เช้าวันนี้….จิบกาแฟขมแล้ว รับประทานโอ่วนี้แปะก้วย หรือเผือก (ภาษาจีนคือ โอ่ว )กวนกับลูกแปะก้วย ซึ่งพรรคพวกที่เขารู้ว่า ผมทานอาหารเจระหว่างเทศกาลได้ส่งมาให้ รสชาดดีมากๆ ซึ่งขนมชนิดนี้ ภัตตาคารจันชั้นนำส่วนมากทำอร่อยทั้งนั้น แต่มีอยู่ร้านหนึ่งที่ คุณหมอ ดุ๊ก (พล.อ.ชูฉัตร กำภู ณ อยุธยา) เพื่อนรุ่นพี่ท่านชอบรับประทานมาก คือ ร้านวิวัฒน์ อยู่ใกล้โรงพักปทุมวัน ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องห่านพะโล้ และอาหารอร่อยอีกหลายอย่าง มีโอนี้แปะก้วยที่อร่อยมาก คุณหมอกับผมมีนัดหมายว่าจะไปรับประทานกันเร็วๆนี้
เมื่อครั้งยังหนุ่มแน่น และยังนิยมการกินสัตว์ปีก ผมก็ไปรับประทานห่านที่ร้านวิวัฒน์บ่อยมาก แต่พอมีอายุเริ่มทานสัตว์ปีกน้อยลง ที่ยังรับประทานเสมอและเป็นสัตว์มีมีปีกด้วย ก็คงเป็น “แมงดา” ซึ่งน้ำพริกแมงดานี้ผมชอบมาก โดยเฉพาะ “น้ำพริกนรก-แมงดา”
มีอาหารอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าวันใดไม่มีคนอยู่บ้าน ผมจะทำทานเองนั่นคือ คือเอาไข่ไปดาว เมื่อสุกก็เอาขึ้น เจาะไข่แดงสักนิด เอาน้ำปลาดีซึ่งใส่พริกขี้หนู มะนาว กระเทียมกับแมงดานาสับ ตีปนลงไปในน้ำปลา ราดลงไปบนไข่ดาวที่เจาะไว้เพื่อให้ซึมเข้าไข่แดง แล้วยกเสิรฟ ทานกับข้าวสวยร้อนๆรสชาดโอชานัก ทำให้กินข้าวได้มาก ใครที่ชอบแมงดาลองไปทำดู เมนูนี้เรียกตรงๆว่า “ไข่ดาว-น้ำปลาแมงดา” หรือจะทำขายก็ยังได้ ผมไม่สงวนลิขสิทธิ์
เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้กล่าวถึงการอั้นผายลมเอาไว้ว่า ทำให้เกิดอาการ “เถาดาน” ทำให้เกิดอาการ ส่วนการอั้นอี ทางอายุรเวทบอกว่า จะทำให้เกิดอาการปวดหรือเป็นตะคริวที่น่อง นอกจากนั้นยังส่งผลให้มีปวดศีรษะ สะอึก แน่นในท้อง เรอ มีอาการเป็นหวัดน้ำมูกไหล เจ็บบริเวณทวารหนัก อึดอัดบริเวณหัวใจ อาเจียนเป็นของเสีย นอกจากนี้การอั้นอึ ยังจะทำให้เกิดอาการต่างๆ ที่เกิดจากการอั้นการผายลมอีกต่างหากดังที่ผมได้อธิบายไว้แล้ว
ผู้หญิงนั้นเวลาขับถ่าย ต้องหาที่ทางให้เหมาะ ไม่สะดวกเหมือนกับฝ่ายชายที่มีความง่ายในเรื่องนี้มากกว่า การทีปลดทุกข์ยากกว่าผู้ชาย ดังนั้นผู้หญิงมักจะเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบได้ง่าย เหตุสำคัญก็เกิดจากการอั้นฉี่บ่อยๆ
นอกจากนน การอั้นปัสสาวะ ยังทำให้เกิดอาการจากการอั้นอุจจาระและผายลมด้วย เรียกว่าเกิดโทษแบบทรีอินวัน ยกสามกำลังโทษเลยทีเดียว ดังนั้นไม่จำเป็นจริงๆ เช่น อยู่ในงานพิธีที่สำคัญ ปลีกตัวออกมาไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ควรอั้นเหตุโทษสามประการนี้เป็นอันขาด ยิ่งมีอายุเวลาไปแห่งหนตำบลใด ให้ดูห้องน้ำเอาไว้เพื่อไปสำราญยามฉุกเฉิน ทำให้เป็นนิสัย (มีลูกหลานต้องสอนไว้) เมื่อมีความจำเป็นจะได้ปลดปล่อยได้ทันท่วงที เพราะการอั้นฉี่เอาไว้นานๆนั้น หากท่านผู้อ่านสังเกตให้ดี วันไหนที่อั้นมาก ร่างกายจะทำให้เกิดอาการเจ็บ รวดร้าวไปทั่วเหมือนถูกกรีดด้วยของมีคม ปวดกระเพาะปัสสาวะ อวัยวะเพศและขาหนีบ ทำให้เกิดนิ่วได้ในอนาคต
การบำบัดสรรพการอัดอั้นทั้งหลายแหล่ ทั้ง ตด อึและฉี่นั้น เมื่อได้ผ่อนคลายด้วยการขับสิ่งที่อั้นอัดออกไปแล้ว ลมที่โคจรที่กำเริบสงบระงับลง แต่ลมมีคุณสมบัติแห้งและเย็น อาจทำให้เส้นเอนยึด วิธีคลายอาการคัดข้องนั้น โบราณให้ผ่อนคลายด้วยการนวด เพื่อคลี่คลายเส้นเอ็นที่ยึด จากการเพียรอัดอั้นอยู่นานนั้น เป็นวิธีการที่บรรพบุรุษไทยใช้แต่ในอดีต ปรากฏในตำรานวดแผนไทย สืบมาจนทุกวันนี้
การนวดนั้นอาจใช้น้ำมันให้ทั่ว กล้ามเนื้อบริเวณท้อง โดยเฉพาะเส้นเอ็นที่อยู่ตรงสะดือ แนวเดียวกันกับหัวนมของเรา พุ่งลงไปข้างมีอยู่ ๒ เส้น (ใครยังไม่รู้จักเส้นนี้ ลองไปให้หมอนวดที่วัดโพธิ์ หรือร้าน “ถนอมใจอารีย์” หลังวังบูรพาชี้ หรือลองนวดให้ดู และนวดคลึงให้ทั่วหน้าท้อง อาการปวดตึงเนื้อตัวจะหายไป การกดเส้นหน้าท้องนี้ ผมทำประจำ เพราะเป็นคนที่ออกกำลังมากทุกวัน ผมจึงนวดตัวและซาวน่าเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดอาการเส้นยึดตึง ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพค่อนข้างดี สามารถเล่นกีฬา หรือลงนวมซ้อมมวยเบาๆให้เด็กระดับลูกศิษย์รุ่นเด็กได้
การนวดหน้าท้องนี้ คนที่ท้องผูกมีอาการเป็น “เถาดาน” ลองไปให้หมอนวดทั้งสองแห่งลองนวดหน้าท้องดู พักเดียวเท่านั้น อึก้อนแข็งๆที่กองกันอยู่ในหน้าท้อง ก็สลายตัว เหลวป้อดแป้ด เลื่อนลงช่องทางออก ทำให้ท่านปวดท้องถ่ย ต้องวิ่งไปหาห้องน้ำแทบไม่ทัน ใครมีปัญหาลองดูก็ได้ครับ แนะนำมาหลายคนแล้ว ได้ผลทุกราย
เมื่อพูดถึงเรื่องนวดให้ถ่ายออก แก้อาการท้องแข็งเป็นเถาดานแล้ว ทำให้คิดถึงเรื่อง การใช้วิธี “การล้างพิษ” ซึ่งเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังไว้อีกครั้งหนึ่งว่า ผมไม่เลื่อมใสในการ “สวนเพื่อล้างพิษ อย่างที่เขานิยมทำกัน โดยเอากาแฟใส่น้ำอุ่นใส่หม้อสวนทวาร เพราะดูจะผิดธรรมชาติ เพราะช่องทางออกดันเอาของไปใส่เข้าไปทั้งๆที่ไม่จำเป็น ดูพิกลอยู่
ใครจะทำนั้นก็ไม่ได้ว่ากัน แต่อยากจะเล่าว่าท่านมหาห้าขัน เคยใช้วิธีนี้แล้วปรากฏว่า น้ำกาแฟนั้นมีความร้อนมากเกินไม่ทราบได้ ทำให้ลำไส้บวม ต้องเข้าโรงพยาบาลราชวิถีอยู่หลายวัน นี่ก็ได้ยินมาว่า ท่านเดินทางไปปราศรัยที่ไหน ก็มักเตือนผู้คนให้ระมัดระวังในเรื่องนี้ล้างพิษด้วยวิธีนี้เป้นอันมาก
เรื่องการสวนอุจจาระนั้น น่าจะมีมาตั้งแต่ครั้งรัชกาลที ๔ เข้าใจว่าหมอฝรั่งมิชชันนารี จะเป็นผู้นำความรู้นี้มาเผยแพร่ ซึ่งมีลายพระราชหัตถเลขาของพระองค์ท่าน ที่ทรงบันทึกเอาไว้ เมื่อครั้งพระราชยานที่ทรงประทันนั่งไป เกิดอุบัติเหตุคว่ำ ทรงได้รับบาดเจ็บและมีแผลที่พระวรกาย ซึ่งอาจติดเชื้อ ทำให้ทรงมีไข้และไม่สบายพระวรกาย ได้ทรงบันทึกเหตุการณ์ตอนนี้เอาไว้ดังต่อไปนี้
“…คุณศรีสุริยวงศ์คิดจะให้กินยาถ่ายแบบแรงๆ ปัดโลหิตภายใน แต่ข้ากลัวอยู่ จะถูกยาร้อนในกำลังพิษไข้เจืออยู่ ข้าคงไม่ยอมกิน กรมหลวงสรรพศิลปให้กินยาหอมิวปาชีบ่อยๆนัก ปิดอุจาระไปสองวัน คือวันจันทร์ วันอังคาร แรม ๔ ค่ำ ๕ ค่ำเดือน ๑๐ ให้เสียดแดกข้างจำระมากนัก หมอคิดจะให้ฉีดน้ำชักอุจจาระ แต่ข้าไม่ยอม ไม่เคยเอาอะไรใส่ทางทวาร ข้าก็กินยาหอลอเวหลายเม็ด แล้วก็ไม่ออก ข้าจึงเอาดีเกลือละลายน้ำ กินกับน้ำชาเข้าไปหลายถ้วย…”
หากท่านเกิดอาการเป็นเถาดาน ยาถ่ายที่ใช้ได้ผลที่สุด และที่ผมใช้มานานได้แนะนำท่านผู้อ่านเอาไว้ครั้งหนึ่งแล้ว คือ ยาน้ำระดมพล ซึ่งยอดยาน้ำไทย ของจตุรพรโอสถ แก้กษัย เป็นยาระบายส่วนผสมก็มี โกฐทั้งเจ็ด เทียนทั้งเก้า หัวข้าวเย็น สลัดได ดีเกลือฝรั่ง มีขายมากว่าครึ่งศตวรรษ มีขายตามร้านขายยาทั่วไป กินตามที่เขากำหนด นั่งพักเดียวเท่านั้น
ขุนทหารทั้งกองทัพบก เรือ อากาศ ถูกหมายเรียกระดมกองหนุน มาชุมนุมพลกัน เรียบร้อยพร้อมเพรียง พรึ่บพรั่บ !
ต้องวิ่งเข้าไประบายกำลังพล ออกจากทวารบานประตูดที่ตั้ง ไปสู่แนวรบใหม่ ตรงบริเวณคอห่านโถส้วมโดยเร็วพลัน ท่านจะรู้สึกโล่งสบาย เดินตัวปลิวเป็นคนใหม่อีกครั้ง ใครที่มปัญหาลองดู แล้วจะขอบใจผมที่แนะนำ
การผายลมนี้ มีฐานะทางสังคมบางอย่าง เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างช่วยไม่ได้ โดยจะขอตั้งข้อน่าสังเกตบางประการดังต่อไปนี้
ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่นั้น สถานะภาพการตดนั้น ย่อมแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เห็นง่ายๆจากวงสนทนา ซึ่งหากมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เมื่อเด็กเผลอปล่อยลมเสียออกมา ผู้ใหญ่จะตาเขียวปั้ดหันมาต่อว่า (บางทีผสมการเขกหัวเด็กเข้าไปด้วย) แล้วคำรามว่า
“ไอ้เด็กหน้าด้าน ตดไม่มีกาละเทศะเลยนะเอ็ง !”
หากผู้ใหญ่กระทำอย่างเดียวกัน แม้เสียงลมเสียที่ขับขานออกมาจะดังกึกก้องเพียงไร ผู้ใหญ่ท่านนั้นก็จะยิ้มละมัย ก่อนเอื้อนเอ่ยถึงความคล่องของท่อไอเสียส่วนตัวว่า
“เออแน่ะ! วันนี้ลมเดินดีจังเลย แฮะ” บางทีมีเรอดัง “เอิ้ก” แถมอีกเป็นการยืนยัน
เป็นอย่างนั้นไป !
อย่างไรก็ตามเมื่อฉบับที่แล้ว ผมได้บอกว่า ขี้นั้นอาจโกยไปทำประโยชน์ได้เป็นอย่างดี โดยการนำไปเป็นปุ๋ยชีวะภาพได้ พอขายเป็นเงินเป็นทองได้ แต่ตดนั้นไม่รู้จะกอบกำไปขายได้อย่างไร นอกจากเอามาดมเองหรือนำไปป้ายจมูกคนอื่น
มาวันนี้ ต้องบอกว่าผมพลาดไปอย่างสำคัญ คือลืมไปว่า มีอยู่รายหนึ่งที่ตดมีราคาชัดเจน จนกระทั่ง คุณนพพร บุณยะฤทธิ์ อดีตบรรณาธิการสยามรัฐ และชาวกรุง ซึ่งได้อ่านข้อเขียนตอนที่แล้ว ถามผมว่า ยังจำได้หรือไม่ว่า อาจารย์ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเคยเขียนเล่าเอาไว้ในสยามรัฐ ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้
จึงขออนุญาต เล่าเรื่องคนที่ผลิตตด ให้มีราคาเป็นเงินเป็นทอง โดยทำอาชีพได้ โดยขอเล่าจากความทรงจำ เรื่องมีอยู่ ว่า
ชายชาวฝรั่งเศส คนหนึ่งมีความสามารถผลิตตดได้อย่างน่ามหัศจรรย์ คือตดติดต่อกันได้อย่างยาวนาน สามารถตดเป็นสียงได้หลายแบบ เสียงยาว สั้น สูง ต่ำ ตดเป็นจังหวะจะโคนเหมือนเล่นดนตรีทางตูด อีกทั้งยังสมารถตดติดต่อกันแบบเสียงยิงปืนกล และยังทำเสียงเล็กเสียงน้อยได้ เช่น
ตดเป็นเสียงออดอ้อน เว้าวอน เลียนเสียงคำพูดฉอเลาะ นอกจากนั้นยังมีความสามารถตดเป็นเพลงรักโรแมนติค หรือตดเป็นเพลงปลุกใจอีก ต่างหาก แกเลยเปิดโชว์พิเศษหาเงิน
การแสดงของฝรั่งคนนี้ไม่มีอะไรมาก พอเปิดฉากเจ้าตัวก็ถอดกางเกง หันตูดไปทางคนดู แล้วก็เริ่มตดทำเสียงต่างๆ จบลงด้วยการตดส่งคำรามเสียงดูน่ากลัว
แค่นี้ผู้คนหัวร่อกันงอหาย ชักดิ้นไปตามๆกัน
นี่เป็นเรื่องตดได้เงิน
แต่สุดท้าย จุดจบของนักตดผู้เกรียงไกรคนนี้ ก็ถึงแก่การต้องปิดฉากลง ตามกฏแห่งสังสารวัฎ
วันหนึ่ง เมื่อเริ่มชราลงแล้ว จอมคนตดนี้ ออกแสดงตามปกติ ม่านเปิด ตะแกโค้งคนดู และหันตูดไปทางท่านผู้ชมเหมือนทุกครั้ง
เขาตดออกจริง แต่เสียงกลับไม่ดัง เพราะหูรูดหย่อน ทำให้หมดกำลังและความสามารถในการชมิบเข้า ขมิบออก จึงไม่สามารถบังคับหูรูด เค้นบีบเสียงให้ดัง ปล่อยให้ค่อย กำหนดช่วงห่างและถี่การผายลม จนไม่สามารถบรรเลงเพลงตดทางตูดได้เหมือนเดิม
เหมือนนักมวยที่หมดสภาพ !
นั่นคืออวสานของ จอมตด ผู้ร่ำลือของโลกใบนี้ ซึ่งจบลงอย่าง
ตดไม่ออก !
ต้อง “แขวนตด” เหมือนนักมวย “แขวนนวม” ยังไงยังงั้น !!
น่าสงสารมาก !!
นอกจากตดเป็นเงินเป็นทอง อย่างนักตดปาริเซียงคนนี้แล้ว ผมก็ไม่เคยได้ยินที่ไหนอีกเลยว่าตดทำเงินได้ นอกจากเรื่องนิทานทางเหนือ ซึ่งผมชอบนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังหลายครั้ง พอมาคุยถึงเรื่องตด ก็ทำให้นึกถึงนิทานท้องถิ่นพายัพ มีอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งผมชอบ ชื่อเรื่องน่ารักคือ
“ตดได้เมีย”
ขออนุญาคนำมาขยาย ให้ท่านผู้อ่านฟังในเวอร์ชั่นของผม ดังต่อไปนี้
กาลครั้งหนึ่งเจ้าเมืองเหนือใกล้เวียงกุมกาม ปรารถนาที่จะให้พระธิดายาหยีมีคู่ อยากจึงได้ป่าวประกาศให้กรมการเมือง ป่าวประกาศชักชวนชายหนุ่มผู้มีความรู้ความสามารถ เข้าไปในเวียง เพื่อแสดงความสามารถต่อหน้าฝูงชน และให้พระธิดาพิจารณาเลือกเป็นคู่ครอง
บรรดาชายหนุ่มทั่วแคว้นแดนล้านนา ต่างพากันมาชุมนุม เพื่อประลองความสามารถฝนเพลงอาวุธต่างๆ มีชายหนุ่มถึงสี่คน ที่ฝีไม้ลายมือทัดเทียมกินกันไม่ลง แม้จะเปลี่ยนเป็นสอบข้อเขียนแล้ว ต่างก็สามารถตอบคำถาม ตามพระคัมภีร์ฝ่ายเหนือได้อย่างแตกฉานเสมอกัน
เจ้าเมืองหนักพระทัยเป็นอันมาก ได้ถามพระธิดาสุดสวาทว่า จะเลือกใครเป็นคู่ครอง
ดีล่ะ ? เจ้าหญิงกลับทูลตอบว่า
จะยินยอมพร้อมสวาท เป็นคู่ครองของผู้ที่มีความสามารถ ทำให้นางเปล่งวาจาตอบได้เท่านั้น เจ้าเมืองจึงประกาศเงื่อนไขการแข่งขันใหม่ ให้มหาชนทราบแล้ว จึงให้ชายหนุ่มทั้งสี่เข้าพูดจากับพระธิดาทีละคน ต่อหน้ามหาชนทั้งมวล
ชายหนุ่มคนแรก กับคนที่ ๒ และ ๓ ต่างพยายามเข้าโอ้โลมปฏิโลมด้วยถ้อยคำอันเป็นมธุรสวาจา อย่างไรก็ไม่เป็นผล มิหนำซ้ำพระธิดายังส่งสายพระเนตรให้ อย่างเหยียดหยามดูแคลนอีกด้วย ราวกับว่า คนทั้งสามเป็นคนชั้นต่ำปานฉะนั้น ความพยายามของชายหนุ่มสามคนแรกจึงล้มเหลวไป
ฝ่ายเจ้าหนุ่มคนสุดท้าย เห็นดังนั้น ก็ครุ่นคิดหนัก เมื่อถึงรอบตนจึงเดินเข้าไปนั่งประชิดพระธิดา พร้อมกับผายลมเสียงสนั่นออกมาปู้ดใหญ่ แล้วลุกขึ้นชี้หน้าพระธิดา พร้อมกับกระทืบตีน แล้วร้องด้วยเสียงอันดัง ให้มหาชนที่มาชุมนุมดูการคัดเลือกสวามีของพระธิดา จนได้ยินเสียงกัมปนาทไปทั่ว ว่า
“แน่ะ ดูซิ ! ช่างตดเหม็นร้ายกาจเลยนะ พระธิดา !”
พระธิดาได้ยินดังนั้นแล้ว ความอายและโกรธ ทำให้เผลอองค์ลุกขึ้น กระทืบพระบาทซอยถี่ พระโอษฐอันเรียวงามนั้น ตวาดไปว่า
“คิงน่ะก๊า ตด !”
แปลเป็นภาษากลางว่า “มึงนั่นแหละตด”
ชายหนุ่มผู้ชาญฉลาดจึงได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับพระธิดา ด้วยความสุขด้วยประการฉะนี้
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้รับใบปลิวจากตำรวจรุ่นน้อง เขาเขียนถึงเรื่องการสังเกตลัษณะคนจากการตดไว้ได้อย่างมีเหตุมีผลดีมาก ฟังแล้วเข้าท่า เลยนำมาขยายให้ท่านผู้อ่านฟังกัน แล้วท่านลองพิจารณ์ว่า คุณลักษณะข้อไหนที่พอจะเข้ากับท่านได้
ตำรานี้เขาบอกว่า
คนขี้โอ่นั้น คือคนที่ตดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แล้วยืนหัวเราะชอบใจผลงานตัวเอง ส่วนคนใจเย็น ได้แก่คนที่อดทนอดกลั้นตดจนถึงจุดระเบิดออกเอง แต่คนที่มีนิสัยขี้งกนั้น เป็นคนที่ชอบยืนดมตดตัวเอง
คนไม่จริงใจและไม่ควรคบอย่างยิ่งนั้น คือคนที่ตดแล้ว ดันหันไปมองหน้าเด็ก โยนความผิดให้คนอื่น คนเช่นนี้หากขืนคบจะเป็นภัยแก่ตัวเอง แต่คนเจ้าเล่ห์นั้น ได้แก่คนที่ตดพร้อมกับส่งเสียงกระแอมกระไอเบาๆ เป็นการกลบเกลื่อนเสียงที่ขับเคลื่อนออกมาจากบั้นท้าย
คนใจบุญ นั้น เป็นคนที่ตดอยู่เหนือลม ทั้งนี้เพื่อเผื่อแผ่กลิ่นไปให้กับบุคคลอื่นๆอย่างทั่วถึง คนที่มีนิสัยสุภาพอ่อนโยน คือคนที่กล่าวคำขอโทษ ก่อนและหลังการตด แม้กระทั่งอยู่คนเดียวก็ตามที และใครที่อยากเป็นเศรษฐี กรุณาจำเอาไว้ว่า
คนที่มีฐานะมั่งคั่ง ร่ำรวย อย่างท่านผู้นำซี.อี.โอ.ใหญ่ จะเป็นคนที่ตดอย่างสม่ำเสมอ เป็นจังหวะ และยาวนาน แต่คนหลายใจ นั้นตำราอธิบายว่า คือคนที่ตด ขี้ เยี่ยว ไปพร้อมๆกันในเวลาเดียว ซึ่งอาจเรียกว่า สามัคคีทวารบานก็ได้ !
คนโชคร้าย หมายถึงคนที่ตดไป ขณะที่เอามือทุบโต๊ะไปด้วยเพื่อกลบเสียง แต่ดันซวยเพราะพลาดจังหวะ แทนที่เสียงทุบโต๊ะจะดังกลบเสียงตด แต่ตดก่อนทุบ หรือทุบก่อนตด เรียกว่าโชคร้ายเลยเพราะคนเขาได้ยินเสียงไม่พึงปรารถนากันไปทั่ว ตรงข้ามกับ คนอำมหิต เป็นคนที่ตดไม่มีเสียงบอกกล่าวล่วง แต่เหม็นร้ายกาจสุดทน
ตามตำราเขาบอกว่า นักวิทยาศาสตร์ คือคนที่ชอบวิเคราะห์กลิ่นตด ซึ่งเขามีโอกาสดม ว่า อาหารมื้อก่อนของคนที่ปล่อยตดนั้น มีธาตุใดบ้าง เพื่อพิสูจน์ทราบว่า คนที่ผายลมนั้นกินอะไรเข้าไปบ้าง ?
มีสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับคุณหมอทั้งหลาย เพราะพบว่า คนที่มีอาชีพแพทย์ นั้น คือคนที่ล้างมือ ก่อนและหลังตด แต่ คนที่มีสมบัติผู้ดี น่ารักมาก เพราะคนที่สามารถกลั้นตดไว้เป็นนานสองนาน จนเสร็จธุระนั่นแหละ จึงกลับไปตดที่บ้าน
คนดีแต่พูด นั้น สังเกตง่ายคือคนที่ตดโคตรดัง แต่ไม่มีกลิ่น เน้นเฉพาะการใช้เสียงล้วนๆเพื่อขู่ศัตรู
เห็นคำทำนายอย่างนี้แล้ว นึกถึงนักการเมืองประเทศสาระขันขัน ซึ่งกล่าวถึงไว้ใน“กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ 118 ตอน “เหี้ยส่องกระจก !” ตอนพากันเดินเข้าสภากะลาเมือง ตอนประชุมซักฟอกรัฐบาล เพราะตอนนั้น เสียงผายลมคงดังสนั่นหวั่นไหว กระเทือนสิงสาราสัตว์ในสวนสัตว์ฝั่งตรงกันข้าม ให้ตกอกตกใจกันไปหมด เพราะมีเสียงตดโคตรดัง อึงคนึงอยู่มากมาย เนื่องจากที่ประชุมแห่งนี้อุดมไปด้วย คนดีแต่พูด เสียเป็นส่วนใหญ่
บางคนก็ผยองขู่ฟ่อด จะไล่ปลดสถาบันโน้น ปลดองค์กรนี้ ราวกับพวกมันเป็นเจ้าของประเทศ และเป้นพวกมีเกียรติอยู่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น
ใครเห็นแย้งกับพวกมันกลายเป็นคนชั่ว คนเลว คนทุจริต ใช้ไม่ได้ไปเสียทั้งสิ้น มีพวกมันเท่านั้น ที่ดีเลิศประเสริฐศรี อยู่แค่กลุ่มเดียวแค่จริงๆ
พูดออกมาแต่ละคำ เหมือนปล่อย “กากตด” ออกมาทางปาก !
ยิ่งตอนใกล้จะเลือกตั้ง แต่ละฝ่ายก็ วิ่งไล่ตด เกทับกันไป ทับกันมา ครึกครื้น สนุกสนานกันดีเหลือเกิน
สงสารแต่ประชาชน ที่ต้องยืนดู และอุดจมูกไปด้วยเท่านั้น !!
…………………………………….
หมายเหตุ นานมาแล้ว ผมพบวรรณกรรมข้างฝาส้วมปั๊มน้ำมัน เห็นว่าน่าเอ็นดูดี เลยขออนุญาตนำมาฝากผู้อ่านที่เคารพ ทุกๆท่านครับ
ตดในตุ่ม ทุ้มเสียง สำเนียงเสนาะ
ตดในตู้ คงเพราะ แต่เก็บเสียง
ตดในลิฟท์ ขมิบแผ่ว แว่วสำเนียง
ตดแล้วเถียง ว่าเราป่าว คงเข้าที
ตดแล้วปล่อย ลมหวน ให้ชวนหาว
ตดแล้วนั่ง ดูดาว ยามคราวเหงา
ตดแล้วนั่ง อุดตูด ปู้ดเบาเบา
ตดแล้วเรา นั่งเศร้า เหงาคนเดียว
กู๊ดไนท์ ขอให้ผายสบาย คลายเหงา
ฝันดี มีความสุข ทุกท่านครับ !
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
…………………………