เช้าวันนี้….จิบกาแฟขมแล้ว รับประทาน ‘บวดข้าวฟ่าง’ ที่เพื่อนเขานำมาให้เพื่ออวดฝีมือภริยา และขอคำวิจารณ์ขนมชนิดนี้ด้วย รสชาติของเขาดีมาก เพราะไม่หวานจัดจนเกินไป ไม่หนักกะทิจนจับได้ มีความหอมละมุน เรียกได้ว่ามีรสกลมกล่อม และที่สำคัญคือเขาใช้ ‘ข้าวฟ่างหางหมา’ ซึ่งมีเมล็ดขนาดเมล็ดงา เนื้อเนียนละเอียดกว่า ‘ข้าวฟ่างหางช้าง’ หรือ ‘ข้าวฟ่างสมุทรโคดม’ ซึ่งมีเมล็ดขนาดพริกไทย ผมชอบข้าวฟ่างหางหมาชนิดแรกมากกว่า
หลายวันก่อน ลูกน้องเก่าของผมคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า อ่านคอลัมน์นี้ เลยให้ลูกสาวเรียนจบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไปสอบตามโครงการแอร์โฮสเตสอื้ออาทร (ผมเขียนถึงเอาไว้ใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๖ “ด่วน..ด่วน..ใครทำจดหมายสมัคร ‘นักบินเอื้ออาทร’ หาย ? แจ้งเร็ว !” ที่แฟนอ่านแล้วก็ขำกัน)
เด็กสอบข้อเขียนผ่านไป เข้าสัมภาษณ์ ท่านอาจารย์สุนีย์ สินธุเดชะ ซึ่งควบคุมการสอบสัมภาษณ์ ถามเด็กว่า “พ่อทำอะไร” ลูกสาวของลูกน้องผมก็ตอบตามตรงว่า “พ่อเป็นนายตำรวจระดับสารวัตร” ท่านอาจารย์ถามต่อว่า “หนูจบมหาวิทยาลัยแล้วทำงานหรือยัง? คนอยากเป็นแอร์โฮสเตสตอบว่า มีงานทำแล้วในบริษัทที่มีฐานะมั่นคงแห่งหนึ่ง ท่านอาจารย์จึงบอกว่า
“หนูไม่ใช่คนยากจนแล้ว มีงานทำพอเลี้ยงตัวได้ ทุนนี้เขาเอาไว้ให้คนจนและเด็กด้อยโอกาส คงให้หนูเป็นแอร์โฮสเตสในโครงการนี้ไม่ได้ หากหนูอยากเป็นจริง ๆ เวลาเขาเปิดสมัครตามปกติ ไปสอบเอา ครูเชื่อว่าหนูสอบได้ แต่ขอทุนนี้ไว้ให้เด็กคนอื่นนะจ๊ะ !”
เด็กก็สอบไม่ได้
ผมถามพ่อเด็กว่าโกรธไหม ที่อาจารย์แม่ให้ตก น่าแปลกใจที่ได้รับคำตอบจากเขาว่า ไม่มีความรู้สึกไม่พอใจ แต่กลับพูดว่า
“ท่านอาจารย์แม่ตัดสินถูกต้องแล้ว”
เขาเล่าให้ฟังว่า ได้บอกลูกสาวไปว่า
“ลูกโชคไม่ดีที่พ่อไม่ได้ขี่สามล้อเหมือนก่อน ป่านนี้คงสอบเข้าได้”
ตรงนี้ต้องขอเล่าว่า ลูกน้องของผมก่อนสอบเข้าโรงเรียนพลตำรวจ ฐานะยากจนมาก ต้องขี่สามล้อเอาเงินไปเรียนหนังสือ แต่ด้วยความรักเรียนและมีมานะ สอบเข้าได้ที่ ๑ โรงเรียนพลตำรวจนครสวรรค์ จบแล้วก็เรียนมหาวิทยาลัยเปิดจนได้ปริญญาภายในเวลา ๔ ปี สอบเป็นนายตำรวจได้ แต่งงานกับลูกสาวกำนันเชียงใหม่ แต่ยังอาศัยอยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย เขาเลยบอกลูกสาวว่า ถ้าจนเหมือนตอนขี่สามล้อเธอคงสอบได้ ลูกสาวก็หัวเราะและเข้าใจดี
ผมฟังเรื่องนี้ด้วยความสุขใจอย่างยิ่ง เพราะอาจารย์ สุนีย์ สินธุเดชะ ได้ทำหน้าที่ของท่านอย่างถูกต้องครบถ้วน รักษาสิทธิให้กับคนยากคนจนผู้ด้อยโอกาส เป็นการเอื้ออาทรกับเด็กที่ยากจนจะได้มีโอกาสเป็นแอร์โฮสเตสในข่องทางที่ลัดกว่าการสอบปกติ
สำหรับท่านอาจารย์แม่นั้น ผมพูดถึงด้วยความเคารพอย่างยิ่งตลอด เพราะชื่นชมท่านมาก ( ดูกาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๑ “ ให้นักเรียน ( ท่านผู้อ่าน ) เล่าเรื่อง ‘คุณครูในดวงใจของฉัน’ ให้ฟัง ! ” ) มีความยุติธรรมในฐานะกรรมการผู้ตัดสินการให้ทุนเยาวชน เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเป็นการ “ชี้เป็น ชี้ตาย”ให้กับเขาและเธอผู้ยื่นขอทุนเลยก็ว่าได้
นอกจากนั้น ผมก็ชื่นชมลูกน้องเก่าที่มีจิตใจดี ไม่มีความโกรธเคืองท่านอาจารย์ ตระหนักดีว่าท่านต้องทำตามหน้าที่ ผดุงความเป็นธรรมให้กับสังคม อย่างนี้สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ดี ประชาชนพึ่งได้ เพราะรู้จักตำแหน่งยืนของตนเอง และสั่งสอนลูกดี ไม่ได้มีความเสียอกเสียใจ เมื่อตนพอมีฐานะแล้ว ก็เปิดทางให้คนที่ด้อยกว่ามีโอกาสดีในชีวิต คิดอย่างนี้ได้จิตใจก็จะแจ่มใส เพราะการให้โอกาสกับผู้ที่ยากไร้นั้นย่อมเป็นสุข
การที่มีจิตใจดีงดงามอย่างนี้ เรียกตามภาษาปากปัจจุบันอีกอย่างหนึ่งได้ว่าเป็นผู้มี “สปิริต” ท่านอาจารย์สุนีย์ สินธุเดชะ นั้น ได้รับรางวัลเกียรติยศจากงานที่ท่านทำมากมาย และพูดได้อย่างเต็มปากว่า ท่านเป็นผู้มี Spirit ความเป็นครูสูงมาก
คำว่า Spirit ท่านอาจารย์ ส.เสถบุตร ให้ความหมายว่าว่า จิต, วิญญาณ,จิตใจ,หัวใจ,หัวเรี่ยวหัวแรง,ผู้มีปัญญา,ผี,ปีศาจ และอีกหลายความหมายรวมทั้งเหล้า,และสุราด้วย
ต่อมาจึงมีผู้คนใช้คำแปลสองคำแรกของท่านอาจารย์ ส.เสถบุตร รวบเป็นคำเดียวกัน เป็น จิตวิญญาณ ต่อมาคำว่า จิดวิญญาณ ใช้กันระบาดตั้งแต่ยุค “ฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” ซึ่งแต่ความหมายของจิตวิญญาณ แตกต่างกันจากความหมายของพระพุทธศาสนาซึ่งแยก จิต และวิญญาณ ไว้อย่างชัดเจน
“วิญญาณ” ในศาสนาพุทธนั้น พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพรหมโมลี (สมณศักดิ์เดิม พระธรรมปิฎก ป.อ.ปยุตโต) ท่านได้ให้ความหมายของคำนี้ ว่า
“ความรู้แจ้งอารมณ์, จิต, ความรู้ที่เกิดขึ้นด้วยอายตนะภายในและอายตนะภายนอกกระทบกัน เช่นรู้อารมณ์ในเวลาเมื่อรูปมากระทบตา เป็นต้น ได้แก่ การเห็น การได้ยินเป็นอาทิ” (ดูวิญญาน ๖)
ฉะนั้น คำอธิบายในเรื่องวิญญาณในพระพุทธศาสนา จึงแตกต่างออกไปจากเรื่องของวิญญาณทางศาสนาอื่นที่เป็นเทวนิยม ซึ่งใช้คำว่า Soul เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอธิบายกันพอสมควรเลยทีเดียว จึงขอพักไว้ก่อน แต่จะขอใช้คำว่า Spirit
คำว่า Spirit นั้นดูจะตรงกับเรื่องของจิตใจอยู่มาก เช่นในพระคัมภีร์ไบเบิลเขียนเอาไว้ ว่า
The spirit is willing but the flesh is weak.
แม้จิตใจจะต่อต้านความชั่วหรือสิ่งเย้ายวน (กิเลส) ภาษิตนี้อยู่ในไบเบิล และอาจใช้ความหมายตรงๆเกี่ยวกับเรื่องความอ่อนแอทางร่างกายตรงๆเลยก็ได้เช่น
The spirit is willing, but the spinal is still weak.
คือจิตใจแข็งแกร่งมุ่งมั่นก็จริง แต่กระดูกไขสันหลังมันยังอ่อนแออยู่
เรามักจะได้ยินคำว่า “สปิริตของนักกีฬา” หรือ “จิตใจเป็นนักกีฬา” ซึ่งคำๆนี้พระมหากษัตริย์ของไทยท่านเคยใช้และมีบันทึกไว้ และเกี่ยวกับโรงเรียนเก่าของผมด้วย กล่าวคือ

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระราชดำรัสกับนักเรียนโรงเรียนวชิราวุธ วิทยาลัย เมื่อนักเรียนโรงเรียนเก่าของผม เล่นกีฬาถวาย ครั้งหนึ่ง ว่า
“เป็นประเพณีอันดีงามที่ควรจะรักษาไว้ การกีฬาทำให้เกิดพละกำลัง ทำให้เกิดกำลังใจ ทำให้เป็นสุภาพบุรุษ ทำให้มีจิตใจเป็นนักกีฬา”
ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ยังทรงตรัสถึงโรงเรียนเก่าของท่าน คือ Eton โดยทรงเล่าพระราชทาน ว่า เมื่อดุ๊กออฟเวลลิงตัน รบเอาชนะจักรพรรดินโปเลียนในทุ่งวอเตอร์ลูอย่างเด็ดขาด มีนถามดุ๊คว่า
“ทำไมจึงเอาชนะจอมจักรพรรดิผู้เก่งกล้า ในการสงครามอย่างนั้นได้”
ดุ๊ดออฟเวลิงตันตอบว่า
“ข้าพเจ้าชนะนโปเลียนน่ะรึ ชนะเขาบนสนามกีฬาวิทยาลัยอีตัน”
เมื่อทรงเล่าแล้ว ได้พระราชทานพรว่า
“ขอให้นักเรียนวชิราวุธ ที่เล่นกีฬาต่อหน้าข้าพเจ้าวันนี้ เมื่อเติบใหญ่เป็นใหญ่เป็นโตเมื่อไร ชีวิตก้าวหน้าไปแล้ว ก็ถึงระลึกว่าท่านชนะงานการเหล่านั้นด้วยดี On the Vajiravudh playground”
คำว่าเป็นผู้มี สปิริตนักกีฬา นั้น ผมไม่ขอให้คำจำกัดความ แต่อยากจะยกเพลงเชียร์กีฬาของโรงเรียนวชิราวุธ เพลงหนึ่งคงอธิบายได้ดีกว่า
เพลงนี้ชื่อ “จรรยานักกีฬา” (ทำนองเพลงไทยเดิม ชื่อ “ฝรั่งโยสะลัม” ) ประพันธ์โดยท่านผู้หญิง อุศนา ปราโมช เนื้อร้องมีว่า
เมื่อแมวหมาเล่นกีฬา เล่นกีฬามันท้ากัด จงใจฟัดเหวี่ยงปล้ำขม้ำหมาย
แต่พวกเรายุวชน ยุวชนคนผู้ชาย กีฬารายรักเล่นให้เป็นคุณ
ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง เบาะแว้งแย่งชนะ ไม่เกะกะยวนยั่วให้หัวหมุน
เพราะเรามีมารยาท มารยาทชาติสกุล ไม่หันหุนหยาบคายไร้เกเร
คนที่มีสปิริตนักกีฬานั้น ต้องเป็นผู้มีจรรยา มีมารยาทแสดงชาติสกุล ไม่แย่งกันชนยะ รู้จักแพ้รู้จักชนะ พูดง่ายๆคือมีความเป็นผู้ดี ไม่ใช่เจ้าเล่ห์คิดเอาแต่ชนะอย่างเดี่ยวโดยไม่คำนึงถึงกฏ กติกา มารยาท
นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่นั้น เขามีสปิริต คือยอมรับการตัดสินของประชาชน และสิ่งสำคัญคือความซื่อสัตย์และการมีจิตใจที่แข็งแกร่ง และไม่ย่อท้อต่อความเย้ายวนหรือกิเลส ความมักได้เข้าครอบงำ ต้องมีความรับผิดชอบ
นักกีฬาต้องรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับเพื่อนร่วมทีม โคช และผู้สนับสนุน ว่าจะทุ่มเทเพื่อทีมอย่างเต็มกำลัง นักการเมืองนั้นก็ต้องรักษาคำพูด ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพราะพวกเขาผิดชอบต่อประชาชน ต่อความเจริญและความเสื่อมของบ้านเมืองโดยตรง
นักการเมืองของ “ประเทศสาระขันขัน” ที่ผมพูดถึงบ่อยๆ ( ดูกาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๘ “เหี้ยส่องกระจก !” ) เขาก็มีกติกาเหมือนกัน ร่างเป็นจรรยาของสมาชิกสภาประเทศ ดูแล้วหรูหรา หลักเกณฑ์ดีเหลือเกิน แต่ก็มีพวกขาดจรรยาไม่ปฏิบัติตาม จึงมีการขาดประชุม สภาล่มเป็นประจำ นอกจากนั้นก็มีเรื่องอัปยศมาอีกหลายเรื่อง ตั้งแต่ไปซื้อประเวณีเด็กสาวก็รอติดคุกตามกรรมที่ก่อไว้
ที่สำคัญมากก็คือ การรักษาคำพูดของผู้บริหารของเมืองสาระขันขัน ตอนเข้ามาก็ว่าจะมารับใช้ประชาชน บางคนรวยจัดบอกว่าไม่ต้องการอะไรอีก เพราะมีมากล้นฟ้าแล้ว แต่พอเข้ามาสู่ตำแหน่งแล้ว ก็ยังค้าขายเป็นปกติดีนั่นก็ไม่ว่ากัน แต่ว่าออกหน้าจนเกินไป เช่น มีการประมูลที่ดิน สัมปทานที่ไหน คนข้างตัว ลูกหลาน ก็จะบุกแหลกเข้าสู้ราคาเต็มที่ ผู้คนก็วิจารณ์เอาว่าไม่เหมาะไม่ควร แต่ก็ลอยหน้าลอยตาบอกเก๋ไก๋ว่า
“กฎหมายเขาไม่ได้ไว้ห้ามนี่หว่า !”
ไม่ยักพูดถึงจรรยาที่ร่างกันเอาไว้ แสดงความไม่มี Spirit เพราะไม่รักษาคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชน ทำกันตามอำเภอน้ำใจสนุกสนานตามสไตล์เมืองสาระขันขัน พอถึงเรื่องความช่วยเหลือต่างประเทศ ความแดงออกมาว่า
เงินที่ ประเทศมะละหม่องส่องกบ กู้นั่นแหละ เอาไปซื้อระบบสารสื่อแบบเฮ้ากวงจากบริษัทผู้บริหารบ้านเมือสาระขันขัน แต่ก็ถลากไถลว่า เป็นเรื่องของพวกมะละหม่องเอง ประเทศนั้นอยากซื้ออะไร ซื้อจากใคร มันเรื่องของเขา รัฐบาลสาระขันขันจะไปเกี่ยวข้องไม่ได้
ผู้คนที่รู้ทันพากันหัวเราะกันกลิ้ง บอกว่าพวกนี้มันคงคิดว่าที่ปากประชาชนคนประเทศสาระขันขัน คงมีแกลบมีหญ้าอยู่เต็มไปหมดหรือยังไงกัน !?
ยิ่งกว่านั้นที่ทุเรศมากก็คือ บริษัทเครื่องดื่มดังของเมืองสาระขันขันที่เผยแพร่ไปทั่วโลก มีประวัติอุดหนุนพรรคการเมืองเก่าฝั่งตรงข้ามมายาวนาน กลับถูกข่มขู่ว่าจะเอาพวกไปตรวจภาษีอีก คนเขาบอกว่า แน่จริงก็ลองสั่งให้ทำดูอย่าแค่ขู่ไก่ ถ้าไม่กลัวหน้าแตกก็ลองทำดู
นี่ยิ่งแสดงความไม่มี Spirit หนักเข้าไปอีก !
อย่างนี้เองที่สื่อมวลชนของเมืองอาภัพแห่งนี้ ก็กล่าวขานกันว่า ความนิยม ความเชื่อถือ ในหัวหน้าคณะผู้บริหารเมืองสาระขันขันดูท่าจะเสื่อมทรามลง ครั้นถึงการเลือกตั้งสภาประจำถิ่น ฝ่ายบริหารบอกว่า ส่งไม้ตีพริกไปผู้คนก็ต้องเลือก แต่เอาเข้าจริงปอดแหกกลัวแพ้ไม่กล้าส่ง บิดตะกรูดอ้างเหตุอื่น แต่แอบไปผลุบๆโผล่ๆสนับสนุนหลังกระโปรงผู้หญิง พอถึงเวลาเลือกเข้าจริงๆ ผู้คนเลยเอาสากไม้ตาลทุบเข้าให้ บุบบี้เจ๊งราบไปตามระเบียบ
การทุบครั้งที่สองของประชาชนจะมีหรือไม่ ก็ต้องติดตามดูกันต้นปีหน้า แต่ชาวบ้านหลายหมู่เหล่าเขาบอกว่า จะช่วยกันเคาะให้น่วม เพราะถ้ามีการซื้อเสียง หรือใช้เครื่องดูดเสียงยี่ห้อ “ธนบัตราทร” เข้ามาในสภาเมืองได้ถึง ๕๐๐ ที่นั่ง เขากลัวจะต้องเปลี่ยนชื่อสภากะลาเมืองเป็น “สภาโจราห้าร้อย !”
นั่นเป็นเรื่องของเมืองสาระขันขัน คราวนี้กลับมาฟังเรื่องดีๆในประเทศไทยของเราดีกว่า หนังสือผู้จัดการเขาลงพาดหัวข่าว ว่า
“ชูวิทย์”โวสนั่นคนกรุงเลือกมาเป็นที่ ๓ พร้อมบริจาคที่ดิน ๖ ไร่สร้าง Spirit Of Bangkok ตอบแทนคนกรุง…ส่วนเนื้อข่าวบอกว่า
เมื่อวันที่ ๓๐ ส.ค นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หมายเลข ๑๕ กล่าวถึงแผนหลังการพ่ายแพ้เลือกตั้งว่า….จะตอบแทนคนกรุงเทพฯด้วยการเอาที่ดิน ๖ ไร่ ในซอยสุขุมวิท ๑๐ มาสร้าง Spirit Of Bangkok หรือจิตวิญญาณแห่งกรุงเทพฯ ซึ่งจะมีหอศิลป ห้องสมุดประชาชน และสถานรับเลี้ยงเด็กอนาถา….
คำว่า Spirit Of Bangkok ที่คุณชูวิทย์ใช้นั้น ผมได้ยินมาก่อนในการประชุม UNCTAD เกี่ยวกับเรื่องข้อตกลงทางการค้า ซึ่งก่อนหน้าที่มาประชุมที่กรุงเทพ องค์กรนี้เขาประชุมที่เมืองหลวงสหรัฐ เขาเรียกว่า Washington Consensus มาประชุมที่กรุงเทพเขาใช้คำว่า Spirit Of Bangkok จึงไม่ใช่คำใหม่อะไร
หากคุณชูวิทย์ทำจริง ก็เป็นเป็นสัญญาณว่า เมืองไทยจะมีนักการเมืองที่มีความคิดเสียสละให้แก่ชาติบ้านเมืองบ้าง แม้ว่าคนจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ผมกลับคิดว่าเป็นเรื่องดี เพราะ “ยายแฟง” หัวหน้าซ่องผู้หญิงหากิน ที่สร้าง “วัดคณิการ์ผล” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “วัดใหม่ยายแฟง” เพราะคุณยายเห็นว่า ได้ประกอบธุรกิจขัดศีลธรรมมาช้านาน เกรงว่าเมื่อตายไปจะตกนรกขุมลึก เลยเสียสละเงินสร้างวัดทำบุญก่อนหมดลม วัดนี้อยู่ยงมาจนทุกวันนี้
หัวหน้าซ่องโสเภณีที่ออกเงินสร้างวัด ใช่มีแต่ในประเทศไทยเท่านั้น มหาวิทยาลัย
เคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งประกอบด้วยหลาย College มีแห่งหนึ่งชื่อ Jesus College หญิงสามคนที่บริจาคเงินสร้างก็มีอาชีพเดียวกับคุณยายแฟงเหมือนกัน เมื่อยังเป็นหนุ่มๆผมเคยไปรับการศึกษาอบรมเพิ่มเติมที่ Jesus College นี้ด้วย
คุณชูวิทย์นั้นทำกิจการที่รัฐอนุญาต แม้จะมีการบริการกายกรรมทางเพศแอบแฝงอยู่ แต่บอกว่าล้างมือสิ้นแล้ว หากทุกอย่างเป็นไปตามที่เจ้าตัวให้คำมั่นเอาไว้ ถึงผมจะไม่รู้จักอดีตผู้สมัครผู้ว่าท่านนี้เป็นการส่วนตัว แต่ก็ขออนุโมทนาบุญกุศลในครั้งนี้ด้วย เพราะเท่าที่เห็นทุกวันนี้ มีแต่พวกเข้าสูบเอาประโยชน์จากตำรงตำแหน่งหน้าที่ เรื่องคอรัปชั่นกระจายอย่างหนัก เรื่องการเสียสละนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับนักการเมืองยุคนี้ ที่ไปเดินสายแจกเงินชาวบ้านทำเป็น“ซันตาคลอสเมืองร้อน” นั่นก็เงินของประชาชนทั้งนั้น เงินตัวเองเมื่อไหร่กัน !
เรื่องคอรัปชั่นนั้น ผมอยากให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายดูนโยบายของรัฐบาลชุด “นายทาส-มือ” เขาเขียนเอาไว้ ขอลอกเอามาให้ดูเต็มๆ อย่างนี้ครับ
ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(๑) ดำเนินมาตรการลงโทษทั้งทางวินัย ทางปกครอง ทางเพ่ง ทางอาญาและทางภาษี อย่างเด็ดขาด รวดเร็ว และเป็นธรรมแก่ผู้ทุจริตหรือมีส่วนปกป้องผู้ทุจริต รวมทั้งจะผลักดันให้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและพัฒนากระบวนการติดตามตรวจสอบ เพื่อให้สามารถลงโทษผู้ทุจริตอย่างเด็ดขาดและสามารถชดเชยความเสียหายแก่ภาครัฐหรือประชาชนที่ต้องได้รับความเสียหาย จากการกระทำทุจริตที่เกิดขึ้น
(๒) รณรงค์อย่างจริงจังและปลูกฝังจิตสำนึกและค่านิยมของสังคมให้ประชาชนร่วมกันต่อต้านการทุจริตและการประพฤติมิชอบ ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และให้ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในภาคราชการและภาคเอกชน รวมทั้งส่งเสริมขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต
(๓) ส่งเสริมให้มีการรวมตัวเป็นองค์กรภาคประชาชนและส่งเสริมให้ประชาชนมีบทบาทและส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบต่าง ๆ
(๔) ปฏิรูปกระบวนการจัดและการใช้งบประมาณแผ่นดิน และระบบการจัดซื้อจัดจ้าง โดยรัฐ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพในการอนุมัติงบประมาณ โดยสนับสนุนให้ผู้ทรงคุณวุฒิและประชาชนสามารถมีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้นในการตรวจสอบและวิเคราะห์การเสนอ ของงบประมาณและการใช้งบประมาณ
นี่เป็น “สัญญาประชาคม” อย่างชัดเจน แต่ท่านที่เคารพลองอ่านดู แล้วลองคิดว่า
รัฐบาลนี้เ คยทำตามหรือนโยบายที่แถลงไว้ในเรื่องขจัดคอรัปชั่น หรือเปล่า ? ต้องให้ท่านผู้อ่านตอบเอาเอง
รัฐบาลนี้กำลังจะสิ้นสุดอายุลง โดยทะนงตัวว่าจะได้รับเลือกตั้งเข้ามาใหม่ แต่ตอนนี้ฝ่ายบริหารคงประเมินแล้วว่า ความเห็นของประชาชนต่อพวกเขานั้นเป็นอย่างไร รัฐบาลสมควรจะทบทวนสิ่งที่ตัวกำหนดไว้ในนโยบาย ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาต่อสังคมหรือไม่ ? หรือเพียงแต่เขียนเอาไว้โก้ๆเก๋ๆแต่ไม่ได้ทำ หรือไม่สนใจที่จะทำ !?
พอมีผู้ทักท้วงกดดันหนักว่า ทำไมจึงไม่เร่งปราบปรามเรื่องคอรัปชั่น เพราะเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นหลายเรื่อง เลยตาแหกตาลีตาเหลือกโผล่ออกมา เรียกประชุมกำหนดมาตรการปราบปรามทุจริต นัยว่าจะประกาศเป็นนโยบายโดยจะจัดให้มีขึ้นวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๗ ทั้งๆที่ตัวเองมีนโยบายอยู่แล้ว แต่ดันไม่ทำ !
นั่นหมายความว่า หลังจากหลับหูหลับตา ไม่เอาใจใส่ในเรื่องการปราบปรามการทุจริตมา ซึ่งตนประกาศเป็นสัญญาประชาคม ๓ ปี ๘ เดือน หรือเหลือ ๔ เดือนสำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน ก่อนถึงการเลือกตั้งจึงค่อยๆยุรยาตรทำจะมาแถลงโน่น ประกาศนี่ ทำทีว่าขึงขังเสียเต็มประดา
ช่างน่าหัวเราะนัก !
สิ่งที่ผมอึดอัดขัดข้องใจ ในรัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างยิ่ง คือ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงมีพระราชดำรัส วันที่ผู้ว่า ซี.อี.โอ. เข้าเฝ้า เมื่อ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๖ ถึงความหนักพระหฤทัยเรื่องการทุจริตในประเทศ ซึ่งทรงใช้ถ้อยคำที่หนักแน่น และทรง “แช่ง” ผู้ทุจริตคดโกงแผ่นดินไว้ด้วย และผมเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังแล้ว ใน “กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๒๓ “ล้างโกงให้มันสิ้น…แผ่นดินไทย !”
กระแสพระราชดำรัสที่สำคัญยิ่งนั้น มีอยู่ว่า
“ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป พูดอย่างนี้หยาบคาย แต่ว่าต้องให้มีอันเป็นไป แต่ถ้าไม่ทุจริต สุจริต และมีความตั้งใจมุ่งมั่น สร้างความเจริญ ก็ขอต่ออายุให้ถึง ๑๐๐ ปี ใครมีอายุมากอยู่แล้ว ก็ขอให้แข็งแรง ความสุจริตจะทำให้ประเทศไทยรอดพ้นอันตรายภายใน ๑๐ ปี เมืองไทยน่าจะเจริญ ข้อสำคัญต้องยึดความสุจริตให้สำเร็จ และไม่ทุจริตเสียเอง”
อยากถามว่า พระราชดำรัสสำคัญจะครบ ๑ ปี วันที่ ๘ เดือนตุลาคมที่จะถึงนี้แล้ว ก่อนรัฐบาลได้เคลื่อนไหวหรือกระทำการใดอย่างว่องไว เพื่อสนองพระราชดำรัสบ้างหรือไม่ ? เพราะเพิ่งจะมานัดประชุม วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๗ แค่ ๕ วันก่อนพระราชดำรัสสำคัญจะครบ ๑ ปีเต็ม
ถ้าไม่ได้ทำอะไรเลย ก็อยากถามต่อว่า
รัฐบาลนี้มี Spirit แค่ไหนกัน !!?
หลายวันก่อน ลูกน้องเก่าของผมคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า อ่านคอลัมน์นี้ เลยให้ลูกสาวเรียนจบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไปสอบตามโครงการแอร์โฮสเตสอื้ออาทร (ผมเขียนถึงเอาไว้ใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๖ “ด่วน..ด่วน..ใครทำจดหมายสมัคร ‘นักบินเอื้ออาทร’ หาย ? แจ้งเร็ว !” ที่แฟนอ่านแล้วก็ขำกัน)
เด็กสอบข้อเขียนผ่านไป เข้าสัมภาษณ์ ท่านอาจารย์สุนีย์ สินธุเดชะ ซึ่งควบคุมการสอบสัมภาษณ์ ถามเด็กว่า “พ่อทำอะไร” ลูกสาวของลูกน้องผมก็ตอบตามตรงว่า “พ่อเป็นนายตำรวจระดับสารวัตร” ท่านอาจารย์ถามต่อว่า “หนูจบมหาวิทยาลัยแล้วทำงานหรือยัง? คนอยากเป็นแอร์โฮสเตสตอบว่า มีงานทำแล้วในบริษัทที่มีฐานะมั่นคงแห่งหนึ่ง ท่านอาจารย์จึงบอกว่า
“หนูไม่ใช่คนยากจนแล้ว มีงานทำพอเลี้ยงตัวได้ ทุนนี้เขาเอาไว้ให้คนจนและเด็กด้อยโอกาส คงให้หนูเป็นแอร์โฮสเตสในโครงการนี้ไม่ได้ หากหนูอยากเป็นจริง ๆ เวลาเขาเปิดสมัครตามปกติ ไปสอบเอา ครูเชื่อว่าหนูสอบได้ แต่ขอทุนนี้ไว้ให้เด็กคนอื่นนะจ๊ะ !”
เด็กก็สอบไม่ได้
ผมถามพ่อเด็กว่าโกรธไหม ที่อาจารย์แม่ให้ตก น่าแปลกใจที่ได้รับคำตอบจากเขาว่า ไม่มีความรู้สึกไม่พอใจ แต่กลับพูดว่า
“ท่านอาจารย์แม่ตัดสินถูกต้องแล้ว”
เขาเล่าให้ฟังว่า ได้บอกลูกสาวไปว่า
“ลูกโชคไม่ดีที่พ่อไม่ได้ขี่สามล้อเหมือนก่อน ป่านนี้คงสอบเข้าได้”
ตรงนี้ต้องขอเล่าว่า ลูกน้องของผมก่อนสอบเข้าโรงเรียนพลตำรวจ ฐานะยากจนมาก ต้องขี่สามล้อเอาเงินไปเรียนหนังสือ แต่ด้วยความรักเรียนและมีมานะ สอบเข้าได้ที่ ๑ โรงเรียนพลตำรวจนครสวรรค์ จบแล้วก็เรียนมหาวิทยาลัยเปิดจนได้ปริญญาภายในเวลา ๔ ปี สอบเป็นนายตำรวจได้ แต่งงานกับลูกสาวกำนันเชียงใหม่ แต่ยังอาศัยอยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย เขาเลยบอกลูกสาวว่า ถ้าจนเหมือนตอนขี่สามล้อเธอคงสอบได้ ลูกสาวก็หัวเราะและเข้าใจดี
ผมฟังเรื่องนี้ด้วยความสุขใจอย่างยิ่ง เพราะอาจารย์ สุนีย์ สินธุเดชะ ได้ทำหน้าที่ของท่านอย่างถูกต้องครบถ้วน รักษาสิทธิให้กับคนยากคนจนผู้ด้อยโอกาส เป็นการเอื้ออาทรกับเด็กที่ยากจนจะได้มีโอกาสเป็นแอร์โฮสเตสในข่องทางที่ลัดกว่าการสอบปกติ
สำหรับท่านอาจารย์แม่นั้น ผมพูดถึงด้วยความเคารพอย่างยิ่งตลอด เพราะชื่นชมท่านมาก ( ดูกาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๑ “ ให้นักเรียน ( ท่านผู้อ่าน ) เล่าเรื่อง ‘คุณครูในดวงใจของฉัน’ ให้ฟัง ! ” ) มีความยุติธรรมในฐานะกรรมการผู้ตัดสินการให้ทุนเยาวชน เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเป็นการ “ชี้เป็น ชี้ตาย”ให้กับเขาและเธอผู้ยื่นขอทุนเลยก็ว่าได้
นอกจากนั้น ผมก็ชื่นชมลูกน้องเก่าที่มีจิตใจดี ไม่มีความโกรธเคืองท่านอาจารย์ ตระหนักดีว่าท่านต้องทำตามหน้าที่ ผดุงความเป็นธรรมให้กับสังคม อย่างนี้สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ดี ประชาชนพึ่งได้ เพราะรู้จักตำแหน่งยืนของตนเอง และสั่งสอนลูกดี ไม่ได้มีความเสียอกเสียใจ เมื่อตนพอมีฐานะแล้ว ก็เปิดทางให้คนที่ด้อยกว่ามีโอกาสดีในชีวิต คิดอย่างนี้ได้จิตใจก็จะแจ่มใส เพราะการให้โอกาสกับผู้ที่ยากไร้นั้นย่อมเป็นสุข
การที่มีจิตใจดีงดงามอย่างนี้ เรียกตามภาษาปากปัจจุบันอีกอย่างหนึ่งได้ว่าเป็นผู้มี “สปิริต” ท่านอาจารย์สุนีย์ สินธุเดชะ นั้น ได้รับรางวัลเกียรติยศจากงานที่ท่านทำมากมาย และพูดได้อย่างเต็มปากว่า ท่านเป็นผู้มี Spirit ความเป็นครูสูงมาก
คำว่า Spirit ท่านอาจารย์ ส.เสถบุตร ให้ความหมายว่าว่า จิต, วิญญาณ,จิตใจ,หัวใจ,หัวเรี่ยวหัวแรง,ผู้มีปัญญา,ผี,ปีศาจ และอีกหลายความหมายรวมทั้งเหล้า,และสุราด้วย
ต่อมาจึงมีผู้คนใช้คำแปลสองคำแรกของท่านอาจารย์ ส.เสถบุตร รวบเป็นคำเดียวกัน เป็น จิตวิญญาณ ต่อมาคำว่า จิดวิญญาณ ใช้กันระบาดตั้งแต่ยุค “ฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” ซึ่งแต่ความหมายของจิตวิญญาณ แตกต่างกันจากความหมายของพระพุทธศาสนาซึ่งแยก จิต และวิญญาณ ไว้อย่างชัดเจน
“วิญญาณ” ในศาสนาพุทธนั้น พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพรหมโมลี (สมณศักดิ์เดิม พระธรรมปิฎก ป.อ.ปยุตโต) ท่านได้ให้ความหมายของคำนี้ ว่า
“ความรู้แจ้งอารมณ์, จิต, ความรู้ที่เกิดขึ้นด้วยอายตนะภายในและอายตนะภายนอกกระทบกัน เช่นรู้อารมณ์ในเวลาเมื่อรูปมากระทบตา เป็นต้น ได้แก่ การเห็น การได้ยินเป็นอาทิ” (ดูวิญญาน ๖)
ฉะนั้น คำอธิบายในเรื่องวิญญาณในพระพุทธศาสนา จึงแตกต่างออกไปจากเรื่องของวิญญาณทางศาสนาอื่นที่เป็นเทวนิยม ซึ่งใช้คำว่า Soul เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอธิบายกันพอสมควรเลยทีเดียว จึงขอพักไว้ก่อน แต่จะขอใช้คำว่า Spirit
คำว่า Spirit นั้นดูจะตรงกับเรื่องของจิตใจอยู่มาก เช่นในพระคัมภีร์ไบเบิลเขียนเอาไว้ ว่า
The spirit is willing but the flesh is weak.
แม้จิตใจจะต่อต้านความชั่วหรือสิ่งเย้ายวน (กิเลส) ภาษิตนี้อยู่ในไบเบิล และอาจใช้ความหมายตรงๆเกี่ยวกับเรื่องความอ่อนแอทางร่างกายตรงๆเลยก็ได้เช่น
The spirit is willing, but the spinal is still weak.
คือจิตใจแข็งแกร่งมุ่งมั่นก็จริง แต่กระดูกไขสันหลังมันยังอ่อนแออยู่
เรามักจะได้ยินคำว่า “สปิริตของนักกีฬา” หรือ “จิตใจเป็นนักกีฬา” ซึ่งคำๆนี้พระมหากษัตริย์ของไทยท่านเคยใช้และมีบันทึกไว้ และเกี่ยวกับโรงเรียนเก่าของผมด้วย กล่าวคือ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระราชดำรัสกับนักเรียนโรงเรียนวชิราวุธ วิทยาลัย เมื่อนักเรียนโรงเรียนเก่าของผม เล่นกีฬาถวาย ครั้งหนึ่ง ว่า
“เป็นประเพณีอันดีงามที่ควรจะรักษาไว้ การกีฬาทำให้เกิดพละกำลัง ทำให้เกิดกำลังใจ ทำให้เป็นสุภาพบุรุษ ทำให้มีจิตใจเป็นนักกีฬา”
ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ยังทรงตรัสถึงโรงเรียนเก่าของท่าน คือ Eton โดยทรงเล่าพระราชทาน ว่า เมื่อดุ๊กออฟเวลลิงตัน รบเอาชนะจักรพรรดินโปเลียนในทุ่งวอเตอร์ลูอย่างเด็ดขาด มีนถามดุ๊คว่า
“ทำไมจึงเอาชนะจอมจักรพรรดิผู้เก่งกล้า ในการสงครามอย่างนั้นได้”
ดุ๊ดออฟเวลิงตันตอบว่า
“ข้าพเจ้าชนะนโปเลียนน่ะรึ ชนะเขาบนสนามกีฬาวิทยาลัยอีตัน”
เมื่อทรงเล่าแล้ว ได้พระราชทานพรว่า
“ขอให้นักเรียนวชิราวุธ ที่เล่นกีฬาต่อหน้าข้าพเจ้าวันนี้ เมื่อเติบใหญ่เป็นใหญ่เป็นโตเมื่อไร ชีวิตก้าวหน้าไปแล้ว ก็ถึงระลึกว่าท่านชนะงานการเหล่านั้นด้วยดี On the Vajiravudh playground”
คำว่าเป็นผู้มี สปิริตนักกีฬา นั้น ผมไม่ขอให้คำจำกัดความ แต่อยากจะยกเพลงเชียร์กีฬาของโรงเรียนวชิราวุธ เพลงหนึ่งคงอธิบายได้ดีกว่า
เพลงนี้ชื่อ “จรรยานักกีฬา” (ทำนองเพลงไทยเดิม ชื่อ “ฝรั่งโยสะลัม” ) ประพันธ์โดยท่านผู้หญิง อุศนา ปราโมช เนื้อร้องมีว่า
เมื่อแมวหมาเล่นกีฬา เล่นกีฬามันท้ากัด จงใจฟัดเหวี่ยงปล้ำขม้ำหมาย
แต่พวกเรายุวชน ยุวชนคนผู้ชาย กีฬารายรักเล่นให้เป็นคุณ
ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง เบาะแว้งแย่งชนะ ไม่เกะกะยวนยั่วให้หัวหมุน
เพราะเรามีมารยาท มารยาทชาติสกุล ไม่หันหุนหยาบคายไร้เกเร
คนที่มีสปิริตนักกีฬานั้น ต้องเป็นผู้มีจรรยา มีมารยาทแสดงชาติสกุล ไม่แย่งกันชนยะ รู้จักแพ้รู้จักชนะ พูดง่ายๆคือมีความเป็นผู้ดี ไม่ใช่เจ้าเล่ห์คิดเอาแต่ชนะอย่างเดี่ยวโดยไม่คำนึงถึงกฏ กติกา มารยาท
นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่นั้น เขามีสปิริต คือยอมรับการตัดสินของประชาชน และสิ่งสำคัญคือความซื่อสัตย์และการมีจิตใจที่แข็งแกร่ง และไม่ย่อท้อต่อความเย้ายวนหรือกิเลส ความมักได้เข้าครอบงำ ต้องมีความรับผิดชอบ
นักกีฬาต้องรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับเพื่อนร่วมทีม โคช และผู้สนับสนุน ว่าจะทุ่มเทเพื่อทีมอย่างเต็มกำลัง นักการเมืองนั้นก็ต้องรักษาคำพูด ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพราะพวกเขาผิดชอบต่อประชาชน ต่อความเจริญและความเสื่อมของบ้านเมืองโดยตรง
นักการเมืองของ “ประเทศสาระขันขัน” ที่ผมพูดถึงบ่อยๆ ( ดูกาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๘ “เหี้ยส่องกระจก !” ) เขาก็มีกติกาเหมือนกัน ร่างเป็นจรรยาของสมาชิกสภาประเทศ ดูแล้วหรูหรา หลักเกณฑ์ดีเหลือเกิน แต่ก็มีพวกขาดจรรยาไม่ปฏิบัติตาม จึงมีการขาดประชุม สภาล่มเป็นประจำ นอกจากนั้นก็มีเรื่องอัปยศมาอีกหลายเรื่อง ตั้งแต่ไปซื้อประเวณีเด็กสาวก็รอติดคุกตามกรรมที่ก่อไว้
ที่สำคัญมากก็คือ การรักษาคำพูดของผู้บริหารของเมืองสาระขันขัน ตอนเข้ามาก็ว่าจะมารับใช้ประชาชน บางคนรวยจัดบอกว่าไม่ต้องการอะไรอีก เพราะมีมากล้นฟ้าแล้ว แต่พอเข้ามาสู่ตำแหน่งแล้ว ก็ยังค้าขายเป็นปกติดีนั่นก็ไม่ว่ากัน แต่ว่าออกหน้าจนเกินไป เช่น มีการประมูลที่ดิน สัมปทานที่ไหน คนข้างตัว ลูกหลาน ก็จะบุกแหลกเข้าสู้ราคาเต็มที่ ผู้คนก็วิจารณ์เอาว่าไม่เหมาะไม่ควร แต่ก็ลอยหน้าลอยตาบอกเก๋ไก๋ว่า
“กฎหมายเขาไม่ได้ไว้ห้ามนี่หว่า !”
ไม่ยักพูดถึงจรรยาที่ร่างกันเอาไว้ แสดงความไม่มี Spirit เพราะไม่รักษาคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชน ทำกันตามอำเภอน้ำใจสนุกสนานตามสไตล์เมืองสาระขันขัน พอถึงเรื่องความช่วยเหลือต่างประเทศ ความแดงออกมาว่า
เงินที่ ประเทศมะละหม่องส่องกบ กู้นั่นแหละ เอาไปซื้อระบบสารสื่อแบบเฮ้ากวงจากบริษัทผู้บริหารบ้านเมือสาระขันขัน แต่ก็ถลากไถลว่า เป็นเรื่องของพวกมะละหม่องเอง ประเทศนั้นอยากซื้ออะไร ซื้อจากใคร มันเรื่องของเขา รัฐบาลสาระขันขันจะไปเกี่ยวข้องไม่ได้
ผู้คนที่รู้ทันพากันหัวเราะกันกลิ้ง บอกว่าพวกนี้มันคงคิดว่าที่ปากประชาชนคนประเทศสาระขันขัน คงมีแกลบมีหญ้าอยู่เต็มไปหมดหรือยังไงกัน !?
ยิ่งกว่านั้นที่ทุเรศมากก็คือ บริษัทเครื่องดื่มดังของเมืองสาระขันขันที่เผยแพร่ไปทั่วโลก มีประวัติอุดหนุนพรรคการเมืองเก่าฝั่งตรงข้ามมายาวนาน กลับถูกข่มขู่ว่าจะเอาพวกไปตรวจภาษีอีก คนเขาบอกว่า แน่จริงก็ลองสั่งให้ทำดูอย่าแค่ขู่ไก่ ถ้าไม่กลัวหน้าแตกก็ลองทำดู
นี่ยิ่งแสดงความไม่มี Spirit หนักเข้าไปอีก !
อย่างนี้เองที่สื่อมวลชนของเมืองอาภัพแห่งนี้ ก็กล่าวขานกันว่า ความนิยม ความเชื่อถือ ในหัวหน้าคณะผู้บริหารเมืองสาระขันขันดูท่าจะเสื่อมทรามลง ครั้นถึงการเลือกตั้งสภาประจำถิ่น ฝ่ายบริหารบอกว่า ส่งไม้ตีพริกไปผู้คนก็ต้องเลือก แต่เอาเข้าจริงปอดแหกกลัวแพ้ไม่กล้าส่ง บิดตะกรูดอ้างเหตุอื่น แต่แอบไปผลุบๆโผล่ๆสนับสนุนหลังกระโปรงผู้หญิง พอถึงเวลาเลือกเข้าจริงๆ ผู้คนเลยเอาสากไม้ตาลทุบเข้าให้ บุบบี้เจ๊งราบไปตามระเบียบ
การทุบครั้งที่สองของประชาชนจะมีหรือไม่ ก็ต้องติดตามดูกันต้นปีหน้า แต่ชาวบ้านหลายหมู่เหล่าเขาบอกว่า จะช่วยกันเคาะให้น่วม เพราะถ้ามีการซื้อเสียง หรือใช้เครื่องดูดเสียงยี่ห้อ “ธนบัตราทร” เข้ามาในสภาเมืองได้ถึง ๕๐๐ ที่นั่ง เขากลัวจะต้องเปลี่ยนชื่อสภากะลาเมืองเป็น “สภาโจราห้าร้อย !”
นั่นเป็นเรื่องของเมืองสาระขันขัน คราวนี้กลับมาฟังเรื่องดีๆในประเทศไทยของเราดีกว่า หนังสือผู้จัดการเขาลงพาดหัวข่าว ว่า
“ชูวิทย์”โวสนั่นคนกรุงเลือกมาเป็นที่ ๓ พร้อมบริจาคที่ดิน ๖ ไร่สร้าง Spirit Of Bangkok ตอบแทนคนกรุง…ส่วนเนื้อข่าวบอกว่า
เมื่อวันที่ ๓๐ ส.ค นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หมายเลข ๑๕ กล่าวถึงแผนหลังการพ่ายแพ้เลือกตั้งว่า….จะตอบแทนคนกรุงเทพฯด้วยการเอาที่ดิน ๖ ไร่ ในซอยสุขุมวิท ๑๐ มาสร้าง Spirit Of Bangkok หรือจิตวิญญาณแห่งกรุงเทพฯ ซึ่งจะมีหอศิลป ห้องสมุดประชาชน และสถานรับเลี้ยงเด็กอนาถา….
คำว่า Spirit Of Bangkok ที่คุณชูวิทย์ใช้นั้น ผมได้ยินมาก่อนในการประชุม UNCTAD เกี่ยวกับเรื่องข้อตกลงทางการค้า ซึ่งก่อนหน้าที่มาประชุมที่กรุงเทพ องค์กรนี้เขาประชุมที่เมืองหลวงสหรัฐ เขาเรียกว่า Washington Consensus มาประชุมที่กรุงเทพเขาใช้คำว่า Spirit Of Bangkok จึงไม่ใช่คำใหม่อะไร
หากคุณชูวิทย์ทำจริง ก็เป็นเป็นสัญญาณว่า เมืองไทยจะมีนักการเมืองที่มีความคิดเสียสละให้แก่ชาติบ้านเมืองบ้าง แม้ว่าคนจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ผมกลับคิดว่าเป็นเรื่องดี เพราะ “ยายแฟง” หัวหน้าซ่องผู้หญิงหากิน ที่สร้าง “วัดคณิการ์ผล” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “วัดใหม่ยายแฟง” เพราะคุณยายเห็นว่า ได้ประกอบธุรกิจขัดศีลธรรมมาช้านาน เกรงว่าเมื่อตายไปจะตกนรกขุมลึก เลยเสียสละเงินสร้างวัดทำบุญก่อนหมดลม วัดนี้อยู่ยงมาจนทุกวันนี้
หัวหน้าซ่องโสเภณีที่ออกเงินสร้างวัด ใช่มีแต่ในประเทศไทยเท่านั้น มหาวิทยาลัย
เคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งประกอบด้วยหลาย College มีแห่งหนึ่งชื่อ Jesus College หญิงสามคนที่บริจาคเงินสร้างก็มีอาชีพเดียวกับคุณยายแฟงเหมือนกัน เมื่อยังเป็นหนุ่มๆผมเคยไปรับการศึกษาอบรมเพิ่มเติมที่ Jesus College นี้ด้วย
คุณชูวิทย์นั้นทำกิจการที่รัฐอนุญาต แม้จะมีการบริการกายกรรมทางเพศแอบแฝงอยู่ แต่บอกว่าล้างมือสิ้นแล้ว หากทุกอย่างเป็นไปตามที่เจ้าตัวให้คำมั่นเอาไว้ ถึงผมจะไม่รู้จักอดีตผู้สมัครผู้ว่าท่านนี้เป็นการส่วนตัว แต่ก็ขออนุโมทนาบุญกุศลในครั้งนี้ด้วย เพราะเท่าที่เห็นทุกวันนี้ มีแต่พวกเข้าสูบเอาประโยชน์จากตำรงตำแหน่งหน้าที่ เรื่องคอรัปชั่นกระจายอย่างหนัก เรื่องการเสียสละนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับนักการเมืองยุคนี้ ที่ไปเดินสายแจกเงินชาวบ้านทำเป็น“ซันตาคลอสเมืองร้อน” นั่นก็เงินของประชาชนทั้งนั้น เงินตัวเองเมื่อไหร่กัน !
เรื่องคอรัปชั่นนั้น ผมอยากให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายดูนโยบายของรัฐบาลชุด “นายทาส-มือ” เขาเขียนเอาไว้ ขอลอกเอามาให้ดูเต็มๆ อย่างนี้ครับ
ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(๑) ดำเนินมาตรการลงโทษทั้งทางวินัย ทางปกครอง ทางเพ่ง ทางอาญาและทางภาษี อย่างเด็ดขาด รวดเร็ว และเป็นธรรมแก่ผู้ทุจริตหรือมีส่วนปกป้องผู้ทุจริต รวมทั้งจะผลักดันให้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและพัฒนากระบวนการติดตามตรวจสอบ เพื่อให้สามารถลงโทษผู้ทุจริตอย่างเด็ดขาดและสามารถชดเชยความเสียหายแก่ภาครัฐหรือประชาชนที่ต้องได้รับความเสียหาย จากการกระทำทุจริตที่เกิดขึ้น
(๒) รณรงค์อย่างจริงจังและปลูกฝังจิตสำนึกและค่านิยมของสังคมให้ประชาชนร่วมกันต่อต้านการทุจริตและการประพฤติมิชอบ ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และให้ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในภาคราชการและภาคเอกชน รวมทั้งส่งเสริมขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต
(๓) ส่งเสริมให้มีการรวมตัวเป็นองค์กรภาคประชาชนและส่งเสริมให้ประชาชนมีบทบาทและส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบต่าง ๆ
(๔) ปฏิรูปกระบวนการจัดและการใช้งบประมาณแผ่นดิน และระบบการจัดซื้อจัดจ้าง โดยรัฐ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพในการอนุมัติงบประมาณ โดยสนับสนุนให้ผู้ทรงคุณวุฒิและประชาชนสามารถมีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้นในการตรวจสอบและวิเคราะห์การเสนอ ของงบประมาณและการใช้งบประมาณ
นี่เป็น “สัญญาประชาคม” อย่างชัดเจน แต่ท่านที่เคารพลองอ่านดู แล้วลองคิดว่า
รัฐบาลนี้เ คยทำตามหรือนโยบายที่แถลงไว้ในเรื่องขจัดคอรัปชั่น หรือเปล่า ? ต้องให้ท่านผู้อ่านตอบเอาเอง
รัฐบาลนี้กำลังจะสิ้นสุดอายุลง โดยทะนงตัวว่าจะได้รับเลือกตั้งเข้ามาใหม่ แต่ตอนนี้ฝ่ายบริหารคงประเมินแล้วว่า ความเห็นของประชาชนต่อพวกเขานั้นเป็นอย่างไร รัฐบาลสมควรจะทบทวนสิ่งที่ตัวกำหนดไว้ในนโยบาย ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาต่อสังคมหรือไม่ ? หรือเพียงแต่เขียนเอาไว้โก้ๆเก๋ๆแต่ไม่ได้ทำ หรือไม่สนใจที่จะทำ !?
พอมีผู้ทักท้วงกดดันหนักว่า ทำไมจึงไม่เร่งปราบปรามเรื่องคอรัปชั่น เพราะเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นหลายเรื่อง เลยตาแหกตาลีตาเหลือกโผล่ออกมา เรียกประชุมกำหนดมาตรการปราบปรามทุจริต นัยว่าจะประกาศเป็นนโยบายโดยจะจัดให้มีขึ้นวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๗ ทั้งๆที่ตัวเองมีนโยบายอยู่แล้ว แต่ดันไม่ทำ !
นั่นหมายความว่า หลังจากหลับหูหลับตา ไม่เอาใจใส่ในเรื่องการปราบปรามการทุจริตมา ซึ่งตนประกาศเป็นสัญญาประชาคม ๓ ปี ๘ เดือน หรือเหลือ ๔ เดือนสำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน ก่อนถึงการเลือกตั้งจึงค่อยๆยุรยาตรทำจะมาแถลงโน่น ประกาศนี่ ทำทีว่าขึงขังเสียเต็มประดา
ช่างน่าหัวเราะนัก !
สิ่งที่ผมอึดอัดขัดข้องใจ ในรัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างยิ่ง คือ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงมีพระราชดำรัส วันที่ผู้ว่า ซี.อี.โอ. เข้าเฝ้า เมื่อ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๖ ถึงความหนักพระหฤทัยเรื่องการทุจริตในประเทศ ซึ่งทรงใช้ถ้อยคำที่หนักแน่น และทรง “แช่ง” ผู้ทุจริตคดโกงแผ่นดินไว้ด้วย และผมเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังแล้ว ใน “กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๒๓ “ล้างโกงให้มันสิ้น…แผ่นดินไทย !”
กระแสพระราชดำรัสที่สำคัญยิ่งนั้น มีอยู่ว่า
“ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป พูดอย่างนี้หยาบคาย แต่ว่าต้องให้มีอันเป็นไป แต่ถ้าไม่ทุจริต สุจริต และมีความตั้งใจมุ่งมั่น สร้างความเจริญ ก็ขอต่ออายุให้ถึง ๑๐๐ ปี ใครมีอายุมากอยู่แล้ว ก็ขอให้แข็งแรง ความสุจริตจะทำให้ประเทศไทยรอดพ้นอันตรายภายใน ๑๐ ปี เมืองไทยน่าจะเจริญ ข้อสำคัญต้องยึดความสุจริตให้สำเร็จ และไม่ทุจริตเสียเอง”
อยากถามว่า พระราชดำรัสสำคัญจะครบ ๑ ปี วันที่ ๘ เดือนตุลาคมที่จะถึงนี้แล้ว ก่อนรัฐบาลได้เคลื่อนไหวหรือกระทำการใดอย่างว่องไว เพื่อสนองพระราชดำรัสบ้างหรือไม่ ? เพราะเพิ่งจะมานัดประชุม วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๗ แค่ ๕ วันก่อนพระราชดำรัสสำคัญจะครบ ๑ ปีเต็ม
ถ้าไม่ได้ทำอะไรเลย ก็อยากถามต่อว่า
รัฐบาลนี้มี Spirit แค่ไหนกัน !!?