xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 153 “พ่อจ๋า แม่จ๋า อย่าทิ้งหนูนะ !”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เช้าวันนี้…จิบกาแฟขมร้อนๆหนึ่งถ้วยแล้ว ผมออกกำลังตามปกติ ฟังรายการข่าวตอนเช้าจากคลื่น ๙๕ เอฟ.เอม.ซึ่งเป็นคลื่นเพลงลูกทุ่ง แต่ตอนตี ๕ คุณ ยาว อยุธยา ได้นำข่าวที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์มาอ่าน ซึ่งเป็นข่าวชาวบ้าน ข่าวอาชญากรรมต่างๆ เวลาอ่านไปคุณยาวก็ออกความเห็นเป็นมุขตลกเล็กๆ และให้มุมมองจากมุมที่เป็นชาวบ้านจริงๆ เพราะคุณยาวเป็นดาราตลกที่มีชื่อเสียง ซึ่งคนที่เป็นตลกใกล้ชิดชาวบ้านมาก และสามารถจับและนำมุขตลกจากชีวิตจริง ออกมาเผยแพร่ให้สังคมได้รับรู้กัน

การฟังรายการของคุณยาว อยุธยา ทำให้ผมมีความรู้หลายอย่าง เช่น ระหว่างการดำเนินรายการมีผู้ฟังรายการจากสวีเดน เยอรมัน สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆโทรไปขอเพลง เพราะคลื่น ๙๕ เอฟ.เอ็ม.ของ อสมท.นี้ รับฟังทางอินเตอร์เนตได้ทั่วโลก ผู้ดำเนินรายการต้องเปิดสายพิเศษรับจากต่างประเทศเอาไว้โดยเฉพาะ

ก้าวหน้ากันขนาดนั้นเลย !
รายการคุณยาว อยุธยา นั้น นอกจากมีผู้โทรมาขอเพลงแล้ว เมื่อราวสองสัปดาห์ผมได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ ด.ญ.รัตนาภรณ์ อิ่มงาม มีคุณพ่อชื่อ ไพบูลย์ โทรมาจากบ้านอยู่ที่เขาทะลุ จังหวัดชุมพร ตามหาแม่ชื่อ ทองใบ สว่างวงศ์

คุณยาวถามว่า เป็นญาติกับ พจมาน สว่างวงศ์ หรือเปล่า ? ถ้าเป็นญาติกันก็ไม่ยาก ต้องไปตามหาบ้านทรายทอง แต่เธอบอกซื่อๆว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน และยังได้บอกต่อไปอีกว่า แม่จากไปตั้งแต่เธอยังเล็กอยู่ ทิ้งหนูรัตนาภรณ์อยู่กับพ่อ เมื่อสักสองสามปีที่ผ่านมา คุณไพบูลย์ผู้พ่อได้ตายจากไป ทิ้งเธอไว้ให้คุณย่าซึ่งอายุ ๗๓ ปีแล้ว เป็นผู้เลี้ยงดู เธออยากตามหาผู้เป็นแม่ คือ คุณทองใบ สว่างวงศ์ ซึ่งมีบ้านเดิมอยู่ที่อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี คุณยาวรับปากว่า จะช่วยประกาศตามหาให้

ต่อมาอีกไม่กี่วันผมได้ยินผู้ชาย ซึ่งทำงานก่อสร้าง ตามหาพ่อผ่านทางรายการคุณยาวอีก รายนี้บอกว่าแม่แยกทางกับพ่อ ตัวเองอยากรู้ว่าพ่อไปอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าบิดาเป็นคนระยอง รายนี้ไม่ได้ขออะไรมาก เพียงแค่อยากคุยกับพ่อ ถ้าหากพ่อรู้ข่าวแล้ว ขอแค่บอกเบอร์โทรศัพท์ฝากไว้ทางรายการ แล้วจะโทรไปหา เพราะอยากถามไถ่คุยกันกับพ่อตัวเองเท่านั้น

หลังจากนั้นมีผู้ตามหาญาติที่หายไป ผ่านทางรายการคุณยาว อยุธยา อีกหลายราย ขอให้ช่วยประกาศให้ด้วย น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น “รายการเพลงลูกทุ่งตามหา” เสียเลยถ้าจะดี วันนี้ ผมจึงเห็นว่าเรื่องคนหาย การติดตามคนที่ไม่ได้พบ หรือจากกันมาเป็นเวลานานนั้น เป็นเรื่องที่สมควรจะต้องนำมาคุย ให้ท่านผู้อ่านได้รับฟังกันบ้าง

เมื่อต้นเดือน ทางราชการได้จัดให้ผู้ที่ร้องทุกข์ผ่านตู้นายก มาพบกับนายกรัฐมนรี
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มีคุณยายละออ แม่ค้าขายลอตเตอรี่ ตามหาลูกชายหญิงชื่อ “ประณต อารีรัตน์” กับลูกสาว ชื่อ “ครรชาติ อารีรัตน์” ซึ่งสามีพาหนีหายจากบ้านของคุณยายละออ ที่ อ.แม่สอด จ.ว.ตาก ไปเป็นเวลาสามสิบปีเต็มๆ คุณยายได้ติดตามหาลูกซึ่งอยู่ในดวงใจของท่านมาโดยตลอด และได้ร้องทุกข์ผ่าน “ตู้กายสิทธิ์ ของนายก” จนในที่สุดก็ได้รับความช่วยเหลือจากทางการ และได้พบกันในรายการที่ทางรัฐบาลจัดขึ้น แต่ผมไม่ได้ดูรายการสด ได้ฟังจากข่าวว่า ลูกกับแม่ต่างดีใจโผเข้ากอดกัน นายกก็เอามาเล่าให้ประชาชนฟัง แต่ทางรายการเช้าๆทางโทรทัศน์ ของคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา บอกว่า มีคนสงสัย และพูดจาในทำนอง ว่า

เป็นการจัดฉากหรือเปล่า ที่ทำอย่างนี้เนี่ยะ ! ?
ทำไมตามเจอแล้ว ไม่รีบบอกลูกเขาก่อนล่ะ รออะไรกันจนถึงป่านนี้ ต้องเอามาเจอกันบนเวที ?

ผมฟังคุณสรยุทธฯพูดแล้ว กลับเห็นว่า

ถึงจะเป็นการจัดฉากก็เอาเถอะ ไม่เห็นจะเป็นอะไรไปเลย เพราะการจัดฉากให้คนที่เป็นแม่ลูกซึ่งจากกันมาหลายสิบปี ได้กลับมาพบกันได้ ถือว่าเป็นเรื่องการกุศลโดยแท้ การที่จัดให้มาพบในวันเดียวกัน ต่อหน้าประชาชนที่ดูรายการโทรทัศน์นั้น เป็นการประกาศให้ผู้คนในประเทศได้รู้ว่า ทางราชการนั้น มีศักยภาพในการติดตามคนหาย พลัดหลง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่น่าไว้วางใจของประชาชนได้ ใครก็ตาม ที่ตกอยู่ในภาวะเดียวกับคุณยายละออตามหาลูก หรือเด็กที่ตามหาพ่อแม่ จะได้มีกำลังใจ ขอความช่วยเหลือไปยังรัฐบาล เพราะได้เห็นแล้วว่า หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐบาลของเขานั้นยังพอพึ่งพาอาศัยได้ ในเรื่องการติดตามหาพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ที่พลัดพรายหายจากกันไปเป็นเวลานาน หรือไม่เคยพบหน้าค่าตากันมาก่อนในชีวิต จะได้กลับมาอยู่รวมกันเป็นครอบครัวได้อบอุ่นอีกครั้ง

เป็นเรื่องดีงามแท้ ๆ !

เรื่องคนหายพลัดหลงนั้น เป็นเรื่องที่ผมมีความรู้อยู่บ้าง เพราะในสำนักงานตำรวจ
แห่งชาตินั้น ตั้งแต่ครั้งยังเป็นกรมตำรวจมีหน่วยงานอยู่หน่วยหนึ่งชื่อ “แผนกคนหายพลัดหลง” ซี่งเป็นหน่วยงานเล็กๆ ซึ่งรวบรวมสถิติคนหายเอาไว้ทั่วประเทศ หน่วยงานหน่วยนี้ เป็นลำดับที่สองในกรมตำรวจ ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาจัดสาระบบทะเบียน “คนหาย พลัดหลง” ตั้งแต่เมื่อ ๓๐ ปีก่อนหน่วยแรกกรมตำรวจที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ คือ กองการเงินกรมตำรวจ ซึ่งเป็นหน่วยต้นๆของประเทศไทยที่ใช้เครื่องประมวลผลของบริษัท ไอ.บี.เอ็ม. ตรงนี้หากใครอยากรู้เรื่อง การนำเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในประเทศบริษัท ไอ.บี.เอ็ม. น่าจะมี
ข้อมูลในเรื่องนี้เพ่อการค้นคว้าอย่างครบถ้วน

ทางแผนกคนหายพลัดหลงนั้น ได้แจกจ่ายข้อมูลเกี่ยวกับคนหาย พลัดหลง ทั้งประเทศ ส่งต่อไปยังสถานีตำรวจทั่วประเทศ มาเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว ในรูปเอกสารแจกจ่าย หากจะมีการต่อเชื่อมระบบอินเตอร์เนตให้เป็นข้อมูลสาธารณะ น่าจะมีประโยชน์อย่างมาก

ถ้าจะเอาให้ดีกว่านั้น จะต้องให้หน่วยคนหายพลัดหลง ของตำรวจนี่แหละที่เป็นศูนย์กลาง รับปฏิบัติการอำนวยการสืบค้นหาคนหายพลัดหลง ให้หน่วยนี้สามารถเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ กับสาระบบทะเบียนบ้าน ทะเบียนบุคคล ของกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยหนังสือเดินทางของกระทรวงการต่างประเทศ ปัญหาเรื่องคนหายในประเทศ ก็จะเบาบางลงอย่างไม่ยากเย็นอะไร การติดตามตัวบุคคลก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังเป็นการบริการประชาชนได้อย่างดีอีกทางหนึ่ง

หากพ่อ แม่ และลูกมาพบกันไม่ได้ อย่างรายของคุณยายละออ ลูกชายก็ยังไม่ได้พบหน้าแม่ มีแต่ลูกสาวเท่านั้นที่ได้พบ แต่ได้คุยกันทางโทรศัพท์แล้ว ลูกสองคนอยากจะไปหาแม่ที่อำเภอแม่สอด แต่ยังติดขัดเรื่องค่ารถค่ารา เพราะเป็นผู้ใช้แรงงาน ต้องรอเก็บเงินอีกสักพัก อย่างนี้รัฐบาลไม่ต้องหาคนช่วยเอง แค่บอกบุญหน่อยเดียว คนก็บริจาคให้แล้ว

หากนายกทักษิณทำเรื่องนี้ เอา คุณยาว อยุธยา นั่นแหละ เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เรื่องการติดตามคนหายพลัดหลงเสียเลย รับรองว่า ความนิยมและคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นอีกมากด้วยซ้ำไป หรือใครว่าไม่จริง ?

ยุกันตรงๆอย่างนี้แหละ เพราะเรื่องดีๆอย่างนี้ต้องเชียร์รัฐบาล ให้พรรคฝ่ายค้านอิจฉาเล่นกันบ้าง !

ผมเคยบอกท่านผู้อ่านว่า ตำรวจทั่วโลกนั้น ทำภาระกิจเหมือนกัน ๔ ประการคือ การป้องกัน การปราบปรามอาชญากรรม การทะเบียน และการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ตำรวจทั่วโลกเขาทำหน้าที่นี้กันทั้งนั้น และการทะเบียนของกรมตำรวจนั้น บอกได้เลยว่ายอดเยี่ยมแห่งหนึ่งในภาคพื้นเอเซียเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการทะเบียนตัวบุคคล ลายพิมพ์นิ้วมือ ระบบบุคคลต่างด้าว งานคนเข้าเมือง ดังได้เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังแล้ว ว่า

ผู้หญิงลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นคนหนึ่ง เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่กี่ปี บิดาของเธอเป็นคนเข้าเมือง สัญชาติญี่ปุ่น เมื่อแต่งงานกับแม่ก็ได้ให้กำเนิดเธอ และด้วยเหตุผลทางครอบครัว คุณพ่อต้องจากเธอไป บังเอิญได้มีโอกาสรู้จักกันกับผม เธอได้ขอร้องให้ช่วยตรวจสอบหาใบต่างด้าวของพ่อ เพื่อรู้ถิ่นที่อยู่ของพ่อในญี่ปุ่น เธอบอกชื่อของเพียงชื่อบิดา และเล่าว่า บ้านที่พ่อกับแม่อยู่อาศัยด้วยกันตอนสงครามเลิกนั้น อยู่ซอยในท้องที่ สน.ลุมพินี ข้อมูลมีเพียงแค่นั้น

ผมยกโทรศัพท์หนเดียวจริงๆ โทรถึงนายตำรวจคนหนึ่งซึ่งเชี่ยวชาญทางคนต่างด้าว ท่านหนึ่ง ชื่อ พ.ต.อ.เชาวฤทธิ์ ราชพิทักษ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้กำกับการ ๒ กองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรขณะนั้น

ไม่น่าเชื่อเลยว่า เพียงแค่วันรุ่งขึ้นเท่านั้น ท่านโทรกลับมาพร้อมกับบอกผมว่า ได้แฟ้มเรื่องราว ใบต่างด้าวรูปถ่ายของบิดาสุภาพสตรี ที่มาขอความช่วยเหลือจากผมเรียบร้อยแล้ว ทำให้เธอได้พบปะกับครอบครัวของบิดา ได้ตามความปรารถนา ที่รอคอยมานานเกือบสามสิบปี

เมื่อเอ่ยถึง พ.ต.อ.เชาวฤทธิ์ ราชพิทักษ์ นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ ๒ ซึ่งท่านเกษียณอายุไปนานแล้ว ผมต้องขอสดุดีว่า ท่านเป็นผู้มีความเชียวชาญในเรื่องงานทะเบียนคนต่างด้าวมาก ผลงานของท่านที่ยอดเยี่ยมได้แก่ การจัดสาระบบงานทะเบียนต่างด้านของกรมตำรวจ ซึ่งมีความทันสมัย แม่นยำ น่าเชื่อถือมาจนทุกวันนี้

แนวความคิดเรื่องการตั้งศูนย์คนหายพลัดหลงนี้นี้ของผม หากทางรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลใหม่ จะรับไปทำผมก็จะยกมืออนุโมทนาบุญ ขอให้ทำเถิดครับ ได้กุศลดีด้วย

เรื่องเด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง ไม่ว่าด้วยการจงใจ หรือจำเป็น หรือโดยอุบัติเหตุใดๆก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่น่าสงสาร และน่าเศร้าใขจด้วยกันหมดทั้งสิ้น และจำนวนทารกที่ถูกทอดทิ้งในแต่ละปี มีจำนวนไม่น้อย เพราะปรากฏเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์เสมอ บางรายมีคนไปพบไม่ทันการก็ขาดอาหารตาย หรือโดนสัตว์รุมกัดกินเอาด้วยซ้า หากทารกคนนั้นพูดได้ คงร้องออกมาว่า

“พ่อจ๋า แม่จ๋า อย่าทิ้งหนูนะ !”

เมื่อผมยังเป็นเด็กอยู่นั้น องค์กรเอกชนที่แข็งแรง และมีชื่อเสียงในการรับเลี้ยงเด็กกำพร้า คือ มูลนิธิพิระยานุเคราะห์ อยู่ที่ถนนสาธรใต้ ซึ่งมีคุณหญิง เพียร เวชบุล ได้จัดตั้งและเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเอง ท่านเป็นคริสตศาสนิกชน(คาทอลิค) ผมไปบ่อยเพราะตามแม่เอาข้าวสารบ้าง เงินบ้าง ไปบริจาค จึงรู้จักกับคุณหญิงเพียร เวชบุล ผู้อำนวยการมูลนิธิ

สมัยที่คุณหญิงท่านมีชีวิตอยู่ ผู้คนที่ไปรับประทานข้าวกลางวันที่ห้องอาหารของโรงแรมเอราวัณ ตรงสี่แยกราชประสงค์ ชื่อเอราวัณคาเฟ่ จะพบท่านพาลูกของๆของท่าน ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าในความอุปการะ ไปรับประทานอาหารเกือบทุกกลางวัน ครั้งละ ๒-๓ คนเสมอ ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านบ่อยครั้ง ตอนหลังเมื่อท่านเสียไปแล้ว มูลนิธิคงย้ายที่ทำการ เพราะตึกเก่าของคุณหมอหายไป ดูเหมือนจะไปเปิดอุปการะเด็กที่อื่น ไม่แน่ใจว่าจะอยู่ในวัดธาตุทองหรือไม่ ?

อย่างไรก็ตาม แม้ท่านจะไปสถิตอยู่บนสรวงสวรรค์ กับพระผู้เป็นเจ้าแล้วก็ตาม แต่ชื่อของคุณหญิงเพียร เวชบุล หรือที่สื่อมวลชนและประชาชนเรียกขานท่านว่าเป็น “แม่พระ” ยังคงปรากฏอยู่ ให้ผู้คนได้พูดถึงคุณงามความดีของท่านกันอยู่มิได้ขาด

การดูแลเด็กกำพร้าและเด็กถูกทอดทิ้งนั้น เป็นงานที่ยิ่งใหญ่มากตอนนี้เป็นภาระของรัฐ โดยกรมประชาสงเคราะห์ ซึ่งผมคิดว่า หากท่านที่ไม่มีลูกจะรับเด็กไปอุปการะ ก็จะเป็นกุศลอย่างยิ่ง สมัยก่อนผมเป็นนายตำรวจต่างจังหวัด เห็นคนยากจนเอาลูกไปทิ้งไว้ที่วัด ฝากพระท่านเลี้ยง ไม่ใช่มีน้อยๆเสียเมื่อไหร่ หากมีเป็นจำนวนมากเลยเดียว

ฉะนั้น วัดนี่แหละคือสถานที่เป็นที่พึ่ง ของชาวพุทธผู้ยากไร้ ซึ่งก็มีหลวงพ่อหลายรูปที่ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหลายวัด สำหรับศาสนาคริสต์ทั้งคาทอลิคและโปรเตสแตนท์ ต่างก็มีที่รับเลี้ยงเด็กของตนเอง เช่น “บ้านเด็กกำพร้าพัทยา” ของโบสถ์มหาไถ่ฝ่ายคาทอลิค “มูลนิธิดรุณาทร” ที่เชียงใหม่ “มูลนิธิคริสเตียนเพื่อเด็กพิการในประเทศไทย” ที่นนทบุรี ซึ่งเป็นของฝ่ายโปรเตสแตนท์ และมีจำนวนนับสิบแห่งทั้งสองนิกาย ส่วนเด็กกำพร้าที่เป็นมุสลิมะ(ผู้นับถืออิสลาม) ก็มีมูลนิธิคอยดูแลอยู่เช่นกัน ซึ่ง คุณหญิง แสงดาว สยามวาลา ท่านช่วยเหลือและให้ความอุปการะอยู่ เรียกได้ว่า

ผู้คนที่ใจบุญในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นศาสนิกในศาสนาใดๆก็ตาม ล้วนแต่มีน้ำใจเมตตากรุณา ไม่ได้ทอดทิ้งเด็กกำพร้าแต่อย่างใด ต่างก็ร่วมมือช่วยกันเต็มกำลังทั้งนั้น

เรื่องเด็กกำพร้าโดยพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดทอดทิ้งนั้น น่าสงสาร กลายเป็นภาระของรัฐที่จะต้องให้การดูแล เพราะจะเอาไปฝากวัดเหมือนแต่ก่อนนั้นก็ทำได้ยาก การรับอุปการะเด็กเหล่านี้ก็มีกฏเกณฑ์ มีการตรวจสอบถี่ถ้วน กว่าจะหาผู้อุปการะที่มีคุณสมบัติ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงมีเด็กที่ต้องเติบโตในสถานกำพร้าเป็นจำนวนไม่น้อย ที่ไร้ผู้มารับไปเลี้ยงดู หรือเด็กมีผู้อุปการะไป ต่อมาเกิดเบื่อการเลี้ยงดู ทิ้งขว้างหรือทำทารุณกับเด็ก ก็เป็นเรื่องที่มีปัญหามิได้ขาด

ในชีวิตการรับราชการ ผมได้เห็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งมาหลายครั้ง โดยเฉพาะทางภาคอีสานที่เศรษฐกิจรัดตัว เด็กถูกทอดทิ้งอยู่กับคนชราซึ่งเป็นปู่ ย่า ตา ยาย ตามหมู่บ้านก็มีเป็นจำนวนมาก แม้จะมีพ่อแม่แต่ก็เหมือนเป็นกำพร้า หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น “กำพร้าเทียม” เพราะไม่มีพ่อแม่ อยู่คอยคุ้มครองดูแลด้วยเหตุผลและความจำเป็นทางเศรษฐกิจโดยแท้ หากรัฐบาลได้ช่วยเหลือให้คนอีสาน มีงานประจำในท้องถิ่นของตน ปัญหานี้จะลดลงได้อย่างมาก และครอบครัวทางภูมิภาคนี้ จะมีความสุขดีกว่านี้มาก

การที่คนเราต้องการสืบค้น เพื่อหาพ่อแม่หรือบรรพบุรุษของตนนั้น เป็นเรื่องที่บูมมาก หลังจากที่หนังสือเรื่อง Roots ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการสืบค้นหาบรรพบุรุษของคนอัฟริกัน- อเมริกันออกมา และกลายเป็นภาพยนต์ ที่สะเทือนใจผู้คนทั้งโลก

Roots ได้จุดกระแส ให้ผู้คนเริ่มสืบค้นความเป็นมาของตน และ ยังกระตุ้นให้เด็กที่ได้รับการอุปการะเป็นบุตรบุญธรรม ในสังคมอเมริกัน ทวีความต้องการทราบว่า ผู้ให้กำเนิดของตนเป็นใคร ? มากยิ่งขึ้น จนกระทั่งมีการตั้งเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือกัน เพราะพ่อแม่บุญธรรม แม้กระทั่งทางการเอง ก็ต้องการปกปิดความจริง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบถึงตัวเด็ก การสืบค้นจึงทำไม่ได้ง่ายนัก โดยเฉพาะหากการรับบุตรบุญธรรม หากกระทำโดยสำนักงานทนายความมืออาชีพ และมีการเก็บความลับดีเยี่ยม ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้ที่เป็นบุตรบุญธรรมนั้น จะเจาะผ่านแนวป้องกัน การรักษาความลับเข้าสืบหาพ่อแม่ที่แท้จริงของตนนั้น เป็นได้ได้ยากยิ่ง

เรื่องราวของเด็กกำพร้า และการสืบค้นหาที่มา หรือรากเหง้าของตนเองนั้น ได้มีหนังสือแนวนี้ออกมาจำนวนมาก ดังปรากฏตามรูปประกอบคอลัมน์นี้

อย่างไรก็ตาม การติดตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงนั้น หากบิดามารดาบุญธรรมที่ให้การเลี้ยงดูมา สนับสนุนให้เด็กได้ค้นหาความจริง ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่มีหลายครอบครัวเมื่อเด็กรู้ความจริง ก็หมดรักในพ่อแม่บุญธรรม เกิดการมีปากเสียง ในที่สุดก็กลายเป็นปัญหา ในสังคมอเมริกันเป็นจำนวนไม่น้อย และไม่ใช่แต่หมู่อเมริกันชนเท่านั้น แม้แต่ในสังคมไทยนี้ เอง ผมเองเคยพบครอบครัวที่รับบุตรบุญธรรมเอาไว้ เมื่อตัวเด็กรู้ความจริง ก็เตลิดไปจนไม่กลับมากระทั่งทุกวันนี้ !

เด็กที่ติดตามหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด อาจได้รับการต้อนรับที่ไม่ดี จากบุคคลที่ทำให้ตนเกิดขึ้นมา กลายเป็นรอยแผลติดใจไปตลอดชีวิต บางทีพ่อหรือแม่ไปมีครอบครัวใหม่ โดยยกทารกที่ตัวเองร่วมกันผลิตออกมาดูโลก ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นด้วยกัน ก็ไม่อยากให้ครอบครัวใหม่ของตนล่วงรู้ความลับที่ปกปิดไว้ จึงพยายามขับไล่ใสส่งเด็กที่เป็นลูกที่ตัวให้กำเนิดมา ออกไปจากชีวิตของตนเสียโดยเร็ว

เรื่องราวในลักษณะเรื่องสั้น ที่ผมจะผูกขึ้นมาให้ท่านอ่านต่อไปนี้ มีผู้เขียนในเค้าโครงแบบเดียวหรือคล้ายกันเอาไว้มาก แต่ผมอ่านดูหรือรับรู้มาเมื่อใดก็ตาม ก็อดสงสารไม่ได้ทุกครั้งไป
อยากให้ท่านที่เคารพ ลองอ่านเรื่องสั้นชื่อ “ใครหนอที่หน้าเหมือนฉัน” ของผมซึ่งเอาเค้าโครงมาจากเรื่องของเด็กที่ถูกยกเป็นบุตรบุญธรรม มาฝากท่านผู้อ่านเพราะคงจะอธิบายเรื่องทำนองนี้ได้ดี

“ใครหนอ ที่หน้าเหมือนฉัน”
โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


หญิงสาวยืนอยู่หน้าบ้านหลังกระทัดรัด กลั้นหายใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอื้อมือกดกริ่ง ความคิดของก็พรั่งพรูเข้ามา
สตรีผู้อ่อนเยาว์นึกถึงความกระตือรือร้น ในความต้องการที่จะพบแม่ผู้ให้กำเนิดที่แท้จริง ทำให้เธอต้องผิดใจกับบิดามารดาอุปถัมภ์ ที่รัก เอ็นดู เฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเธอมาตลอดชีวิต แต่สัญชาติญาณความที่อยากรู้ว่า ผู้ให้กำเนิดของตนเองเป็นใคร เกิดขึ้นเมื่อได้พบเอกสารบางอย่าง เกี่ยวกับตัวเธอในการรับบุตรบุญธรรม ของพ่อแม่ผู้รับอุปการะ ทำให้เธอสัญญากับตัวเองว่า ต้องพบหน้าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเธอ ให้จงได้

การติดตามเริ่มจากการหาพ่อก่อน ซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะการติดตามหาสะดุดลง เพราะบิดาผู้ให้กำเนิดได้เสียชีวิตลง จึงทราบต่อมาว่าแม่ได้แยกทางจากไปตั้งแต่คลอดเธอไม่กี่สัปดาห์
การค้นหามารดาใช้เวลานานพอควร จนระหว่างเวลาของการค้นหานั้น ทำให้หญิงสาวมักจะมองหน้าผู้หญิงวัยกลางคน ที่เดินสวนกันกับเธอแล้วคิดว่า
ใครหนอ ที่ใบหน้ามีส่วนละม้ายคล้ายกับเธอ จนควรจะเป็นมารดาที่แท้จริงของเธอได้ !
แม้ความหวังที่จะพบสตรีผู้เป็นแม่จะริบหรี่ แต่ในที่สุดความพยายามของก็เป็นผล บัดนี้เธอได้มายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านของ ผู้ที่ให้กำเนิดเมื่อยี่สิบสามปีที่แล้ว
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอด และกลั้นไว้ ก่อนเอื้อมมือกดกริ่ง

มีคนมาเปิดประตู และสตรีวัยกลางคน ที่มองแล้วมีส่วนประพิมประพายคล้ายเธออยู่มาก ปรากฏอยู่ที่หน้าประตู ยืนจ้องมองเธออยู่อึดใจ ก่อนที่จะถามว่ามาพบใคร
“หนูมาหาคุณค่ะ” เธอตอบหางเสียงสั่นเล็กๆ
ผู้มาเปิดถอยห่างจากประตู เชิญเธอไปนั่งตรงระเบียง โดยไม่นำเข้าไปในบ้าน
“มีธุระอะไรกับฉันหรือจ๊ะ ?” เสียงถามราบเรียบ
“คุณเป็นแม่หนูใช่ไหมคะ ? เธอถามยิงตรงเป้า บอกชื่อบิดา และการยกบุตรบุญธรรมให้กับผู้อื่น
“เธอต้องเข้าใจนะว่า….” ฝ่ายที่ถูกถามวางหน้าเฉย และเอ่ยขึ้นอย่างปกติ ไม่มีความรู้สึกพิเศษ
“ตอนนั้น ฉันกับผู้ชายคนนั้นยังอยู่ในวัยรุ่น เราไม่สามารถเลี้ยงดูเธอได้ จำเป็นต้องยกให้กับคนอื่นไป…”
หยุดมองหน้าหญิงสาว ผู้ที่ใช้ความพยายามเข้ามาถึงตัวเจ้าของบ้านอย่างยาวนาน แววตาที่จับจ้องผู้เยาว์นั้นช่างเย็นชา แห้งแล้ง ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า
“ตอนนี้เธอก็มีความเป็นอยู่ดี ไม่ใช่หรือ ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องมาตามหาฉันหรอก เพราะฉันเองก็มีครอบครัวและมีลูกใหม่แล้ว”
จบประโยคพร้อมกับดูนาฬิกาข้อมือ เป็นการแสดงโดยนัยว่า การสนทนานี้กำลังจะต้องจบลง ก่อนบอกอย่างไม่มีเยื่อใยว่า
“เธอกลับไปได้แล้ว นี่ได้เวลาสามีของฉันกำลังจะกลับมา หากพบเข้า ฉันจะพาลเดือดร้อน”
ผู้พูดลุกขึ้นเดินตรงไปที่หน้าประตูหน้าบ้าน หญิงสาวเดินตามอย่างมีนงง
สตรีเจ้าของบ้านเปิดประตู หันมามองเธอเป็นสัญญาณว่า การพบปะสิ้นได้สุดลงแล้ว หญิงสาวก้าวออกจากประตู โดยไม่ได้ยกมือไหว้ และลืมบอกลา เป็นการจากไปด้วยอาการเหม่อลอย ไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกแม้แต่น้อย
สาวน้อยผู้น่าสงสาร ขับรถกลับบ้านด้วยความคิดที่สับสน สิ่งที่รอคอยมาแสนนาน กลับจบลงภายใต้การสนทนาอันสั้นรวบรัด

มาถึงบ้านที่เธอเติบโตขึ้นมาอย่างอบอุ่น สีหน้าหม่นหมองของเธอกลับคลี่คลายลง เมื่อได้เห็นชายหญิงวัยกลางคนอยู่กลางสนาม กำลังจ้องมอง พร้อมกับรอยยิ้มต้อนรับด้วยความปราณี เปล่งประกายของความรักและเอ็นดู
หญิงสาวยิ้มตอบอย่างกว้างขวาง กางแขนทั้งสองข้างออก ร้องเสียงดังว่า
“คุณพ่อ คุณแม่ขา !” พร้อมกับวิ่งเข้าถลาเข้ากอด และซบผู้ที่รู้จักเธอมาชั่วชีวิตทั้งคู่ ซึ่งฝ่ายหลังกอดตอบด้วยความอบอุ่น
แม้ด้วยดวงตาคู่งามของสาวน้อยจะกลบด้วยน้ำตา แต่ใบหน้าของเธอ กลับเปี่ยมไปด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง

-จบ-

อีกสองวันจะถึงวันออกพรรษา เมื่อท่านทำบุญ ตักบาตร ในวันสำคัญทางศาสนาแล้ว ผมขอเชิญชวนให้ท่านทั้งหลาย สละทรัพย์ตามกำลัง เพื่อเป็นทุนแก่เด็กกำพร้า ของกรมประชาสงเคราะห์ หรือมูลนิธิเด็กต่างๆ ไม่ว่าเป็นขององค์กรศาสนาใด และขอให้บุญกุศลนั้นได้ติดตามบำรุงท่าน ให้พบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ทั้งชาตินี้และภพหน้า
ผมเองก็จะทำอย่างเดียวกัน อย่างที่ได้ชักชวนท่านทั้งหลาย ไม่ใช่อะไรหรอกครับ


ชาติหน้าเกิดมาอีกหน กลัวจะถูกทอดทิ้งไว้ในสถานเด็กกำพร้า ครับ !

……………………………….
หมายเหตุ ก่อนส่งต้นฉบับ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๔๗ ที่ผ่านมาหมาดๆ มีผู้โทรศัพท์มาถึงคุณยาว อยุธยา บอกว่า มีญาติที่อำเภอวังสามหมอ โทรเข้ามาบอกว่าขอให้ ด.ญ.รัตนาภรณ์ อิ่มงาม ติดต่อไป ซึ่งผมหวังว่าหนูรัตนาภรณ์ คงได้พบญาติพี่น้อง หรือคุณแม่ สมดังที่ตั้งใจไว้
ผมขออนุโมทนาในบุญกุศลที่ คุณยาว อยุธยา และ อ.ส.ม.ท.ได้กระทำลงไปในครั้งนี้ ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้รับความสุขความเจริญโดยทั่วกัน

ขอบคุณครับ

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

กำลังโหลดความคิดเห็น