจพิจารณาแล้ว ก็ตัดสินว่า การคัดเลือกนักเรียนใหม่ของโรงเรียนนี้ไม่ชอบ ส่งคำพิจารณากลับไปยัง สภาคณะครู
คราวนี้ผมจะเปรียบให้ฟังกับกรณี ตำแหน่งผู้อำนวยการตรวจเงินแผ่นดิน ดังนี้
สภาคณะครูเปรียบเสมือน สมาชิกวุฒิสภา
คุณหญิงจารุวรรณ เมนทะกา คือผู้ที่สอบได้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ แต่กลับได้รับสิทธิเข้าเป็นนักเรียนใหม่
คณะผู้ตรวจการศึกษา เปรียบได้กับศาลรัฐธรรมนูญ
ที่น่าสงสาร และน่าเห็นใจเป็นที่สุด ก็คือ คนที่สอบได้ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ครั้งแรกเพียงคนเดียวนั้น คือ นายประธาน ดาบเพชร ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับคะแนนรอบคัดเลือกสูงสุด เกินกึ่งหนึ่ง และสมควรที่จะได้รับการเสนอชื่อ ให้วุฒิสภาให้การเห็นชอบ เพียงรายชื่อเดียว ไม่สามารถไปร้องขอความเป็นธรรม จากเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมองค์ใดได้ ไม่ว่าเป็นเปาบุ้นจิ้น หรือ THEMIS เทพนารีแห่งความยุติธรรม
แต่ปรากฏจากข่าว หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันเสาร์ที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เขาลงข่าวที่อ่านแล้ว น่าขยะแขยง เป็นอย่างมาก กรุงเทพธุรกิจ บอกไว้อย่างนี้ครับ
“….รายงานแจ้งด้วยว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา นายปัญญา ตันติยวรงค์ ประธานคตง.ได้มาเข้าพบนายสุชน โดยยืนยันว่า คตง.ได้เสนอชื่อมาเพียงคนเดียว คือ นายประธาน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด ๕ คะแนน ส่วนรายชื่อผู้ที่ได้อันดับรองลงไป คือ คุณหญิงจารุวรรณ และนายนนทพล นิ่มสมบูรณ์ มี ส.ว.ผู้หนึ่งได้ติดต่อไปยังผู้ใหญ่ในคตง.ให้แนบรายชื่อดังกล่าวมาด้วย….”
ส..ว.คนนั้นเป็นใคร ลายดอกออกไอ้โม่งอย่างไร ต้องลองไปถามคนที่มีนามว่า มนูญ ที่เปลี่ยนชื่อใหม่ อดีตประธานสภาครู ขณะนั้นกันเอาเอง
การกระทำของ นายปัญญา ตันติยวรงค์ ประธาน คตง. ที่เสนอรายชื่อด้วยเหตุผลว่า ส.ว.ผู้หนึ่งได้ติดต่อไปยังผู้ใหญ่ใน คตง. กำลังได้รับผลร้าย เพราะตามข่าวหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖ เขาพาดหัวข่าวว่า
…ประธาน"คตง."ติดบ่วง ปปช.ชี้ขาดผิด"กม.อาญา" ชงชื่อผู้ว่าสตง.มิชอบ…
เนื้อข่าวบอกว่า
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์และการกระทำของผู้ถูกกล่าวหา ที่ได้ทำบัญชีรายชื่อบุคคลอื่นที่ไม่ได้รับการคัดเลือก ไปให้วุฒิสภาพิจารณาเลือกและให้ความเห็นชอบ ทั้งๆ ที่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๓๑ ได้กำหนดให้เสนอวุฒิสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบเท่านั้นการกระทำดังกล่าว จึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาผู้ที่สมควรได้รับการเสนอชื่อ เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.๒๕๔๒ จึงมีมูลเป็นความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗
บ้านเมืองเรามันเป็นเสียงอย่างนี้ นอกจากผมจะสงสาร คุณประธาน ดาบเพชร แล้ว ก็ยังสงสารคนไทยด้วยกันเองจับใจ เพราะว่า
คนไทยไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง แถมยังไม่มีใครอธิบายให้ประชาชนฟัง ให้เข้าใจชัดเจน เรื่องเลยกลายเป็นคุณหญิงจารุวรรณ ถูกรังแก โดยคนรอบด้าน ทำให้ส.ว.(บางส่วน) ต้องเล่นบทพระเอกปกป้องให้คุณหญิง
ตอนนี้ กลุ่ม ส.ว. ที่ดิ้นรนเพื่อต่อสู้ให้ คุณหญิง จารุวรรณ เมณฑกา ของบรรดากลุ่ม ส.ว.ที่สนับสนุนคุณหญิง ต้องพ่ายแพ้เสียหน้าไป เพราะวุฒิสภาของตัวเอง ลงมติเรื่องผู้ว่า สตง.คนใหม่แทนคุณหญิงไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันอังคารสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ ส.ว.บางส่วน พวกที่แพ้โหวต ยังไม่ยอมให้จับแพ้ ที.เค.โอ.กันง่าย ยังดันทุรังต่อ กล่าวคือ
จะขอส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานะของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แล้วหรือยัง ? โดยอ้างว่าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งแรกไม่ได้ชี้ชัดว่าพ้นจากตำแหน่ง ดังนั้น ต้องวินิจฉัยให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้สังคมมีข้อสงสัย และใช้คำพูดสวยหรูว่า เพื่อไม่ให้เป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ ของการปฏิรูปทางการเมืองในการเลือกผู้ว่าฯ สตง.
ว่ากันหรูหราขนาดนั้นเลย
ผมฟังแล้ว เกิดอาการคลื่นไส้ อยากอ้วกเป็นนักหนา เพราะว่า
ก็พวกส.ว.กลุ่มนี้แหละครับ ที่ต่อต้านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยนั่งยันยืนยันว่า การเข้ามาสู่ตำแหน่งของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา นั้นถูกต้อง ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไม่ถูกต้อง
แต่คราวนี้กลับซมซานไปเรียกร้อง ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยใหม่ โดยบอกว่า “ต้องให้ชัดเจน” ก่อน นึกสังเวช ปนขำสิ้นดี
เรียกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะว่าอย่างไร ถ้าหากไม่ถูกใจ กลุ่มพวก ส.ว.พวกนี้ก็ต้องเอะอะตึงตังมันเรื่อยไปพูดง่ายๆ คือ
ฉันจะเลือกฟังคำของศาลรัฐธรรมนูญ เฉพาะที่ถูกใจฉันเท่านั้น !
จะเอากันอย่างนั้นหรือ ?
หากบรรดาสมาชิกวุฒิสภา แสดงความเคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ผูกพันทุกองค์กร เสียตั้งแต่ต้น โดยไม่ดักดาน ดันทุรังอย่างนี้ เรื่องราวทั้งหลายแหล่ ก็จะจบลงด้วยดี โดยไม่มีใครต้องเสียหน้า และการปฏิบัติราชการของ สตง. ก็จะไม่เสียหาย ยื้อลากยาวยืดยาด กินเวลามานานหลายเดือน
การส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น ที่ผมอยากพุดถึงอีกเรื่องหนึ่งคือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ซึ่งวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น มีเรื่องของ“half truth” ที่น่าสนใจปะปนอยู่มาก ซึ่งผมจะแจกแจงกับท่านผู้อ่านให้เห็นดำเห็นแดงกัน รวมทั้งจะนำเสนอ แนวทางการผ่าทางตัน สำหรับองค์กรอิสระแห่งนี้ ในทัศนะของผมด้วย ซึ่งจะต้องติดตามกันต่อใน กาแฟขม…ขนมหวาน เป็น ภาค ๒ ในโอกาสต่อไป อย่าได้พลาดเชียว
ก่อนจบภาคแรก อยากจะเรียน ว่า คำว่า “half truth” นั้น
เป็นการพูดความจริงแต่เพียงส่วนเดียว หรือเฉพาะบางส่วน อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดพลาด การตีความคลาดเคลื่อน การตัดสินใจผิดๆ และการพูดความจริงแบบครึ่งเดียว นั้น
นอกจากจะทำให้เข้าใจผิดๆแล้ว บางครั้งผู้พูด ก็มีจุดประสงค์แฝง ที่นำไปสู่การ
หลอกลวง ต้มตุ๋น และที่สำคัญคือการพูดแบบ “half truth” นั้นเรามักพบ ว่า
ผู้พูดอย่างนี้ มักจะมีเจตนาชั่วร้าย เข้ามาแอบแฝงอยู่ด้วยเสมอ !
สังคมที่ใช้การพูดแบบ half truth หรือพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวนั้น เป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง และบ้านเมืองเราทุกวันนี้ ชักจะกลายเป็นสังคมประเภทพูดกันด้วยความจริงเพียงครึ่งเดียว และคนพูดก็สามารถชักจูงให้คนไทยหลงผิดได้โดยง่าย ทั้งนี้เพราะว่า
ประชาชนคนบ้านเรานั้น ยังอ่อนด้อย ในเรื่องการค้นคว้าหาข้อมูลอยู่มาก !
นี่แหละครับ ที่เปิดช่องให้ผู้ที่มีเจตนาไม่ดีต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งบางครั้งก็เป็นบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่เสียเอง สามารถฉกฉวยโอกาส ด้วยการให้ข้อเท็จจริงบางส่วนกับประชาชน แต่ปิดบัง ซ่อนเร้น ข้อมูลที่สำคัญเอาไว้ ทำให้คนไทยเราตัดสินใจ และตัดสินคน ผิดพลาดอยู่เสมอ คนพวกนี้ชาญฉลาดแต่คุณธรรมต่ำเตี้ย และรู้จุดอ่อนประชาชนในเรื่องนี้ดี
พวกเขาจึงสามารถพูดชี้นำคนอย่างพวกเรา ที่เป็นประชาชนคนธรรมดา ให้หลงเชื่อ ได้ตามอำเภอน้ำใจ ไร้การขัดขวาง และเมื่อกระทำได้ผลบ่อยเข้า ผู้กระทำนั้นก็ยิ่งฮีกเหิมย่ามใจ บางครั้งก็สามารถกระทำการแบบ เจ้าของโรงน้ำแข็ง
ปั้นน้ำเป็นตัว ทำให้บ้านเมืองฉิบหาย ได้อย่างง่ายดาย !
……………………………………………………………………….