เช้าวันนี้…ผมนั่งจิบกาแฟตอนเช้าอยู่แต่เพียงผู้เดียว เพราะผู้คนในบ้านเขายังนอนเงียบกันอยู่ หลังจากบริหารร่างกายเรียบร้อยแล้ว ได้นั่งดูภาพยนต์เรื่อง In Pursuit Of Honor ซึ่งเป็นเรื่องที่ประทับใจผมมานานแล้ว เวลาเปิดเคเบิลดูแล้วพบเรื่องนี้เข้า เป็นต้องหยุดดูทุกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องของกลุ่มทหารม้าอเมริกัน ที่หลบหนีการไล่ติดตามโดยกองกำลังของฝ่ายเดียวกัน เพราะนายทหารกลุ่มนี้ ไม่สามารถฆ่าม้าตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งมีจำนวนหลายร้อยตัวได้ลงคอ
ผู้บังคับบัญชาทหารอเมริกันให้ฆ่าม้า ก็เพราะหมดความจำเป็นที่จะต้องมีหน่วยทหารม้าต่อไป เนื่องจากมีการพัฒนารถยนต์หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ และมีการใช้กันอย่างกว้างขวาง เพราะมีความรวดเร็วกว่าม้า นอกจากนั้นเริ่มมีรถรบ ยานเกราะหรือม้าเหล็ก เข้ามาทดแทนที่ม้าเนื้อ ความจำเป็นในการใช้กองทหารม้าก็แทบจะหมดลง ประกอบกับมีสถานการณ์ตกต่ำทางเศรษฐกิจที่เรียกกันว่า Great Recession ในสหรัฐ กองทัพไม่สามารถเจียดจ่ายงบประมาณเลี้ยงดูม้าที่หมดความจำเป็นไปแล้ว ทางการจึงสั่งให้กำจัด หรือฆ่าม้าประจำการเหล่านั้นเสียให้สิ้น เพื่อไม่ให้เป็นภาระสิ้นเปลืองงบประมาณอีกต่อไป
เมื่อทหารที่รับผิดชอบไม่ยอมฆ่าม้า กรณีขัดคำสั่งเกิดขึ้นทันที ทางเบื้องบนก็ยอมไม่ได้ กลุ่มทหารผู้รักม้าซึ่งเป็นเสมือนเพื่อนสู้ศึกมาด้วยกัน ต่างพร้อมใจกันพาม้าหลบหลีกการไล่ติดตามของฝ่ายเดียวกันเป็นระยะทางยาวกว่าหนึ่งพันไมล์ ซึ่งพวกเขาทำสำเร็จด้วยการใช้กลเม็ดและยุทธวิธีของทหารม้า แม้มีความยากลำบาก แค่พวกเขาสามารถนำม้าฝูงดังกล่าวไปสู่ดินแดนแห่งเสรี คือประเทศคานาดา ที่ซึ่งพวกมันถูกปล่อยให้อยู่ในทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ในของประเทศอมริกาเหนือแห่งนี้ และหากินอย่างอิสระตามวิสัยของมัน จวบจนวาระสุดท้าย
ผมตื้นตันใจทุกครั้งที่หนังจบลง อาจเป็นเพราะเกิดในตระกูลที่รักม้า ซึ่งผมเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่า ย่าของผมขี่ม้าเก่ง เพราะครอบครัวของท่านเคยเลี้ยงม้าส่งกรมทหาร บรรพบุรุษของผม ย่าเล่าให้ฟังได้สืบเชื้อสายมาจากทหารม้าที่แหกหักด่านพม่าจากกรุงศรีอยุธยาติดตามพระเจ้าตากสินมหาราช มุ่งไปสู่เมืองจันทบุรี หากท่านผู้อ่านเปิดไปอ่าน “กาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๘๙ “แม่พ่อ…แม่เพื่อน” ท่านก็จะทราบว่าญาติผู้ใหญ่ของพ่อผม เป็นนายทหารม้านามกระเดื่องมีราชทินนามว่า “พระยอดเมืองขวาง” คู่ปรับของทหารฝรั่งเศส ซึ่งต่อมานามของท่านเป็นค่ายของตำรวจตระเวนชายแดน ที่ จว.อุบลราชธานีปัจจุบัน
หากท่านผู้อ่านสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ ต้องอ่านหนังสือเรื่อง “การตัดสินคดีของพระยอดเมืองขวาง” แล้วจะทราบความกล้าหาญ มุทะลุดุดันของบรรพบุรุษผมคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยยำเกรงก้มหัวให้ทหารฝรั่งเศส จนทางประเทศมหาอำนาจต้องเรียกร้องให้ทางการไทย จับกุมตัวพระยอดเมืองขวางไปขังคุก และทางการก็ต้องจำใจทำตาม เพราะไม่อยากมีเรื่องเป็นชนวนให้ไอ้ฝรั่งมันข่มเหงเอา กลางวันตัวอยู่ในคุก ตกกลางคืนก็กลับมานอนบ้าน เรื่องนี้น่าสนใจทีเดียว
นอกจากนั้นผมยังเคยเล่าเรื่องให้ท่านผู้อ่านฟัง ถึงความสามารถในการฝีมือของย่าในการสร้างม้ากระดาษให้ผมเล่น ที่สร้างจากโครงไม้ไผ่ แล้วเอากระดาษปะตัวโครง ลงสี แล้วเอาลูกล้อติดให้ผมลากจูงเล่น คุณย่าผมท่านมีฝีมือมาก ท่านทำได้เหมือนม้าจริงเลยทีเดียว น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เก็บของเล่นไว้ให้ลูกเล่น เพราะพ่อแม่บางคนเก็บของเล่นลูกเอาไว้ ให้หลานเล่นต่อ หรือเก็บของลูกเล่นตั้งแต่เด็กเอาไว้เป็นที่ระลึก เช่นคุณแม่ของท่านอาจารย์จักรพันธ์ โปษยะกฤต ที่เก็บของเล่นของท่านอาจารย์เคยเล่นตั้งแต่เด็กๆเอาไว้ เป็นต้น
คนไทยรู้จักม้าในวรรณคดีของชาติ ตัวที่สำคัญคือ “ม้าสีหมอก” ของขุนแผน นอกเหนือจากจาก “ม้ามังกร” ของสุดสาคร ส่วนม้าสำคัญอื่นๆ ก็จะมีอยู่ในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ซึ่งมีอยู่หลายม้าด้วยกัน ที่สำคัญที่สุดและดูเหมือนจะคุ้นกัน เรียกว่าเป็นพญาม้า คือ ม้าที่มีลักษณะชั้นเยี่ยมที่สุด เท่าที่ปรากฏในเรื่องรามเกียรติ์ ก็มีบันทึกไว้ถึง ๑๔ ม้า แต่ตัวที่สำคัญที่สุดคือ ม้าของพระราม (อุปการ) ซึ่งกล่าวกันว่ามีถึง ๔ ตัว ตัวขาว เท้าทั้ง ๔ และปากแดงจัดดังดอกโกมุทะ หัวดำ นอกจากนั้นยังมีม้าของตัวละครอื่นจะยกตัวอย่างให้เห็นเช่น ม้าของวิรุญจำบังชื่อ นิลพาหุ ตัวดำปากแดง ม้าของวิรุญมุข ตัวขาว หัวดำ ม้าของพระยาทูษณ์ ผ่านดำ ม้าของพระมงกุฎ ขาวล้วนม้าของพระลบ ดำล้วน ม้าของพระพายชื่อ พลาหก เป็นต้น
ที่เล่ามานั้นเป็นม้าในวรรณคดี แต่ม้าสำคัญเพราะเป็นพระอาชาศึกของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้นก็เป็นที่กล่าวขวัญถึงกัน ในพระราชพงศาวดารฉบับลายพระราชหัตถเลขา ได้บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เมื่อครั้งที่พระองค์ท่านซึ่งเป็นนายทหารรับราชการมีราชทินนามว่าเป็น พระยากำแพงเพชร นำกองทหารออกจากกรุงศรีอยุธยา แล้วย้อนกลับเข้าต่อรบด้วยทหารพม่าซึ่งไล่ติดตาม จนทหารข้าศึกที่มีกำลังเหนือกว่าแตกพ่ายไป ดังต่อไปนี้
……รุ่งขึ้นวันอาทิตย์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนยี่ จึงเดินทัพไปถึงบ้านโพสังหาร ฝ่ายพม่ายกกองทัพติดตามไปอีก จึงให้หยุดทัพตระเตรียมจะคอยรับกองทัพพม่า พม่ายกไปทันได้ต่อรับกันเป็นสามารถ ทัพพม่าแตกพ่ายไป เก็บได้เครื่องศาสตราวุธเป็นจำนวนมาก จึงเดินทัพไปหยุดแรมอยู่ ณ บ้านพรานนก พอเพลาเย็นพวกทแกล้วทหารออกไปเที่ยวล่าหาอาหาร พบกองทัพพม่ายกกองทัพติดตามมาอีก พลประมาณสองพัน จึงกลับมาแจ้งแก่พระยากำแพงเพชร พระยากำแพงเพชรก็ขึ้นม้ากับม้าทหารสี่ม้าออกรับทัพพม่าก่อน จัดพอทหารทั้งปวงยกแซงเป็นปีกกาออกทั้งสองข้าง เข้าตีกระหนาบทัพพม่า และทัพม้าพม่าาสามสิบม้าซึ่งม้าหน้านั้นแตกร่นถอยลงไปหาทัพใหญ่ก็พากันแตกพ่ายไป พวกทแกล้วทหารทั้งปวงเห็นอานุภาพพระยากำแพงเพชรเป็นมหัศจรรย์ ชวนกันสรรเสริญว่านายเรามีบุญมาก เห็นจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะกอบกู้แผ่นดินคืนขึ้นได้เป็นแท้ ก็ยำเกรงอำนาจยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน….
ผู้ที่เคยเรียนในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก จะเข้าใจได้ดีว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงใช้ยุทธวิธีทหารม้าโดยแท้ คือเข้ารุกรบเข้าปะทะด้วยความรวดเร็ว ว่องไว ยกเข้าปะทะข้าศึก ด้วยกำลังน้อย เข้าข่มกำลังใหญ่แบบจู่โจม ฉับพลัน ทำให้ข้าศึกคิดไม่ถึงตั้งตัวไม่ติด กองทหารของพม่าแตกพ่ายไป แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงลักษณะความเป็นจอมทัพผู้นำสูงเด่น และทรงห้าวหาญยิ่งนัก
หากท่านดูการปั้นพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช ที่วงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี จะเห็นว่าหัวม้าทรงนั้นหันไปทางทิศตะวันออก นั่นเป็นการแสดงเจตจำนงของพระองค์ท่านว่า หากภาระกิจการกู้ชาติบ้านเมืองไม่เกิดผล ก็จะไม่ลดละความตั้งพระทัยอย่างเด็ดขาด จะพาไพร่พลไปซ่องสุมกำลังใหม่ที่จันทบุรี เพื่อกลับมากู้ชาติอีกอย่างไม่ละความตั้งใจ
มีคำถามว่า แล้วทำไมพระอาชาที่พระองค์ทรงยืนม้าอยู่นั้น หางพระอาชาจึงยกขึ้นและปลายหางชี้ปัดไปทางท้าย คล้ายม้านั้นกำลังวิ่ง ผิดลักษณะม้ายืนทั่วไป ต่างจากพระบรมรูปทรงม้าของสมเด็จพระปิยะมหาราช หน้าลานพระราชวังดุสิต ที่หางม้าทรง ลู่ลงหว่างสะโพกทั้งสองตามลักษณะม้ายืน บ้างก็วิจารณ์ดูกริยาม้าดูผิดปกติคล้ายม้ากำลังจะถ่ายมูล ตอนสร้างใหม่ๆก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันนักต่อนัก แต่น้อยคนที่จะทราบว่า
พระอาชาของพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น มีคุณลักษณะพิเศษที่สำคัญ ต่างไปจากม้าอื่น ตามตำนานเล่าขานเล่ากันว่า พระอาชาของพระองค์เป็นม้าที่มีคุณลักษณะพิเศษ คือได้ข่าวศึกแล้วแม้กำลังยืนอยู่สี่เท้า หางก็จะยกชี้ขึ้นทันที ต่างจากม้าอื่นที่หางม้าจะชี้ขณะม้าเดินหรือวิ่งควบ
ดังนั้น นายช่างจึงออกแบบพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ให้เห็นว่าหางของม้าทรงยกชี้เหยียดออก ประดุจดังยามที่พระอาชาตัวสำคัญ กำลังควบพาองค์พระมหาราชผู้แกล้วกล้า เสด็จโลดแล่นนำบรรดาหมู่ทแกล้วทหารกล้าชาวไทย เข้าสู่สมรภูมิเปิดฉากรุกรบประจัญบาน ฉะนั้น !
การที่ม้าเป็นพาหนะสำคัญของคน และกองทหารยุคโบราณของเกือบทุกชาติ คติพจน์ที่เกี่ยวกับม้า มีอยู่มากเช่น “อย่าล่ามม้าสองปาก อย่าลากพิษตามหลัง” ข้อความเป็นคติสอนใจนี้ อยู่ในลิลิตพระลอ ตอนนางภควดีสอนพระลอ มีความหมายว่า
การปกครองคนในฐานะกษัตริย์อย่างพระลอ แม้จะได้ทรงมีกฎหมายปกครองแล้วก็ดี แต่ไม่ควรปกครองอย่างตึงเครียดนัก คือการเปรียบเทียบการปกครองก็เหมือนกับการล่ามม้าเพียงปากเดียว คือเอาเชือกผูกวงบังเหียนที่ติดอยู่กับเชือกขลุมอยู่ที่ริมฝีปากม้า ซึ่งวงบังเหียนนี้มีทั้งสองข้างปาก เมื่อล่ามผูกวงเดียว ม้าก็จะหันเหไปทางไหนก็ได้สะดวก แต่ม้าจะไปที่อื่นไม่ได้ แต่ถ้าล่ามผูกทั้งสองวง หรือทั้งสองข้างปากแล้ว ม้าก็จะหันเหไม่ได้ เหมือนกับการปกครองที่เข้มงวดกวดขันเกินไป
ท่านอาจารย์สอนขี่ม้าของโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สามพราน รุ่นผมและรุ่นก่อนรุ่นหลังที่สอนขี่ม้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจมานาน คือ พล.ต.ต.โชติพัฒน์ บุนนาค ท่านเป็นนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และไปต่อโรงเรียนนายทหารม้า ประเทศเบลเยี่ยม รับราชการในหน่วยทหารม้า และโอนมารับราชการตำรวจ ท่านเป็นอาจารย์ที่สอนขี่ม้าที่เข้มงวดมาก ท่าทางต้องจัดให้ดี องอาจ สง่างาม ท่านอาจารย์ให้คติสอนใจนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นผมในแนวเดียวกับนางภควดีเรื่องพระลอว่า
“อย่าตึงบังเหียนนัก ม้าจะขัดเคืองและคิดสู้
อย่าหย่อนบังเหียนเกินไป ม้าจะได้ใจและพาห้อ”
อาจารย์ที่มาจากทหารม้าอีกท่านหนึ่ง ซึ่งรูปร่างสูงสง่า หล่อเหลาเอามากๆคือ
พล.ต.ต.ธนา โปษยานนท์ ซึ่งจบจากโรงเรียนนายทหารม้าเบลเยี่ยมเหมือนกัน ท่านสอนทั้งวิชาขี่ม้าและมารยาทสังคมท่านให้โอวาทเอาไว้ว่า
“การมีอัธยาศัยไมตรี คือการปฏิบัติตัวของเรา ทั้งทางกิริยาและทางวาจา ที่จะมาทำให้ผู้อื่นรู้สึกพอใจในตัวของเรา พร้อมกับรู้สึกพอใจในตัวของเขาเอง”
เรื่องวาจานี้สำคัญมาก ผู้นำที่ตกต่ำลงเพราะวาจาเป็นพิษ มีให้เราเห็นมิได้ขาด ทั้งในอดีตหรือแม้แต่ในปัจจุบัน
มีคำพูดของคนไทย ที่ต่อมาอาจถือได้ว่า กลายเป็นวลีที่เปรียบเทียบคนพูดไม่เข้าหู หรือพูดไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพูดจาดูถูกผู้คน ว่า
“พูดหมา หมา !”
และการพูดแบบนี้ก่อศัตรู และการวิวาทบาดถลุงกันมานักต่อนัก ต่อมาผู้คนเห็นว่า “พูดหมา หมา” มันฟังดูไม่เรียบร้อยเลยเปลี่ยนให้ดูเบาลงว่า
“พูดม้า ม้า” เลยฟังดูนุ่มนวลขึ้น
ใน “กาแฟขม…ขนมหวาน ตอน ๑๑๓ “เป็น เอลวิส-ลูกทุ่ง ถ้าไม่รุ่ง จะมุ่ง วุฒิฯ”
ผมเขียนเอาไว้ว่า
ตอนนี้ทางรัฐบาลเขามีโปรแกรม ให้ข้าราชการออกจากงานก่อนกำหนด แต่ผู้คนที่อายุมากหลายคนก็ไม่ค่อยอยากออกกัน แม้จะมีเงินเข้ามาล่อก็ตาม เพราะเขาบอกกันว่า อยู่ทำงานต่อไปยังดีกว่า เพราะออกไปตอนอายุ แค่ ๕๕ ไปนั่งเหงาอยู่ที่บ้าน ไม่ได้พบปะเพื่อนฝูง นั่งเม้าธ์กันในที่ทำงาน แลกเปลี่ยนความคิดข่าวสารกัน กลับมาต้องอยู่บ้าน นั่งมองหน้าศรีภริยาทุกวัน ขาดสังคมไป ในไม่ช้าก็จะถึงแก่กรรมไปก่อน ๖๐ เสียด้วยซ้ำ
แต่มีหลายคนชอบเพราะออกไปจะได้เงินก้อน แถมยังไม่ต้องเดินทางไปทำงาน อ่านหนังสือ ทำงานอดิเรกกันไป อย่างมีความสุข
แต่อยากจะบอกผู้มีอำนาจทั้งหลาย ว่า
การที่จะให้คนที่เคยอยู่ในราชการ เมื่อสูงอายุแล้วออกไปด้วยการใช้ถ้อยคำที่ไม่เป็นมิตร เช่นไม่ยอมออกก็จะพิจารณาปลด และจะไม่ได้เงินชดเชย อะไรทำนองนี้ ไม่ใช่ของดีเลยแม้แต่น้อย ผู้คนเขาจะเกลียดชังความปากร้าย รังแต่หาศัตรูเพิ่มมากยิ่งขึ้น และศาลปกครองจะต้องทำงานอีกแยะ เพราะจะมีกรณีปลดกันอย่างไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น และคดีจะมาสู่ศาลมากมาย
การที่จะพิสูจน์ทราบว่าข้าราชการคนไหนไร้สมรรถภาพ ไม่ใช่เรื่องง่ายกันนัก แต่การขู่จะปลดข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่เรื่องดี ควรต้องจำใสกะโหลกกันไว้บ้างว่า ข้าราชการไม่ได้เป็นลูกจ้างบริษัท มีกฎหมาย ระบบระเบียบ ข้อบังคับ เป็นหลักเป็นฐาน และต้องดำเนินการไปตามนั้น ไม่ได้ทำตามอำเภอน้ำใจของผู้มีอำนาจ !
จำไว้ว่ายามนี้ไม่มีใครกล้วใคร หากมีการลุแก่อำนาจเมื่อไหร่ แรงต่อต้านจะทวีมากขึ้น อย่างที่เห็นๆกันทุกวันนี้
ถ้าข้าราชการถูกรังแกโดยนักการเมือง สมาคมข้าราชการพลเรือน ต้องรวมพลังกันต่อสู้ให้กับสมาชิกที่ถูกรังแกด้วย !
ข้าราชการที่กระทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ปฏิบัติหน้าที่อย่างดีมาโดยตลอดชีวิต ไม่ได้เบียดบังเอาเวลาราชการไปทำมาค้าขาย สมควรจะได้รับการดูแลอย่างดีและให้เกียรติอย่างสูงจากรัฐบาล
ข้าราชการเป็นกำลังของรัฐบาล ของชาติ และเขาเหล่านั้นเป็นมนุษย์ ควรจะได้รับการปฏิบัติยามสูงอายุเป็นอย่างดี เพราะแม้สัตว์เดียรัจฉานอย่างม้าของทหารอเมริกัน ซึ่งรบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับทหารเหมือนเพื่อนคู่ศึกร่วมเป็นร่วมตายใน In Pursuit Of Honor เมื่อทหารอเมริกันเมื่อได้รับคำสั่งให้ทำลาย หมายถึงให้ฆ่าม้าทิ้งเสีย ก็ยังทนไม่ได้ ต้องพาเพื่อนคู่ศึกหลบหลีกความตายไปสู่ที่ปลอดภัย เพื่อพักผ่อนอย่างสงบในบั้นปลายของชีวิต
อยากให้รู้กันว่า ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นมนุษย์ นอกจากจะไม่ได้รับมธุรสวาจาแล้ว กลับได้รับคำขู่ว่าหากไม่ยอมออกดีๆ จะมีการดำเนินการ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะดำเนินการอะไรกับเขา เห็นบอกว่าจะส่งไปฟื้นฟูสมรรถภาพอะไรทำนองนี้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมายังมีการออกมาบอกว่าจะให้ข้าราชการออกอีกกว่าครึ่งแสน บอกว่า เป็นพวก “เฉื่อย” และใช้คำพูดที่ฟังไม่ได้ มีลักษณะเป็นการข่มขู่ข้าราชการสูงอายุอย่างซ้ำซาก เหมือนปีที่แล้วไม่มีผิด ซึ่งน่ารังเกียจอย่างยิ่ง ทั้งๆที่กระบวนการพิจารณาเรื่องสมรรถภาพของข้าราชการนั้นมีอยู่ สมควรที่จะต้องใช้ให้เป็นไปตามนั้น แต่กลับใช้คำพูดที่ฟังไม่ไพเราะ เสมือนการข่มขู่กัน เรียกให้เบาๆหน่อยก็บอกว่า “พูดม้า ม้า !”
ผมบอกได้เลยว่าคราวที่แล้วเคราะห์ดีจริงๆ ที่ผู้คนลาออกกันมากเกินโควตา ไม่เกิดกรณีฟ้องร้องกันไปยังศาลปกครอง เพราะข้าราชการเขาเบื่อความไม่ลงตัวในหน่วยงาน รวมทั้งการปรับปรุงระบบราชการ ที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นมรรคผลนัก นอกจากโยกหน่วยงานนี้ไปแปะหน่วยงานโน้น ทำกันแค่หดๆยืดๆเท่านั้น แต่ยังดันสู้อุตส่าห์มาทำโฆษณากันให้ดูใหญ่โตหรูหราว่า เลิศล้ำเก๋ไก๋เสียเหลือเกิน จนถึงขั้นดันทะลึ่งเอาไปเปรียบเทียบกับการจัดระบอบการปกครองของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕
ผู้คนเขาบอกว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกันเสียบ้างเลย !
ที่สำคัญก็คือ
การปรับปรุงระบบข้าราชการไม่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น แต่กลับลดลง ตรงนี้ผมไม่ได้พูดเอง เพราะแม้แต่นายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีร่วมรัฐบาล ออกมายืนยันตอนไข้หวัดนกว่า เหตุบรรลัยวายวอดที่เกิดขึ้นเพราะไปยุบตำแหน่ง “ปศุสัตว์อำเภอ” จนนายเนวินซึ่งเป็นรัฐมนตรีที่ตั้งใจทำงานเป็นอย่างมาก ถึงกับทะลักความอัดอั้นตันใจ ออกมาเป็นคำพูดว่า
“การปฏิรูประบบราชการล้มเหลวโดยสิ้นเชิง !”
ใช่แต่แค่นี้เสียเมื่อไหร่กัน กระทรวงวัฒนาธรรมที่ตั้งขึ้นใหม่ตอนปฏิรูป ข้าวของเครื่องมือเครื่องใช้ที่ขนมาตอนโยกย้ายหน่วยงาน แกะออกจากห่อหมดหรือยังไม่ทราบได้ แต่กระทรวงที่น่าสงสารนี้กำลังจะต้องถูกยุบ
แย่ไปกว่านั้นก็คือ
หน่วยงานระดับกรมบางแห่งถือกำเนิดขึ้นมาในการตกลงในห้องน้ำชาย นี่ผมไม่ได้พูดเอง หากแต่เป็นคำพูดของอดีตคณะบดีคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ คือ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ นักนิติศาสตร์ดีเด่นหมาดๆ ที่เป็นกรรมการปฏิรูประบบราชการ อย่างนี้เป็นต้น
น่าสมเพชมาก !
ยังไม่พูดถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในราชอาณาจักร ที่เขียนไว้บ้างแล้วใน “กาแฟขม…ขนมหวาน ตอน ๑๑๒“ใส่บาตรข้าวเหนียวที่หลวงพระบาง ของ จักรภพ เพ็ญเแข ถึง การบินไทย !” ที่ผมวิจารณ์อย่างแรงว่าตั้งแต่ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์มา ค่ายทหารในประเทศไม่เคยโดนปล้น แต่มาถึงวันนี้โดนทั้งปล้น ทั้งฆ่า และเป็นการฆ่าทหารอีกหลายนายด้วย อีกทั้งทรัพย์สินของหลวงที่เป็นอาวุธปืนก็สูญหายไปตกในมือของผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งเป็นการกระทำที่หยาบหยามยิ่งนัก ซึ่งผมเรียกว่าการปล้นครั้งนั้นเป็น “วันมหาอัปยศ” เพราะมันสุดจะทนเสียจริง ๆ ต้องต่อว่ากันแรงๆบ้าง
ถึงตอนนี้ผู้ก่อการร้ายฮึกเหิมหนัก วางระเบิดกลางตลาดทหารตำรวจ นักเรียน ประชาชน ตายบาดเจ็บเกลื่อนราวกับว่าบ้านเราเป็นน้องประเทศอิรัค รัฐบาลกลับไม่ยอมรับว่าเป็นการก่อการร้ายในประเทศของเรา แถมยังตั้งกรรมการมาประกาศหน้าเฉยตาเฉยไปทั้งโลก ว่าจะชดใช้ฝ่ายผู้ก่อการร้ายด้วย ทำให้ผมต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างหนักหน่วง ว่ากระทำการล้ำเส้นกฏหมาย (อ่านกาแฟขม...ขนมหวานตอนที่ ๑๔๓ “การชันสูตรพลิกศพในประเทศไทย ถึงผลสอบสวนกรณีมัสยิดกรือเซะ ของคณะกรรมการชุด “ขุนศีแม้วตั้ง” !”)
เอาใจถึงขนาดและศิโรราบพวกมันอย่างนั้นก็แล้ว แต่ไอ้พวกผู้ก่อการร้ายมันไม่สนใจใยดีต่อแผนพะนอพวกมัน ยังคงไล่เข่นฆ่าราษฎรและเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างว่าเล่นเป็นปกติ ล่าสุดบังอาจถึงกับฆ่าท่านผู้พิพากษากลางเมือง อย่างอุกอาจยิ่งนัก !
หลังจากที่ท่านผู้พิพากษาถูกสังหารโหด รายการข่าวของคุณพิสิทธิ์ กิรติการกุล ทางคลื่น ๑๐๑ เอฟ.เอ็ม. เมื่อ ศุกร์ที่ ๑๗ ก.ย.๒๕๔๗ รายงานถึงความหวาดกลัวของชาวบ้านที่ไม่กล้าออกนอกบ้าน ทำให้กิจการร้านเช่าวี.ดี.โอ.ดีอย่างมาก เพราะผู้คนเช่าเอาไปนอนดูในบ้าน อีกทั้งรายงานข่าววันต่อมา บรรยายถึงบรรยากาศความน่าสะพรึงกลัว และธุรกิจการท่องเที่ยวโรงแรมที่เสื่อมทรามลงอย่างรวดเร็ว หลังการเอาชีวิตข้าราชการตุลาการท่านนี้
นี่หรือฝีมือดี บริหารเก่งของรัฐบาล…หือ !
ฉะนั้นต่อไปนี้ ใครที่ลอยหน้ามาอวดอ้างว่า รัฐบาลนี้บริหารราชการแผ่นดินได้ดีดีเก๋ไก๋กว่าคนอื่น เพราะ
แม้แต่ความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ รัฐบาลนี้ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ แล้วยังจะมาให้ผู้คนเขานั่งสอพลอว่าเป็นซุปเปอร์แมน บริหารบ้านเมืองได้เริ่ดแรดสะแมนแตนได้อย่างไร
ไม่มีทาง !
พูดอย่างนี้จริงหรือไม่ ลองคิดดูกัน ? ถ้ามีลิ่วล้อนายทาสมือถือคนไหนออกมาเถียงว่าไม่จริงผมก็จะย้อนเข้าให้ด้วยข้อมูลที่คิดไม่ถึงก็แล้วกัน หรือถ้าเห็นว่าที่ผมพูดแล้วไม่ผิดไปจากความจริง ก็สงบปากสงบคำกันไว้บ้าง อย่าดันคุยโม้คุยโตกันให้มากนัก !
คนไทยพูดจาด่ากันตรงๆไม่เท่าไหร่ แต่การพูดดูถูกเหยียดหยามกันนั้น มันทำให้เกิดการผูกใจเจ็บ ก่อให้เกิดความเป็นศัตรู ความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทั้งสูงอายุ และยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ได้แผ่กระจายเป็นวงกว้างขวางออกไป และคำพูดอันไม่เป็นมงคลลักษณะเช่นนี้ ได้กระทำซ้ำๆซากๆ ไม่ว่าในหมู่ข้าราชการผู้ใช้แรงงาน คณะสงฆ์ และแวดวงต่างๆ ก็กลับกลายเป็นแรงอัดแรงกระแทกให้ความนิยมผู้ที่ใช้ถ้อยคำอันเป็นอัปลักษณ์วาจาเสื่อมถอยลง ถอยลง และถอยลงทุกขณะ !
การพูดจาข่มขู่ให้ข้าราชการสูงอายุต้องลาออกนั้น อย่าได้เกรงกลัวกันไปเลย ท่านที่ถูกรังแกต้องสวมหัวใจสิงห์เข้าไว้ หากมีการดำเนินการไม่เป็นธรรมกับท่านเมื่อใด ก็ให้ฟ้องศาลปกครองเข้าไป หรือหากเห็นว่าผู้บังคับบัญชาทำไม่ถูกต้อง ก็แจ้งการปฏิบัติหน้าที่มิชอบนั้นๆไปยัง ป.ป.ช.อย่าได้รอช้า อย่าทำหงอเดี๋ยวไอ้พวกชอบข่มขู่มันจะได้ใจ !
ก่อนจบข้อเขียนวันนี้ ขอบอกกล่าวส่งท้ายว่า
มันผู้ใดที่ถือเอาอำนาจเป็นที่ตั้ง ปากรังแต่สำรากถ้อยคำ อันเป็นการข่มขู่บังคับ
ข้าราชการ โดยคิดว่าพวกเขาเป็นเบี้ยล่างนั้น ต้องจำใส่กะโหลกกันไว้ให้ดีๆว่า
ไอ้ที่ “พูดม้า-ม้า” หรือ “พูดหมา-หมา” นั่นน่ะ
ผู้คนเขาจำนานนะ จะบอกให้ !!