เช้าวันนี้…จิบกาแฟขมแล้ว รับประทานขนมเหนียวที่ลูกน้องเขาอุตส่าห์ทำมาให้ลองชิม ระหว่างชิมก็นั่งจ้องดูหน้าผมคอยฟังคำวิจารณ์จะว่าอย่างไร ผมก็ชมว่าอร่อยใช้ได้แนะนำว่า เนื้อตัวขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวพอใช้ได้ แต่งาคั่วคงไม่ใหม่นักเพราะไม่หอมพอ แต่เขาก็เอาน้ำพริกนรกแมงดามาฝาก และขอให้ช่วยชิมด้วย เลยรับปากกับเขาว่า กินอร่อยหรือไม่อย่างไรจะโทรไปบอกภายหลัง
พอเห็นน้ำพริกแมงดาของเขาแล้ว ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า
ในยามนี้ ผมได้สังเกตเห็นว่า ค่าครองชีพบ้านเราสูงขึ้นทุกวัน สำหรับตัวผมเองนั้นคงไม่ได้ลำบากอะไรนัก เพราะเป็นคนสูงวัยแล้ว ลูกๆต่างก็มีการงานหน้าที่มั่นคง และมีชื่อเสียงในสายงานของตนเอง แต่ก็ยังไม่ความห่วงใยหลานๆ และพี่น้องเพื่อนร่วมชาติ ที่ต้องประสพความผันแปรทางเศรษฐกิจส่วนตัว เนื่องจากราคาอาหาร ข้าวของต่างๆเริ่มแพงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ทำให้ประชาชนเริ่มคิดหน้าคิดหลังกันในเรื่องการใช้จ่ายมากขึ้น
เมื่อผมสำเร็จการศึกษาใหม่ๆ และออกไปปฏิบัติราชการบ้านนอกนั้น เรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มคนไทยยังขาดแคลนอยู่มาก ชาวอีสานและชาวเหนือ รวมทั้งชาวไทยภูเขาขาดแคลนเสื้อผ้าเครื่องหนุ่มห่มมีเป็นจำนวนมาก ภาพราษฎรออกมาผิงไฟนอกบ้านตอนหน้าหนาวจะมีให้เห็นมิได้ขาด ซึ่งอาจหายหนาวหรืออุ่นขึ้นเพราะอยู่ใกล้ไฟ แต่เป็นหวัดเนื่องจากศีรษะถูกน้ำค้าง โดยเฉพาะเด็กๆ การตายด้วยโรคปอดบวมจึงมีมาก แต่เมื่อประเทศเราเป็นฐานการผลิตสินค้าประเภทเสื้อผ้า ของเหล่านี้ก็ถูกลง ประชาชนเริ่มจะไม่ขาดแคลนปัจจัยสี่เรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม แม้ตามพื้นที่สูง ชาวไทยภูเขาต่างก็มีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มดีกว่าเมื่อก่อนนี้มากทีเดียว เรียกได้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะน่าเป็นห่วงน้อยลง
สิ่งที่ผมเป็นห่วงในตอนนี้ก็คือ ราคาอาหารที่ขยับตัวสูงขึ้นดังที่ได้บ่นเอาไว้ใน กาแฟขมขนมหวาน ตอนที่ ๑๔๗ “ หนูจ๋า ! ช่วยพ่อแม่ได้แน่ แค่ลดใช้มือถือ” ผมจึงได้เสนอเรื่องการประหยัดให้ท่านผู้อ่านพิจารณา โดยเฉพาะเราจะต้องตัดรายจ่ายเรื่องโทรศัพท์มือถือ และปลูกฝังให้เด็กของเราใช้เจ้าโทรศัพท์ชนิดนี้ เฉพาะกรณีจำเป็นเท่านั้น เพื่อค่าโทรศัพท์มือถือนำมาเป็นชดเชยค่าน้ำมันรถและค่าแกสหุงต้มที่เพิ่มสูงขึ้น ก็นับว่าจะเป็นประโยชน์ทีเดียว
นอกจากนั้น เมื่อราคาเนื้อสัตว์หมู กุ้ง ไก่ แพงขึ้นมากอย่างนี้ ทำให้คอรบครัวคนไทยจำนวนมากก็ต้องประหยัดในเรื่องอาหารไปด้วย แม่บ้านหลายคนที่ผมรู้จักบ่นเรื่องนี้กันทั้งนั้น จึงบอกไปว่า เราอาจลดจำนวนจานอาหารที่เป็นกับข้าว จากเดิมสามสิ่ง ให้เหลือสักสอง แต่เพิ่มปริมาณให้มากขึ้นก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี โดยหาอาหารที่ต้นทุนต่ำมาทำรับประทาน
เมื่อเร็วๆนี้ผมได้เปิดเอกสารเก่าๆเกี่ยวกับโรงเรียนนายร้อยตำรวจดู พบตารางการศึกษาของโรงเรียนรุ่นแรกๆ คือโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธร ตรงนี้อยากเล่าว่า
เดิมก่อนที่จะมาเป็นโรงเรียนนายร้อยตำรวจปัจจุบัน เมื่อรัชกาลที่ ๕ ท่านเริ่มจัดระบอบการปกครองแผนใหม่ เข้าสู่ระบอบของนานาอารยะประเทศ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ชาวต่างประเทศพวกฝรั่งมาจัดระบบตำรวจ ประเทศไทยมีโรงเรียนตำรวจตามระบบตำรวจ ๒ ระบบด้วยกัน คือ ระบบอังกฤษซึ่งเน้นในเรื่อง Patrol หรือการตรวจลาดตระเวนมีโรงเรียนนายหมวดตำรวจที่ คลองไผ่สิงห์โต ปัจจุบันเลิกไปแล้ว และมีโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธร ตั้งขึ้นที่ตำบลจอหอ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เป็นระบบฝรั่งเศสคือ Jandamarie มีลักษณะคล้ายตำรวจตระเวนชายแดนของเรานั่นเอง
ผมเอาตารางการศึกษาประจำวัน ของโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธร เมื่อปีการศึกษาพ.ศ.๒๔๔๐ คือเมื่อประมาณ ๑๐๐ กว่า ปี มาดู มาดูเขาเขียนไว้น่ารักดีลองดูซิครับ
เวลาฝึกหัดสั่งสอนประจำวันมีดังนี้
เวลา ๐๖.๐๐ น. เข้าแถวหน้าโรงเรียน เรียกชื่อ
เคารพธงชาติชักขึ้นสู่เสา แล้วฝึกหัดมือเปล่า และท่า อาวุธ
เวลา ๑๐.๐๐ น. ฝึกเล็งปืนและลั่นไกด้วยปืนเล็กสั้นแมลลิเคอร์.......
อาหารการกินวันละ ๓ มื้อ คือ
มื้อเช้า มีข้าวสวย มีแกงผัก และน้ำพริกผักจิ้ม แล้วมีของหวาน ๑ สิ่ง
มื้อกลางวัน มีข้าวต้มกับปลาเค็ม มีของหวาน ๑สิ่ง
มื้อเย็น เช่นเดียวกับ มื้อเช้า
โรงเรียนนายร้อยตำรวจปัจจุบัน ไม่ได้กินน้ำพริกกันวันละสองมื้อ เช้าเย็นเหมือนกับนักเรียนนายร้อยตำรวจในอดีต การประกอบเลี้ยงประจำวันของนักเรียนปัจจุบัน คงมีอาหารสองสิ่ง คือผัดกับแกงเป็นหลัก มีน้ำพริกบ้างบางวัน แต่นักเรียนผู้บังคับบัญชาจะมีอาหารพิเศษคือ ไข่เจียวกับไข่ดาว และสำรับหนึ่งก็กินกันเพียงสามคน ตามจำนวนนักเรียนปกครองที่ผู้บังคับบัญชากองร้อย ตอนอยู่ปี ๔ ผมจึงได้รับประทานอาหารพิเศษเพราะเป็นทั้งนักเรียนผู้บังคับบัญชา และหัวหน้าตอนสองตำแหน่งเลยทีเดียว เลยติดการรับประทานไข่ไก่ กินวันละ ๓ ฟอง ไม่ขาดไม่เกิน
ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า นักเรียนนายร้อยตำรวจแต่โบราณนั้น วันหนึ่งกิน “น้ำพริก” ถึง ๒ มื้อ ดังนั้น “น้ำพริก” จึงเป็นอาหารสำคัญของคนไทยมาตั้งแต่อดีตหลายศตวรรษแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ในโรงเรียนนายร้อยตำรวจยุคโบราณ ตั้งแต่ ๑๐๐ ปีที่แล้ว มาจนถึงโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ปัจจุบันก็ยังกินน้ำพริกกันอยู่
น้ำพริกนั้นพลิกแพลงทำได้หลายแบบ และผมขอให้ท่านผู้อ่านสังเกตดู ว่า
บ้านไหนที่มีลูกมากๆ ห้าคนสิบคนขึ้นไป ทายาทในบ้านเหล่านี้จะตำน้ำพริกเก่ง ลองไปถามสมาชิกครอบครัว “จักษุรักษ์” บุตรชายหญิงอาจารย์ เจือ จักษุรักษ์ ตำน้ำพริกเก่งเกือบทุกคน
เรื่องอาหารจำพวก “น้ำพริก” เครื่องจิ้มนี่แหละครับ จะเป็นคำตอบที่ดีทางหนึ่งสำหรับการประหยัดของขาวเราเลยทีเดียว เลยทีเดียว เพราะน้ำพริกเป็นอาหารที่ใช้เวลาทำน้อย ช่วยแม่บ้านประหยัดเวลาได้มาก และมีกรรมวิธีปรุงแต่งที่มีประโยชน์ต่อสมาชิกในบ้าน โดยบริโภคผักร่วมกันกับน้ำพริก มีประโยชน์สองต่อด้วยซ้ำ และการรับประทานน้ำพริกนั้น กินแล้วทำให้รับประทานทานข้าวได้มาก ไม่ต้องพึ่งกับข้าวอย่างอื่นก็คลุกข้าวกินได้แล้ว และรสชาติบวกความเผ็ดของมันทำให้เจริญอาหารได้เป็นอย่างดี
ผู้ชายไทยโบราณตำน้ำพริกเก่ง เพราะเป็นอาหารที่คนไทยกินมากที่สุด เพราะในสมัยก่อนเนื้อสัตว์ไม่ได้กินสักเท่าใด นอกจากจะมีโอกาสสำคัญ ปลาจึงเป็นอาหารหลักของชาวไทย และเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่สำคัญเลยทีเดียว เราจึงมีคำพูดว่า “กินกับข้าวกับปลา” หรือทักทายกับคนที่มาเยือนว่า “กินข้าว กินปลามาหรือยัง ?” ไม่เคยได้ยินคนไทยทักกันว่า
“กินข้าว กินเนื้อวัว มาหรือยัง ?”
น้ำพริกที่คนคุ้นเคยมากที่สุดคือ น้ำพริกกะปิ เอากะปิเผาไฟพอหอม กระเทียมปอกแล้วหั่นหยาบ ถ้ามีกุ้งแห้งป่นก็ใส่เข้าไปสักครึ่งช้อน ใส่น้ำตาลปึกลงไป เอาพริกขี้หนูเด็ดใส่ทั้งก้าน ใส่มะเขือพวง หรือมะอึกที่สุกกำลังพอดีหั่นใส่ลงไป (สัดส่วนแล้วแต่จำนวนคนกิน) แล้วตำ ระหว่างตำเก็ติมน้ำสุกลงไปเพื่อไม่ให้ตัวพริกเหนียวข้นจนเกินไป หรืออยากกินน้ำพริกมะม่วงก็ใส่มะม่วงลงไปแทน เวลาผมตำน้ำพริกจะกินกับกับกระเจี๊ยบย่าง หากเวลาน้อยไม่อยากติดเตาถ่านย่างพริก หอม กะปิ ก็ใช้วิธีคั่วเอา และผมยังกินแนมกับสาระพัดผัก ที่ขาดไม่ได้คือปลาทูสดทอด เพราะชอบมากกว่าปลาทูนึ่ง ไม่ก็เป็นปลาช่อนทอดหรือปลาดุกย่างก็ได้
น้ำพริกกะปิที่ผมว่าไว้นั้น หากวันไหนต้องการจะกินเป็นน้ำพริกปลาย่าง ก็ดึงกุ้งแห้งออกใส่ปลาย่างลงไป สำหรับคนไม่ชอบกลิ่นกะปิก็ดึงกะปิออก พลิกแพลงทำได้เป็นร้อยแบบ ซึ่งท่านอาจารย์ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีท่านเขียนหนังสือเรื่องน้ำพริกเอาไว้ มีนับร้อยวิธี และยังมีจำหน่ายอยู่ซึ่งผู้คนซื้อหากันไม่ขาด
สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงไม่นาน ตอนนั้นยังไม่มีโรงงานน้ำพริกเผา หรือน้ำพริกสำเร็จรูป ผมจำได้ว่านักเรียนไทยจะไปศึกษาต่างประเทศต้องไปซื้อหาน้ำพริกที่ “บ้านสามภูมิ” ซึ่งอยู่ในซอยสุสาน ถนนสีลมติดกับป่าช้าฝรั่ง เพราะเป็นแหล่งจำหน่ายน้ำพริกสำเร็จรูปที่มีรสดี ปัจจุบันมีน้ำพริกสำเร็จรูปขายหลากหลาย ยามที่เข้าของแพงซื้อเก็บไว้ติดบ้านก็ไม่เลว เป็นการประกันเอาไว้ว่า วันไหนเงินหมดเรายังมีน้ำพริกอยู่กับบ้านคลุกข้าวรับประทาน
ไม่ต้องไปกินไวน์ขวดละสี่ช้าห้าแสน หรือเนื้อม้ากิโลละสองหมื่น อย่างพวกนักการเมืองเขากินกัน แล้วโทรไปบอกนักข่าวสังคม ให้เขียนถึงการกินแพงๆของ พณฯหัวเจ้าท่านเหล่านั้น ให้คนไทยอิจฉาเล่น แต่ผมว่าคนบ้านเรานั้นคงไม่ขอบตาตาร้อนผ่าวในเรื่องอวดมั่งมีอย่างนี้สักเท่าใด ด่าให้ล่ะไม่ว่า !
คนไทยเรากินเหล้าไทยกับเนื้อเค็ม หมูสวรรค์ ราคาพอหยิบฉวยกันได้ ก็มีความสุข
พอเพียงอัตตภาพกันตามรสนิยมของแต่ละคน สำคัญก็คือ
ผายลมของพวกคณะรัฐมนตรีนั้น กลิ่นออกมาคงไม่แตกต่างจากชาวบ้านเท่าไรนักหรอก !
การที่เคยรับราชการทั้งภาคอิสานและเหนือ ทั้งสองภาคข้าวเหนียว ทำให้ผมชอบทั้งน้ำพริกปลาร้า และน้ำพริกหนุ่ม แต่อายุมากขึ้นไม่ค่อยกล้ารับประทานกับข้าวเหนียว เพราะหากกินข้าวเหนียวแล้ว ผมออกจากบ้านไม่ได้ เนื่องจากเป็นคนชอบรับประทานข้าวเหนียวเหลือเกิน แต่ละครั้งก็กินเป็นปริมาณมาก เป็นผลให้ต้องนอนอึ้ดทึ่ดอยู่ที่บ้าน ภายหลังการกินแต่ละครั้งขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนไม่ได้เลย
ฉะนั้นเวลารับประทานน้ำพริกหนุ่มในวันทำงาน ผมจึงรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆควันฉุย กินกับไข่เจียวหอมซอย ต้องทอดกับน้ำมันด้วยหมู (ไข่เจียวทอดกับน้ำมันหมู รสชาติดีกว่าน้ำมันพืชแยะครับ) และมีแกงจืดแกงจืดฟักกับซี่โครงไก่ อย่างอดีตผู้ว่าสมัคร สุนทรเวชท่านแนะนำให้กิน แต่เราพอจะซื้อเนื้อไก่มาใส่ได้ ก็ใส่อกไก่เป็นชิ้นลงไป แล้วซดน้ำตามน้ำพริกหนุ่ม ไข่เจียวหอมซอย เท่านี้ก็กินกันลืมตายไปแล้ว
ปัจจุบันโลกอยู่ในอันตรายเราต้องเตรียมรับสถานการณ์อย่างมีสติ แม้ภัยการก่อการร้ายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่ลุกลามมาถึงกรุงเทพ แต่รัฐบาลเรานั้นมีประสิทธิภาพในการรักษาความสงบเรียบร้อยในเกณฑ์ต่ำมาก แต่ปากเก่งกาจนัก การที่พวกเขาบริหารบ้านเมืองต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าเมืองอื่นของประเทศหรือกรุงเทพ จะไม่พ้นภัยจากการก่อการร้าย
ดังนั้น การเตรียมพร้อมของประชาชนเราต้องอยู่ในสภาพดี ควรมีอาหารกระป๋องที่จำเป็นอยู่ในบ้านปริมาณพอควรรับสถานการณ์ได้สามวันเจ็ดวัน แล้วคอยสลับอาหารกระป๋องเหล่านี้ออกมาบริโภคบ้าง เพื่อให้มีกระป๋องใหม่เข้าไปทดแทน อาหารการที่ทำได้หลายอย่างน่าจะเป็นปลาทูน่า
ปลาทูน่ากระป๋อง(ชนิดเช่ในน้ำเกลือ) ที่จะเอามาแทนที่ปลาย่างในน้ำพริกได้เป็นอย่างดี เพราะมีราคาถูก สามารถนำมาดัดแปลงเป็นอาหารได้หลายอย่างเช่นต้มยำเป็นแกง ยำ รวมทั้งทำเป็นน้ำพริกก็ได้ เรียกว่าน้ำพริกปลาทูน่าก็ไม่ผิดกติกา
การทำก็เผาหอมแดง กระเทียมทั้งเปลือก (ต้องให้หอมแดงมากกว่ากระเทียม ให้เพราะหอมแดงนั้นหอมดับกลิ่นคาวปลาที่อาจหลงเหลือติดมา) และพริกขี้หนู ให้สุกแล้วนำมาโขลกรวมกัน โดยเอาพริกขี้หนู หอมแดง และกระเทียม ที่เอเาเปลือกออกมาโขลกรวมกันให้ละเอียด สำหรับเนื้อปลาให้แยกเนื้อกับน้ำเกลือออกจากกัน นำเนื้อปลามาใส่ครกโขลกรวมกันพอหยาบๆ เอาน้ำมันที่แยกมาเล้าเนื้อปลากับเครื่องที่ตำรวม แล้วค่อยกวาดตักออกจากครก มาปรุงรสด้วยน้ำปลา มะนาว และน้ำสุก กินกัน ผักสด และผักต้ม ตามถนัด กินกับข้าวสวยร้อนๆ เอร็ดอร่อยมาก
ถ้าวันเดียวยังกินไม่หมดใส่ขวดโหลปิดฝาไว้แล้วนำออกมากินได้ จะเก็บได้ประมาณ ๕ วัน หากเห็นว่าเหลือมากก็เอาพริกนี่ไปผัดกับข้าวก็อร่อยไม่หยอกเลยทีเดียว
มีเพลงของสุนทราภรณ์ที่ผมได้ยินมาตั้งแต่ยังเป็นละอ่อน คุณวินัย จุลบุษปะกับคุณชวลี ช่วงวิทย์ ท่านร้องเอาไว้ชื่อ “สวรรค์ชาวนา” เป็นเพลงที่ฮิตติดปากคนไทยมากทีเดียว เพลงนี้บรรยายชีวิตชาวนาได้เป็นอย่างดี เขาขึ้นต้นว่า
เลิกงานกลับมาถึงบ้าน เพราะความเหนื่อยจากงานต้องเข้าเคหา
แสดงว่าคนไทยที่เป็นชาวนาในอดีต เลิกงานแล้วตรงเข้าบ้านเลย ไม่ได้ไปเตร็ดเตร่ที่ไหน พออาบน้ำอาบท่าแล้วเสร็จ ฝ่ายภริยาก็ถามว่า
ญ.ท่าทางพี่คงหิวข้าว น้องแกงถั่วฝักยาว น้ำพริกมะขาม
ช.เอ๊ะดูสิหนาต้องกินหลายชาม
ญ.มะเขืองามจิ้มกับหลนปลา
ช.แหมทำเข้าท่ายกเอามาเร็วไว
ญ.ไม่รอช้ายกมาทันใด
(พร้อม) นั่งรวมกินกันไป ตามประสาชาวนา….
ท่านเกษียณอายุจากราชการเมื่อต้นเดือนนี้ หรือหากไม่ได้รับราชการ แต่งานที่กำลังทำอยู่ เขาจำกัดอายุไว้แค่ ๖๐ ปี เพราะคนเขาถือกันว่า ช่วงต่อจากนี้ ชีวิตที่เหลืออยู่นั้นก็เข้าวัยแห่งความเป็นอัศดงของชีวิต หากเปรียบกับเพลงของ “สวรรค์ชาวนา” คงจะเหมือนกระดูกสันหลังของชาติได้เสร็จจากงาน จูงควายกลับคอก แต่ชาวนานั้นเมื่อกลับมาบ้าน ก็พักผ่อน รับประทานอาหารกินน้ำพริกกับภริยา เช้าวันพรุ่งก็ต้องจูงเจ้าทุยกลับไปทำงานหนักบนนาผืนเก่า เพื่อปลูกข้าวเลี้ยงลูกเมียและชีวิตต่อไป ไม่มีวันหยุด จนกว่าจะสิ้นเรี่ยวแรงไป ส่วนท่านผู้เกษียณ ก็ถึงเวลาที่ได้พักจากงานที่ทำมาชั่วชีวิตเรียบร้อยไปแล้ว
จึงอยากเรียนท่านผู้อ่านที่เป็นผู้ชาย และเพิ่งเกษียณอายุไปเมื่อห้าวันก่อน บัดนี้ก็ถึงเวลาที่ท่านกลับไปพักผ่อนอยู่บ้านเป็นการถาวร และต่อจากนี้คงได้ รับประทานน้ำพริกถ้วยเก่า กับภริยา แม้ท่านอาจคิดว่ารสชาติจะจำเจ ดูน่าเบื่อหน่าย
หากว่าท่านทำใจ รู้จักการปรุงรสเพิ่มขึ้นใหม่ เหยาะน้ำปลา น้ำตาลหยิบเอามาเติม เพิ่มพริก เวลาช่วงที่เหลือยู่อาจเป็นเวลาที่เป็นสุขที่สุด เหมือนกับชาย เมืองสิงห์ ร้องเอาไว้ใน “เพลงน้ำพริกถ้วยเก่า” ซึ่งดังระเบิดระเบ้อเมื่อสามทศวรรษที่แล้ว ว่า
น้ำพริกถ้วยเก่า
ปลาร้าปลาเจ่า
ผักดองของดี
พี่ไม่เคยเบือนหนี
ยังรักเมียพี่ท่วมท้นดวงใจ
ดูซิ !เพลงอาไร้ หวานซะไม่มีละ!!
โชคดีวัยเกษียณ ทุกท่าน ครับ
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช