เช้าวันนี้ …จิบกาแฟขมแล้ว รีบสำรวจข้าวของที่จัดไว้ เพื่อไปทำบุญที่วัด ตั้งใจว่าจะไปให้ทันพระท่านฉันเช้า เพื่อไม่ให้ของที่เตรียมไปอยู่จนกระทั่งเพล จะเสียรสชาดไปก่อน คนไทยเราก็เป็นอย่างนี้ เวลาจะตักบาตรตอนเช้า ก็ต้องเอาข้าวที่หุงใหม่ๆ และคัดสรรเอากับข้าวส่วนที่ดีที่สุดที่กินกันในบ้าน จัดถวายพระสงฆ์ ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญ ตามธรรมเนียมที่บรรพบุรุษได้ถือปฏิบัติกันมา
ระหว่างการจัดของ ก็ฟังวิทยุรายการภาคย่ำรุ่ง ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำ ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมฟังรายการของท่านอาจารย์ วรากร สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต ซึ่งรายการมีทางวิทยุ เอฟ.เอ็ม.๙๗ ตอนเช้าก่อนหกโมง ท่านให้ข้อคิดและข่าวสารดีๆ น่ารับฟัง
ท่านอาจารย์เล่าว่า ที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ผู้หญิงญี่ปุ่นซี่งมีนิสัยค่อนข้างขี้อาย เวลาเข้าห้องน้ำสาธารณะ เพื่อจะทำธุระเบาหรือหนัก ปรากฏว่ามีการชักโครก เกินกว่าหนึ่งครั้งด้วยกันทั้งนั้น เป็นเหตุให้สิ้นเปลืองน้ำเป็นอันมาก ท่านอาจารย์บอกว่า เป็นเพราะความอายของพวกเธอที่เกรงว่าคนจะได้ยินเสียงตอนทำธุระหนัก
ตรงนี้ผมเห็นด้วย เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่จะมีการผายลมนำมาก่อน ติดตามด้วยเสียงของการถ่ายหนัก หรือทั้งสองเสียงคือ ลมและกากของเสียนั้น อาจสลับโทนเสียงกันไปตามจังหวะ
ฉะนั้น บรรดาโจโจ๊ะซังทั้งหลายจึงใช้เสียงชักโครกนั่นแหละครับ กลบเสียงเมโลดีธรรมชาติที่ร่างกายผลิตออกมา
การกระทำของหญิงชาวญี่ปุ่นนั้น ทำให้สิ้นเปลืองการใช้น้ำอย่างมากและไม่จำเป็น เป็นการไม่ประหยัด แต่ก็มีนักคิดหัวดี ได้ผลิตสิ่งประดิษฐ์ออกมาอย่างหนึ่ง ชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น แปลเป็นภาษาไทยว่า “เจ้าหญิงแสนสวย” เป็นเพียงปุ่มเล็กๆใส่เสียงเอาไว้ แปะติดข้างผนังข้างโถส้วม เวลาสตรีญี่ปุ่นนั่งแปะลงบนโถส้วม ไม่จำเป็นต้องชักโครกกลบเสียงดนตรีธรรมชาติ หากแต่เพียงเธอโบกมือผ่านปุ่มนี้ เสียงน้ำก็จะดังซ่าขึ้นทันที เหมือนเสียงชักโครกไม่มีผิดเพี้ยน และหากโอโต๊ะซัง (ภาษาญี่ปุ่นแปลว่า คุณนาย) คนนั้นมีกากของเสีย และลมปั่นป่วนมากมายในท้อง ซึ่งจำต้องลำเลียงออกมาโดยใช้เวลานานติดต่อกันเป็นการขับถ่ายแบบเมดเล่ย์ แต่เสียงชักโครกเทียมกำลังสิ้นสุดลง สตรีผู้พยายามขับทุกข์คนนั้น ก็สามารถยกมือผ่านปุ่มได้อีกครั้ง มิวสิคของเสียงชักโครกก็จะดังขับขานขึ้นให้อีกครั้งหนึ่งอย่างไพเราะ และยังคงทำทำหน้าที่เดิม คือกลบเสียงกาก เสียงลม ที่ผลิตโดยอนงค์นางนั้นนั่นเอง
อาจารย์ วรากรฯ ท่านยังเล่าต่อไปว่า
ด้วยสิ่งประดิษฐ์เล็กๆนี่เอง ทำให้ประเทศญี่ปุ่นลดการสิ้นเปลืองน้ำประปา ของส้วม
สาธารณะ คิดเป็นมูลค่าถึงเกือบหนึ่งล้านดอลลาร์ต่อปี และยอดขายเจ้าปุ่มประดิษฐ์แสนวิเศษนี้ กำลังพุ่งทะยานเพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ จากปีที่แล้วเลยทีเดียว
ผมฟังแล้ว ให้เลื่อมใสคนคิดประดิษฐ์ของเล็กๆ แต่มีประโยชน์ยิ่งนี้ เป็นกำลัง
กากของเสียที่มนุษย์ผลิตขึ้นนั้น เป็นปัญหาสำหรับเทศบาลทุกแห่งในโลกนี้ มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพขององค์กรแต่ละประเทศ แต่เรื่องการ “ผายลม” หรือ “ตด” ที่ออกมาควบคู่กับกากของเสีย ทั้งก่อนหรือหลังกากปรากฏออกจากช่องทางเคลื่อนย้ายนั้น
เทศบาลหรือแม้แต่ กทม.ยุคใหม่ของบ้านเรา ก็ไม่สามารถเก็บจากบุคคลไปด้วยได้ จำต้องปล่อยให้ระเหยไปตามลม
ตรงนี้แหละครับที่เป็นปัญหาของปัจเจกชนแต่ละคนจริงๆ คือเป็นเรื่องของตัวใครตัวมันแท้ๆ นั่นเอง เพราะไม่ว่า ผายลม หรือ ตด (ต่อไปขอเรียกว่าตด) จะมีเพียงมีกลิ่นล้วนๆ หรือมีเสียงด้วย หรือมีทั้งกลิ่นและเสียงคละเคล้า เคลียคลอกันไปอย่างสามัคคี ย่อมก่อปัญหาใหญ่หรือเล็กแล้วแต่กรณี
ปัญหาจะเกิดเมื่ออยู่ในกลุ่มผู้คน เพราะทั้งกลิ่น หรือเสียง หรือทั้งกลิ่นและเสียงย่อมนำมาซึ่งความเดือดร้อนรำคาญสำหรับผู้คนที่อยู่ใกล้ นอกจากคนปล่อยกาซอันไม่พึงปรารถนา จะยืนกินลมชมธรรมชาติอยู่เพียงคนเดียว ไม่มีมนุษย์คนไหนอยู่ด้วย อย่างนั้นต่อให้มาทั้งกลิ่นที่เหม็นร้ายกาจ และเสียงที่ดังกึกก้อง คำรามคำรณเพียงใด ก็ไม่สร้างความเดือดร้อนกับผู้ใด
เว้นแต่ลมพัดย้อนหวน ตีกลับมาปะทะนาสิกตนเองนั่นแหละ ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน !
การพูดถึงเรื่องตดนั้น เป็นสิ่งที่คนเราหลีกเลี่ยงไม่ค่อยยอมพูดถึงกัน ไม่ว่าเรื่องขี้เรื่องตดเพราะไม่ใช่สิ่งเจริญใจทั้งนั้น แต่ความจริงแล้ว มันเป็นเรื่องของธรรมชาติโดยแท้ และมีคนศึกษาเรื่องตดกันมากมาย
ในตำราอายุรเวทของไทยที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย บูรพาจารย์ได้กล่าวถึงเรื่องลมในร่างกายมนุษย์ เช่นเดียวกับเรื่องของเสียอื่นที่เป็นกากอันได้แก่อุจจาระ หรือน้ำคือปัสสาวะ ซึ่งท่านได้ให้หลักไว้ว่า
เมื่อสัญญานในร่างกายเริ่มเตือน เมื่อต้องการขับถ่ายหรือผายลม จงอย่าพยายามอั้นเอาไว้ เพราะการอั้นตดนั้น จะมีผลทำให้ร่างกายโดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อหน้าท้อง เกิดการหด เกร็งตัว เมื่ออาการเกร็งบ่อยครั้งหรือนานเข้า ก็เลยไม่คลายออก เกิดเป็นก้อนแข็งในท้อง กระทบระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี คนโบราณเขาเรียกว่าเป็น “เถาดาน” เกิดอาการปวดท้อง เหนื่อยง่าย ทั้งที่ไม่ได้ออกกำลังมาก ท้องผูก ปัสสาวะติดๆขัดๆ ปล่อยไว้นานเข้าทำผายลมไม่ออก เกิดการอุดตันในลำไส้ มีผลกระทบทำให้สายตาพร่ามัวได้ ระบบย่อยอาหารทำงานไม่ปกติ อาจลุกลามไปถึงระบบหายใจ และโรคหัวใจถามหาได้
การที่เราอั้นตด อึ หรือฉี่เอาไว้ ทางอายุรเวชโบราณ อธิบายว่า ทำให้วาตะหรือธาตุลมในร่างกาย ไม่สามารถส่งแรงดันแกส พุ่งลงสู่ท่อขับออก ทางเบื้องล่างของร่างกายได้ พาให้เกิดอาการปั่นป่วน และลมนั้นจะหันเหไปในทิศทางที่ไม่เป็นธรรมชาติ และเป็นเหตุแห่งการไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งมวล โบราณเรียกรวม ว่า วาตะกำเริบ หรือในทางอายุรเวทเรียกว่า วาตะ
ประกุปิตะ (vata prakupita) แปลได้ว่าเป็นอาการโกรธเกรี้ยวของธาตุลม ทำให้เกิดโทษ
ในสมัยปัจจุบัน มีการบันทึกกันไว้เป็นสถิติว่า คนเราตดประมาณวันละ ๑๐ ครั้ง
บางคนอาจเถียงว่าไม่น่าถึง เพราะวันๆฉันไม่เห็นจะได้ตดเลยสักปู้ด มานับอย่างนี้ได้อย่างไรกัน ตรงนี้เขาวิสัชนาว่า
ตอนเข้าส้วมแล้วตดนำก่อน หรือตดระหว่างอึ เขาก็นับด้วยนะจ๊ะ !
แต่ก็สถิติอีกนั่นแหละ เขาบอกว่า พวกที่ผายลมวันละมากๆนั้น อาจคิดการตดเฉลี่ยได้ถึงวันละ ๓๔ ครั้ง ขนาดนั้นเลยทีเดียว
มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ที่ทุ่มเทชีวิตจิดใจศึกษาเรื่องตดของมนุษย์ ท่านผู้นั้นคือMichael Levitt แห่ง Veterans Administration Medical Center ซึ่งศูนย์การแพทย์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมือง Minneapolis สหรัฐอเมริกา ซึ่งศึกษาเรื่องตดมายาวนานกว่า ๓ ทศวรรษ เขาเพิ่งพบเมื่อ ๒๐ ปี ที่แล้วมานี่เองว่า ที่นักวิทยาศาสตร์เราเข้าใจกันมายาวนานว่า สารประกอบพวก indole และ shatole อันเกิดจากการสลายตัวของกรด amino ในกระเพาะ ทำให้ตดมีกลิ่นเหม็น คุณไมเคิล ลิวอิท คนนี้แหละครับ ที่บอกว่าไม่จริง
คุณลิวอิท แถลงว่า ความเข้าใจเช่นว่านั้นคลาดเคลื่อน เพราะเจ้ากาซ H2S (hydrogen sulphide), methanethiol และ dimethyl sulphide นี่แหละครับ คือสารตัวการที่ทำให้ตดเหม็นร้ายกาจ โดยไม่มี indole และ shatole เข้ามาปะปนเลย
นอกจากนี้คุณลิวอิท ได้ประกาศยืนยันครั้งสำคัญว่า
ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ตดเหม็นพอๆกัน !
เรียกว่าเสมอภาคอย่างแท้จริง
แม้ความเหม็นของตดชายหรือหญิง จะมีองศาความเหม็นพอๆกัน แต่ผู้ชายเวลาจะผายลม เรื่องอายนั้นมีไม่มากเท่าไหร่ อาจยืนกางแขน ถ่างขาตดสบายๆ ท่ามกลางกลางละอองของน้ำตกที่กำลังไหลซู่ๆซ่าๆ อย่างที่ทำกันในหนังโฆษณายาอมก็ได้
หรือจะนั่งยองผายลม หรือวิ่งไปตดไป นอนตะแคง หกคะเมน ตีลังกาตดแหลก แค่ไหน ก็ไม่มีใครเขาว่า
ยิ่งต่อหน้าเพื่อนผู้ชายด้วยกันแล้ว การประกาศเจตนาตดเสียงดังอย่างไร ก็ไม่มีใครจะสนใจ แต่สุภาพสตรีไทยแลนด์แดนสยาม จะทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด
ความกระมิดกระเมี้ยนในการทำธุระสำคัญนี้ ต่อหน้าคนอื่น เป็นสมบัติของลูกผู้หญิงทั่วไป ยิ่งผู้หญิงญี่ปุ่นอย่าง อ.วรากร สามโกเศศ ท่านว่าเอาไว้ตอนต้นนั้น นั่นน่าจะเป็นเรื่องถูกต้อง เพราะผมเคยศึกษาอยู่ในญี่ปุ่น เคยมีเดทกับสาวซากุระ รู้ดีว่าผู้หญิงญี่ปุ่นนั้นห่วงกังวลในเรื่องนี้มาก ไม่ว่าเป็นกลิ่นปาก กลิ่นกาย หรือผายลม โอนี้ซัง (Miss) ระมัดระวัง และมีการเตรียมความพร้อม รวมทั้งใช้เวลานานพอสมควร ก่อนออกไปตามนัดกับคู่เดท
ผมเป็นคนค่อนข้างความรู้สึกไวในเรื่องนี้ พอเห็นสตรีเริ่มกระสับกระส่ายเพียงเล็กน้อย ก็มักดูออก จะหาทางเลี่ยงไปทำอย่างอื่นแล้วค่อยย้อนกลับมา เพื่อให้คุณเธอมีโอกาสระบายความอัดอั้นออกเสีย และคิดว่า
ผู้ที่เป็นพ่อควรสอนลูกผู้ชายไทย หัดสังเกตในเรื่องนี้ให้ดี เพราะเรื่องการส่งลมทางท้ายร่างกาย เมื่อมันถึงเวลาที่ต้องระบายออก เป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย หรือเก็บเอาไปพูดซึ่งไม่น่ารักเลย นอกจากเสียมารยาทแล้ว อาจนำผลร้ายมาด้วย อย่างที่เรื่องที่จะเล่าให้ฟังเพื่อเป็นอนุสติเตือนใจ อย่าคิดว่าความอับอายในเรื่องการตดนั้น สาวไทยจะไม่ถือเป็นเรื่องจริง เพราะเมื่อครั้งผมยังเป็นเด็ก มีเรื่องที่เขาลือกันว่า
สาวน้อยกับคู่รักไปนั่งเล่น ในสวนลุมพินี ตอนนั้นเป็นเวลาหลังสงครามโลกสงบลงไม่กี่ปี ในสวนอันร่มรื่น มีการขายเมี่ยงคำ พร้อมบริการเสื่อกระจูดให้หนุ่มสาวเช่านั่งคุยกัน คล้ายกับที่เราเห็นในปัจจุบัน
หนุ่มสาวคู่นี้ คุยกันไป ผลัดการป้อนเมี่ยงคำใส่ปากกันและกัน ดูสวีทน่ารักน่าเอ็นดูระหว่างการสนทนาด้วยความพิศวาทดำเนินไปนั้น ก็เกิดอุบัติเหตุอันอาจเกิดจาก “แกสเมื่ยงคำ” หรืออย่างไรไม่ทราบได้ หญิงสาวเผลอปล่อยเสียงอันไม่พึงปรารถนาออกมา
สาวเจ้าหน้าแดง ขวยอาย แต่เธอกลบเกลื่อนด้วยการใช้เล็บขูดเสื่อกระจูด เสียงดังแกรกๆ หวังกลบความกังวาลของเสียงผายลม
เจ้าหนุ่มแทนที่จะทำเมิน หรือจุ๊บสาวเป็นการปลอบใจ ไม่ถือสา และให้กำลังใจเพื่อให้เธอมีความมั่นใจในตนอง
เขากลับพูดด้วยความโหดร้ายว่า
“แหมเหมือนแมวเลย ขู่แล้วยังลงเล็บอีกนะ !”
สาวเจ้าอายเป็นกำลัง ผุดลุกขึ้นยืนบนเสื่อ แล้ววิ่งผละหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
วันรุ่งขึ้น มีคนพบว่าเธอเป็นศพในสระน้ำของสวนลุมพินี !!
นี่เป็นเรื่องที่เขาเล่าขานกันมา ซึ่งคนรุ่นผมได้ยินกัน แต่ไม่รู้ว่าความจริงมีแค่ไหน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น หากอยู่ที่ว่า
หลักมารยาทนั้น ฝ่ายชายไม่มีสิทธิไปถากถางผู้หญิง เมื่อความจำเป็นทางธรรมชาติ หลุดออกมาอย่างนั้นต่างหาก !
เมื่อลูกยังเป็นทารกนอนบนเบาะ ผมสังเกตเห็นว่าก่อนการผายลมนั้น ลูกน้อยของผมจะเหยียดตัวออก บางทีก็ยืดแขนออกไปทางด้านบนศีรษะ ลักษณะคล้ายๆกับการบิดขี้เกียจแทบจะทุกครั้ง ก่อนที่จะผายลมออกมา ลองถามคุณหมอดู ก็ได้รับคำตอบ ว่า
เป็นเรื่องปกติของทารก การยืดหรือเหยียดตัวออกนั้น ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยการเบ่งขับผายลมให้ผ่านช่องทางลมออกมา จึงทำให้คิดได้ว่า ก่อนการตดนั้น คนเราต้องจัดท่าทางให้เหมาะสม บางคนขยับก้น บางคนทำท่าปัดกางเกงคล้ายกับสีหรือฝุ่น เปื้อนติดตูดกางเกง บางคนเลี่ยงบอกว่าไปเข้าห้องน้ำ ที่แท้แอบไปตด มีท่าทางเฉพาะอย่างแต่ละคนต่างกันไป เรียกว่าของใครของมันโดยแท้ !
ตรงนี้เอง ทำให้ผมคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับอากัปกริยาของบุคคลต่างๆ เมื่อต้องการให้ธาตุลมภายในร่างกายได้โคจร
เรื่องนี้ได้ฟังมานมนานแล้ว แต่เห็นว่าน่ารักดี เลยขอนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกัน
คนป่วยสูงอายุระดับเศรษฐี ออกไปนั่งเล่นตอนเช้า ตรงระเบียงห้องสูทของโรงพยาบาลหรูหรา นั่งไปสักพักท่านผู้เฒ่าก็ตะแคงตัว พยาบาลพิเศษประจำผู้ป่วยวี.ไอ.พี. กรากเข้าไปจับพยุงให้นั่งท่าปกติ
แค่แป๊บเดียวผู้ป่วยก็เอียงตัวตะแคงกะเท่เร่ทำท่าเหมือนจะล้ม พยาบาลคนขยันก็แจ้นมาจับให้นั่งตั้งตรงอีก
นั่งเอียง…จับตั้ง นั่งเอียง…จับตั้ง
เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป เหมือนเล่นตุ๊กตาล้มลุกยังไงยังงั้น
พออาเสี่ยลูกชายไปเยี่ยม ถามว่าโรงพยาบาลนี้ไหม? ท่านพ่อก็ตอบว่า โรงพยาบาลนี้อะไรก็ดีหมด แต่ดึงหูลูกชายลงไปกระซิบเบาๆว่า
"ไม่ดีอยู่อย่างเดียวลูก”
“ไม่ดียังไงล่ะครับ คุณพ่อ!?” ลูกชายตกใจ ถามขึ้น หน้าเสียลงทันที
“ที่นี่เขา…ห้ามพ่อตด ว่ะ !"
พูดเบาๆ เหมือนไม่อยากให้คุณนางพยาบาลได้ยิน ก่อนท่านผู้เฒ่าผู้มากด้วยอารมณ์ขัน จะกล่าวอธิบายต่อว่า
"ที่บอกอย่างนั้น เพราะเวลาพ่อตะแคงตัวจะตดให้สบายเสียหน่อย…” พักหายใจ ก่อนจะพูดกลั้วเสียงหัวเราะในลำคอว่า
“เขาก็มาจับพ่อ ให้นั่งตรงแหนวทุกครั้ง….พ่อก็เลยตดไม่ออก ซักที !”
คนแก่อารมณ์ดีอย่างนี้ แม้จะป่วยไข้อย่างไร ลูกหลานก็สบายใจ
น่าแปลกนะ ทั้งๆที่คนเราตดกันอยู่ทุกวัน แต่สำนวนเกี่ยวกับ ตด นั้น มีน้อยมาก ที่เคยได้ยินมาก็คือ “กำขี้ ดีกว่ากำตด” ซึ่งผมเข้าใจเอาเองว่า น่าจะมีความหมายประการแรกดังนี้ คือ
ขี้นั้นเป็นของพอมีค่า มีประโยชน์อยู่บ้าง เอาไปทำปุ๋ยชีวภาพได้ (ตอนเป็นเด็กผมอยู่
เค.จี. ที่โรงเรียนมาแตร์ เดอี ข้างหลังโรงเรียนเป็นสวนผัก คนจีนสวมหมวกกุยเล้ย แบกปี๊บ
ซึ่งพ่อบอกว่าในปี๊บมีอึ คนสวนชาวจีนไปเก็บเอาไปรดผักให้งอกงามดี) ส่วนตดนั้นเล่า ปล่อยออกมาแล้ว ก็ระเหยไปกับสายลมแสงแดด เอามาทำประโยชน์โภคผลใดๆไม่ได้เลย ฉะนั้นกำขี้ต้องดีกว่ากำตดแน่ !
ส่วนอีกความหมายหนึ่งก็คือ ไม่ได้สิ่งของใหญ่หรือของมีค่าตามที่ต้องการ ก็เอาของเล็กหรือมีค่าน้อย ไว้ก่อน เช่น
โจรเข้าบ้านผู้มีอันจะกินเพื่อลักทรัพย์ แต่ไม่สามารถเจาะผ่านประตูตึก ที่แน่นหนามั่นได้ พยายามเท่าใดก็ไม่สำเร็จ จนอ่อนใจหันหลังกลับ เลยหยิบเอารองเท้าแตะฟองน้ำคนใช้มาด้วย เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว อย่างนี้เรียกว่า “กำขี้ ดีกว่ากำตด” ก็พอจะได้ แม้ฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไรนักก็ตาม เหตุผลก็เพราะว่า
ถึงจะกำขี้ คุ้ยขี้ ก็ไม่รู้จะไปกำไปคุ้ยหาอะไรในขี้ เลอะมือเปล่าๆ ส่วนกำตดนั้นแม้จะไม่เลอะมือ แต่กลิ่นก็เหม็นติดมือได้ จะดันกำไปหาพระแสงด้ามยาวหรืออะไรไม่ทราบได้ นอกจากกำแล้วดมเอง หรือแกล้งป้ายหน้า ทาจมูกคนอื่นเขา
ตรงนี้ผมไม่เข้าใจจริงๆ!
ความไม่ความเข้าใจเรื่อง “กำขี้ ดีกว่ากำตด” อย่างนี้ ผมมีมานมนานแล้ว แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ เมื่อเอาร่างข้อเขียนนี้ ไปให้เพื่อนคนหนึ่งที่เป็นคนเจ้าความคิด ปัญญาไว
เขาอ่านแล้ว บอกกับผมว่า
“ไม่แน่นะเอ็ง” พูดเคร่งขรึม
“ดูอย่างพรรคการเมืองฝ่ายดักดานค้าน เมืองสาระขันขัน ของเอ็งซิ…” เว้นวรรคหน่อย วางท่าเป็นปราชญ์ใหญ่
“มันยังสู้อุตส่าห์ ไปกำไปคุ้ยขี้ จนได้ไอ้วายร้ายฉ้อโกงประชาชนกลางกองขี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าคนที่เอาเงินที่หลอกจากชาวบ้าน แล้วหนีไปทำฟอร์มใหญ่ที่เมืองฝรั่งตั้งยี่สิบกว่าปี กลับมาสมัครเป็นผู้แทนราษฎร เสนอหน้าให้ชาวบ้านเขาเลือก เชียวนะเอ็ง !”
เออ แน่ะ…ไอ้เจ้าเพื่อนคนนี้ มันช่างคิดดี แฮะ..
เจ้า “พรรคคุ้ยขี้” ที่มันพูดถึงนี่แหละครับ ที่ข่าวเขาลือกัน ว่า
อดีตรัฐมนตรีตัวกลั่นของพรรคหลายคน จะต้องถูกจับ และยึดทรัพย์ เพราะเรื่องทุจริตยางหนังสะติ๊ก ที่ทำให้คนบ้านเดียวกับพวกเขา เดือดร้อนแสนสาหัสเพราะขายของไม่ได้ราคาตามสมควร มายาวนาน
แต่เจ้าพวกนี้กลับยิ้มแย้มแจ่มใส เสวยสุขบนกองทุกข์ และน้ำตาชาวสวนที่น่าสงสาร ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกับพวกมันแท้ๆ
ไม่รู้ว่าทำลงคอ ได้อย่างไร!
ขณะนี้ คนพวกนี้กำลังฟาดงวง ฟาดงา เพื่อหาทางรอดจากการถูกดำเนินคดี เพราะหากพลาดพลั้งเมื่อใด.…
คงจะต้องได้เข้าไปใช้เวลา “ผายลม” ในคุก สบายๆคนละหลายๆปีมีเดียว !!
สมน้ำหน้า !!!
……………………………….
หมายเหตุ เขียนเรื่องผายลมแล้ว มีเรื่องเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังอีกมาก แต่เกรงใจเหลือเกิน กลัวจะเหม็นไปทั้งคอลัมน์ แต่หากท่านผู้อ่านอยากจะให้ตดต่อ อีกสักตอน ก็ต้องบอกกันมาก่อน นะครับ
สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ “เมืองสาระขันขัน” กรุณาคลิกเข้าไปดูใน “กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๘ “เหี้ยส่องกระจก !” ครับ
………………..………………..