เช้าวันนี้…จิบกาแฟขมแล้ว ผมขับรถออกจากบ้านไปทำบุญเนื่องจากเป็นวันเข้าพรรษา ที่จริงแล้วตั้งใจว่า จะเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อไปกราบนมัสการท่านพระภิกษุ สุรยุทโธ (พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรี) ที่วัดป่าแสงอรุณ อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดหนองคาย เพราะนอกจากเป็นรุ่นพี่ผมแล้ว ท่านยังเป็นอาจารย์สอนวิชายุทธวิธีให้กับผม ระหว่างรับการศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบกอีกด้วย ท่านมีเมตตาต่อผมมาก ส่วนผมเองมีความเคารพท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่เนื่องจากมีภารกิจสำคัญกระทันหัน ไม่อาจเดินทางได้เหมือนที่ตั้งใจไว้ อย่างไรก็ตามต้องหาเวลาไปให้ได้ในเร็ววันนี้
ก่อนเข้าพรรษาผมมีโอกาสไปงานบวชลูกชายของลูกน้องคนสนิท ที่วัดบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งผู้เป็นพ่ออยู่กับผมมาตั้งแต่เป็นพลตำรวจ จนกระทั่งมีครอบครัวและมีลูกซึ่งผมเห็นมาตั้งแต่ยังเป็นทารก มาบัดนี้ได้บวชเรียนทดแทนพระคุณพ่อแม่แล้ว ก็ปลื้มใจแทนพ่อแม่เขา และรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือเกิน เด็กที่เพิ่งเห็นดูดนมขวดอยู่ไม่กี่วันบัดนี้ได้บวชเรียนอยู่ในร่มเงาของพระศาสนาแล้ว อย่างนี้ผมเองจะไม่แก่ตัวลงได้อย่างไร
มีข้อน่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือภาคกลางนั้น เวลาเข้าพรรษาผมเห็นญาติโยมมักทำ ข้าวต้มมัด ไปวัดเพื่อถวายพระและเลี้ยงคน ส่วนทางภาคใต้เวลาออกพรรษาเขามีข้าวต้มลูกโยน แต่เดี๋ยวนี้ทางภาคกลางไม่ค่อยเห็นทำข้าวต้มมัดกัน แค่ทางปักษ์ใต้ออกพรรษาคราวก่อนก็ยังได้เห็นเขาทำข้าวต้มลูกโยนเหมือนเดิม ไปงานบวชคราวนี้เห็นของหวานเลี้ยงพระ (เลี้ยงคนด้วย) ก็เป็นไอศครีมกะทิซึ่งเอามาทั้งรถเข็นเลย ดูก็สะดวกดีแต่ขาดบรรยากาศของเก่าๆอซึ่งอุดมไปด้วยขนมอร่อยที่ชาวบ้านเป็นคนทำก็หายไป น่าเสียดายมาก
ประเพณีของชายไทยที่จะต้องบวช เพื่อทดพระแทนคุณของพ่อแม่ และคนไทยก็มีคำพูดว่าพ่อแม่ที่มีลูกชายได้บวชเรียน “จะได้เกาะชายผ้าเหลืองของลูกขึ้นสวรรค์” (แม้ผมเองจะไม่เคยบวชเรียนแต่ก็แน่ใจว่าพ่อแม่คงได้ขึ้นสวรรค์ เพราะน้องชายได้บวชแทนไปแล้ว) นอกจากนี้สังคมไทยสมัยก่อน ยังมีคตินิยมเกี่ยวกับการครองเรือนว่า ผู้ชายที่ยังไม่ได้ผ่านการบวชเรียน ก็ยังไม่มีความเหมาะสมที่จะแต่งงานหรือมีครอบครัว ทั้งนี้เพราะสังคมไทยนั้นเป็นสังคมพุทธ จึงเกิดประเพณีที่เรียกว่า "บวชก่อนเบียด" อีกทั้งในสมัยโบราณ การบวชยังเป็นโอกาสที่ลูกผู้ชายจะได้ศึกษาเล่าเรียน เพราะแต่ก่อนการศึกษายังไม่กว้างขวาง การเล่าเรียนหนังสือของคนไทยธรรมดาสามัญจึงอยู่ที่วัดเป็นหลัก จนกระทั่งเมื่อมีการปฏิรูปการปกครองเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๕ นี้เอง จึงมีการศึกษาในระบบโรงเรียนเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งผมได้เล่าเอาไว้พอสมควรใน “กาแฟขม…ขนมหวาน เล่มที่ ๑”
การที่คนหนุ่มได้บวชเรียนนั้น จะทำให้ได้รับความรู้และมีจิตใจสงบเย็น พร้อมที่จะปฏิบัติศาสนกิจอย่างเต็มที่ แต่ถ้าหากคนที่จะเข้าบวชมีครอบครัวอยู่แล้ว ก็จะทำให้ไม่อาจปฏิบัติธรรมได้เต็มกำลัง เพราะมีภารกิจในการทำมาหาเลี้ยงครอบครัว ซึ่งอาจทำให้เกิดความเป็นห่วงกังวล แม้บวชแล้วก็ไม่อาจปฏิบัติธรรมได้อย่างจริงจัง บุญกุศลที่คิดว่าจะได้รับก็เกรงว่าจะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ดังนั้นการบวชเรียนจึงควรกระทำก่อนที่จะมีครอบครัว
สำหรับผู้ชายนั้นเล่า หากจะไปสู่ขอลูกสาวบ้านใด พ่อแม่ของฝ่ายหญิงก็มักจะถือเอาเรื่องการบวชเรียนเป็นเกณฑ์ เพราะว่าคนไทยถือว่า ผู้ที่ได้บวชเรียนมาแล้วนอกจากจะมีความรู้แล้ว ยังมีคุณธรรมควบคู่กันไปด้วย เพราะได้รับการฝึกอบรมมาจากวัด จึงเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำครอบครัว ผู้ที่ได้บวชเรียนมาแล้วนั้น จึงมีความเหมาะสมที่จะแต่งานกับลูกสาวของตนได้ ซึ่งแสดงว่าสังคมไทยในสมัยก่อนเป็นสังคมพุทธอย่างแท้จริง และมีความเชื่อว่าพระพุทธศาสนาเป็นแหล่งกำเนิดของบุคคลผู้มีความรู้ ความสามารถ โดยเน้นหนักที่คุณธรรม เพราะเชื่อกันว่าผู้ที่ผ่านการศึกษาอบรมทางพระพุทธศาสนแล้ว จะสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างเป็นสุข ดังนั้นการปฏิบัติของคนในสมัยก่อนจะมุ้งเน้นไปที่ ศีล สมาธิ และปัญญา สังคมจึงไม่สู้จะมีปัญหา และมีความสุขพอสมควร ซึ่งแตกต่างจากสังคมไทยในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยปัญหาซับซ้อนนานาประการ ผู้คนในสังคมเต็มไปด้วยความทุกข์ซึ่งเกิดจากปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้า และยังมีปัญหาสังคม อีกทั้งระบบการเมืองและการปกครองปัจจุบัน ก็มุ่งแต่การพัฒนาวัตถุมากกว่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องมองเห็นยาก และลงทุนสูงต้องใช้ระยะเวลารอคอยยาวนาน ตลอดถึงการศึกษาและค่านิยมในปัจจุบันที่ผิดพลาด มุ่งให้คนเห็นเงินเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต จนตกเป็นทาสของวัตถุ นอกจากนั้นเล่าการหลั่งไหลของวัฒนธรรมตะวันตก ที่เข้ามาพร้อมๆกับความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม และคุณธรรม ผนวกกับเหตุปัจจัยที่สังคมไทยมีอยู่เป็นเชื้ออยู่บ้างแต่ก่อนแล้ว ทำให้ปัญหาขยายกว้างขวางออกไปอีก และเป็นเรื่องที่น่าหนักใจมาก
ฉะนั้นในการพัฒนาศักยภาพของตนเองตามหลักของพระพุทธศาสนา จึงต้องตระหนักถึง ความรู้จักตนเองให้มากพอ เข้าใจในหลักโลกธรรม ตลอดถึงทำความเข้าใจในการแก้ปัญหาของทุกข์ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงจะได้ชื่อว่าปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
เมื่อลูกผู้ชายได้บวชเรียนแล้ว อยู่ในวัดดีๆแท้บางทีก็มีมารมาผจญ ต้องสึกมากลางพรรษา อย่างนี้เขาเรียกว่าแหกผ้าเหลืองหรือ “แหกพรรษา” ถ้าออกมาระหว่างนั้นก็มักมีเรื่องมีราวอยู่ไม่ค่อยเป็นสุข ผมที่เคยเห็นครั้งหนึ่งในชีวิต เด็กหนุ่มอุตส่าห์บวชไปได้จนถึงครึ่งพรรษา พอรู้ข่าวว่าแฟนถูกลวนลามเท่านั้น สึกออกไปเอามีดฟันหน้าไอ้คนที่ทำอุกอาจบัดสี พ่อแม่ต้องเสียเงินเสียทองจ่ายให้คนเจ็บ และต้องไปประกันตัว เสียทั้งเงินและเวลา อีกทั้งเสียความตั้งใจของบิดามารดา น่าสงสารแท้ๆ ฉะนั้น เรื่องของคนหนุ่มนั้น
การอบรมและการฝึกฝนทางจิตใจต้องทำกันเสียแต่ต้นมือ
ความผูกพันระหว่างคนไทยกับวัดนั้นมีมาก ไม่ใช่เฉพาะประเพณีการบวช แต่คนไทยเป็นจำนวนมากที่ไปทำศึกสงคราม ก็มักจะอธิษฐานว่า หากมีชีวิตรอดกลับมาจากงานทัพ ก็จะขอบวชอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย หรือบางคนก็อธิษฐานว่าจะสร้างวัดเป็นพุทธบูชา ตรงนี้ทางภาคเหนือจะเห็นได้ชัด เพราะมีวัดหลายวัดในเมืองเชียงใหม่ที่แม่ทัพนายกองเป็นผู้สร้าง กล่าวคือ
ทางเหนือนั้น คนที่เป็นแม่ทัพนายกองจะมีบรรดาศักดิ์ เป็น "พัน" หรือ "หมื่น" จึงมีวัดจำนวนมากที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระศาสนา เพราะตัวผู้อุทิศได้มีชีวิตรอดจากการศึกสงคราม เช่น วัดพันอ้น (ผู้สร้างชื่อ อ้น มียศเป็น พันหรือ นายพัน) วัดพันตอง วัดพันเตา ซึ่งผู้ที่ชื่อตอง และเตา ก็เป็นผู้สร้าง หรืออย่างผู้มียศเป็นหมื่น ก็มีวัดหมื่นล้าน ก็สร้างโดยผู้ที่ชื่อ ล้านมียศเป็นหมื่น วัดหมื่นเงินกอง (คนนี้ชื่อเป็นมงคลแท้ๆ คือ ชื่อ "เงินกอง" อย่างนี้เป็นต้น
ในกรุงเทพก็มีวัดซึ่งสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสถาปนามาใหม่ และรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายรามัญ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ทหารรามัญ ในกองทัพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ชาวบ้านนิยมเรียกว่า "วัดตองปุ" ตามแบบวัดตองปุในสมัยอยุธยา ต่อมาเมื่อมีชัยชนะต่อกองทหารข้าศึก จึงพระราชทานพระอารามใหม่ว่า "วัดชนะสงคราม" อยู่ใกล้ๆกับผู้จัดการนี่เอง
ช่วงวันเข้าพรรษานี้เป็นวันหยุดยาว ผมพบว่าพรรคพวกของผมที่มีบ้านอยู่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะทางภาคอีสานกลับบ้านกันเป็นจำนวนมาก และรถโดยสารแน่นขนัดอีกเหมือนเดิม ด้วยว่ามีขบวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางระหว่างนี้ เพื่อไปดูงานต่างจังหวัดทางภาคอีสานมากมาย เพราะงานบุญเข้าพรรษาดูเหมือนจะยิ่งใหญ่กว่าภาคอื่นในประเทศ การเดินทางนั้นอาจไล่ตั้งแต่ไปดูตักบาตรดอกไม้ที่วัดพระพุทธบาทสระบุรี ไปงานบุญแห่เทียนตามจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะที่จังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร นอกจากนั้นยังอาจแวะดูทุ่งดอกกระเจียวที่จะบานในระยะนี้ที่จังหวัดชัยภูมิ หากผู้ปกครองที่พอมีกำลังทรัพย์ ควรหาโอกาสพาลูกหลานไปตามจังหวัดต่างๆ เพื่อปลูกฝังลูกหลานรู้จักประเพณีที่ดีในประเทศของเรา เพื่อให้มีความรัก ความหวงแหนในแผ่นดินบ้านเกิด ที่บรรพบุรุษของเราได้รักษามาด้วยความยากเย็นแสนเข็น
การที่เป็นสังคมพุทธ คนไทยแต่โบราณยังมีการถืออุโบสถ ในวันพระและวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอย่างเป็นนิจ ในต่างจังหวัดภาพอย่างนี้ยังคงมีให้ผมเห็นอยู่เสมอ การรักษาศีลบำเพ็ญธรรมส่งผลให้คนมีสติปัญญาดี เมตตาจิตสูง มีปัญญา การที่เด็กได้ไปวัดกับปู่ ย่า ตา ยาย ก็ได้ซึมซับเอาของดีงามมาไว้ในจิตใจน่าจะช่วยกันดูแลเด้กของเราในเรื่องนี้ด้วย
พระพิศาลธรรมพาที หรือท่านเจ้าคุณพยอม ท่านได้ปาฐกถาธรรมก่อนวันเข้าพรรษาว่า
"ถ้างดเหล้าช่วงสามเดือนไม่ได้ งดเฉพาะวันพระช่วงเข้าพรรษา ซึ่งมีเดือนละ ๔ วัน ก็น่าจะยินดี มันคงไม่ทำให้บริษัทขายเหล้าเจ๊งหรืออยู่ไม่ได้...อาตมาขอบิณฑบาต...ญาติโยมท่านใดที่ตั้งสัจจะว่า 'จะเลิกเหล้าตลอดพรรษา' อาตมาก็ขออนุโมทนาด้วย แต่ถ้าจะให้ดีอาตมาอยากเสนอว่า ช่วงเข้าพรรษากินเหล้าให้เต็มที่ เมากันให้เต็มอิ่ม แต่อย่าเมาจนขาดสติ แล้วค่อยไปเลิกเอาตอนออกพรรษา ทั้งนี้จะได้บุญกุศลทั้งประหยัดเงินได้มากกว่าถึง ๓ เท่า เพราะเข้าพรรษาระยะเวลามีเพียง ๓ เดือนเท่านั้น ขณะที่นอกพรรษามีระยะเวลานานถึง ๙ เดือนหลายคนตั้งใจเลิกเหล้าในช่วงเข้าพรรษา อาตมาขออนุโมทนาด้วย การทำบุญที่แท้จริงและได้บุญมากไม่ใช่การถวายข้าวพระ การถวายเทียนพรรษาต้นโตๆ การทำบุญให้ได้บุญจริงๆ คือต้องลด ละ เลิก งด เว้น จากการทำผิดศีลทั้ง ๕ ข้อ ไม่ต้องไปวัดทำบุญก็ได้ "
ท่านเจ้าคุณท่านใช้คำว่า “สัจจะ” ซึ่งเป็นบารมีธรรมคู่กับการ “อธิษฐาน” คือ คำว่า “อธิษฐาน” หมายถึงคำบาลีเรียกว่า "อธิฏฐานะ" ซึ่งเรานำมาเรียกเป็นไทยว่า อธิษฐาน คือการที่จะทำอะไรให้จริงจังก็ต้องมีการอธิษฐาน เรียกว่า ปักใจมั่น การปักใจมั่น เรียกว่าอธิษฐาน เมื่อได้ใคร่ครวญเห็นว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม ควรจะประพฤติ ควรจะกระทำโดยแน่นอน ก็มีการอธิษฐาน แล้วจะต้องทำสิ่งนี้จนประสบต่อความสำเร็จถึงที่สุด หากไม่อย่างนั้นแล้ว ผู้อธิษฐานก็ไม่ยอมเลิกละ หรือไม่ยอมทำหยุดการกระทำนั้นแม้จะมีอะไรมาขัดขวาง
คำว่า "สัจจะ" หมายถึง "จริงใจ คือ ความซื่อสัตย์ จริงวาจา คือ “พูดจริง" และ "ทำจริง"ส่วนคำว่า "บารมี" หรือ "ปารมี" มีความหมายอยู่ ๒ ประการ คือ "อย่างยิ่ง, เลิศประเสริฐที่สุด" และ "คุณธรรมที่ได้สั่งสมกันมาโดยลำดับ หรือ การสะสมคุณงามความดี ทำบุญกุศลกันโดยลำดับต่อเนื่อง "สัจจบารมี" จึงหมายความว่า "บารมีที่เกิดขึ้นโดยวิธีการฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้มีความจริงใจมีความซื่อสัตย์ พูดจริง กระทำจริง" นอกจาก "สัจจบารมี" แล้ว ยังมีอีกบารมีหนึ่งที่จำเป็นต้องบำเพ็ญควบคู่กันเสมือนพี่น้องฝาแฝด คือ "อธิษฐานบารมี”
ฉะนั้น เรื่องการอดเหล้าตอนเข้าพรรษานั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนที่กินเหล้าทุกวัน หรือพวกเป็นนักเลงสุรา เพราะต้องใช้ทั้ง อธิษฐาน และ สัจจะ จึงจะสำเร็จรอดพรรษาไปได้ ถือว่าเป็นเรื่องของการเอาชนะใจตนเองเลยทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก
ความจริงแล้วเจ้าคุณพยอมท่านก็ได้ต่อสู้กับเรื่องสุรายาเมามานานเต็มที ผมเองก็เป็นห่วงเรื่องการกินเหล้าของเยาวชนมาก โดยเด็กวัยรุ่นทางภาคอีสาน สามารถซื้อสุราแช่ที่เขาขายเป็นขวดขนาดยาบำรุงกำลัง คงประมาณ ๑๗๐ ซี.ซี. ซึ่งพกพาสะดวกมาก ทำให้เด็กวัยรุ่นซื้อหาพกใส่กระเป๋าหลัง เอาไปดื่มกินกันที่โรงเรียนหรือสถานที่ศึกษา จนเป็นนิสัยและจะกลายเป็นคนติดสุราได้โดยง่าย หากท่านผู้อ่านรู้จักหรือมีเพื่อนเป็นตำรวจหรือกำนัน ผู้ใหญ่บ้านทางทางภาคอีสาน ลองถามดูจะรู้ความจริงว่า
เด็กต่างจังหวัดบ้านเราที่กินเหล้าขาวกัน(รวมทั้งเหล้าอย่างอื่นด้วย) มีปริมาณสูงมากขึ้นทุกวัน และประสพอุบัติเหตุทางการจราจรก็มีจำนวนไม่น้อย นี่ยังไม่นับเรื่องการตีรันฟันแทงกัน เคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังหลายครั้งว่า ผมกลัวเด็กที่กินเหล้าแล้วขับรถ เพราะได้พบอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในท้องที่ที่เคยรับผิดชอบเป็นจำนวนมาก โดยเรื่องเฉพาะการขับขี่รถจักรยานยนต์ มาเป็นอันดับหนึ่งเลยทีเดียว
สำหรับเรื่องเหล้าขาวบรรจุลงขวดเท่ายาบำรุงกำลัง ตอนเช้าวันเข้าพรรษาผมก็เพิ่งเห็นว่ามีขายในกรุงเทพแล้ว โดยผู้ผลิตและจำหน่ายเหล้าขาวเขตกรุงเทพทำออกมาขายแล้ว โดยไม่ยอมน้อยหน้าสุราพื้นบ้านต่างจังหวัดที่ทำก่อน
การเสพสุราจึงเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงแถมมีรายงานของอนามัยโลกออกมาบอกว่า คนไทยเรากินเหล้าเป็นอันดับที่ ๕ ของโลก คือเฉลี่ย ๑๓.๕๙ ลิตร ต่อคนต่อปี คิดง่ายๆก็คือคนละ ๑๘ ขวดใหญ่ หรือเดือนละขวดครึ่งต่อคน น้อยอยู่เสียที่ไหนกัน นี่เป็นเพราะการส่งเสริมปัญญาพื้นบ้านเรื่องการผลิต “สุรา” กันอย่างกว้างขวางหรือเปล่าไม่ทราบได้ !
ปกติแล้วฤดูเข้าพรรษา มีผู้คนเป็นจำนวนมากที่อดเหล้าได้ตลอดระยะเวลาพรรษากาล ทำให้ปริมาณเหล้าขายลดลง และงานต่างๆก็จะไม่ค่อยมีในระหว่างพรรษากาล บรรดาวงดนตรีลูกทุ่งก็จะหยุดเดินสาย เตรียมเรื่องเพลงใหม่ เสื้อผ้าชุดใหม่ เพื่อออกรับงานหลังพรรษา เพราะจะมีงานชุกตั้งแต่ลอยกระทง ปีใหม่ ตรุษจีน ยาวไปถึงสงกรานต์โน่นทีเดียว
มาถึงพรรษานี้กำลังจะเข้าฤดูเลือกตั้ง การขายเหล้าจึงอาจไม่ลดลงเหมือนปีก่อนๆ เพราะเป็นธรรมเนียมของการชิงชัยในการเลือกตั้งบ้านเรา ต้องมีเหล้าเป็นเครื่องประกอบการสนทนาและหาเสียง ฉะนั้นพรรษานี้เหล้าอาจไม่ขายตกเหมือนทุกปี เผลอๆอาจเท่าหรือมากกว่าเวลาปกติด้วยซ้ำไป นอกจากนั้นแล้วพรรษานี้ยังมีความเป็นพิเศษอีก คือต้องมีการปราศรัยหาเสียง การสาดโคลนซึ่งกันและกัน การยิงเข่นฆ่าหัวคะแนน ลอบสังหารกันตามธรรมเนียมของการชิงชัยกันทางการเมือง ดังนั้นผมเชื่อว่าพรรษานี้ก็คงไม่สงบเหมือนพรรษาที่ผ่านมา คงจะเป็น “พรรษาเดือด” เพราะจะต้องมีการต่อสู้กันทางการเมือง เลือดต้องตกยางต้องออกกันเป็นเรื่องธรรมดา
อีกประการหนึ่งที่ผมห่วงใยเป็นอย่างมาก คือสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ไม่ได้ลดความร้อนแรงลงเลย จนล่วงเข้ามาเป็นเดือนที่ ๗ ย่างเดือนที่ ๘ แล้ว การเสียชีวิตของตำรวจ ทหาร และประชาชนผู้บริสุทธิ์ยังล้มตายลงทุกวัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผู้ก่อการร้ายมันยังยิงทั้งตำรวจ ซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกในการจราจรตายกลางเมือง ผู้คนตื่นตระหนกมาก เพราะมันอุกอาจเสียเหลือเกิน และยังการสังหารครู ไล่ฆ่าทหารที่ทำการตรวจตราดูแลความสงบ แถมวันสำคัญทางศาสนายังมีการระเบิดบาดเจ็บสาหัสกันไปอีกหลายคน
ดังนั้นหลังจากปฏิบัติการใหญ่ปล้นค่ายทหาร ที่ผมเรียกว่า "วันมหาอัปยศ" ขวัญของประชาชนในท้องถิ่นเริ่มตกลง ความหวาดกลัวภัยทำให้การเดินทางย้ายถิ่น ออกจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มมีมากขึ้น ใครที่มีญาติอยู่ทางปักษ์ใต้ลองถามดูก็ได้ คนที่อพยพหลบหนีภัยหากเข้ากรุงเทพไม่ได้ ก็หลบไปทำมาหากินจังหวัดใกล้เคียงสงขลาดูจะมากที่สุด ที่ยังย้ายไม่ได้ก็เพราะไม่มีที่ไปก็ต้องทนคกอยู่ในความหวาดกลัวต่อไป การเดินทางอพยพของผู้คนทางปักษ์ใต้นั้น อาจเรียกได้ว่า คนไทยต้องเป็น refugee ในดินแดนของตัวเองแท้ๆเลย
ใครที่อ่านบรรยายฟ้องของอัยการที่ฟ้อง ส.ส.พรรคไทยรักไทย กับพวกเรื่องขบวนการแบ่งแยกดินแดน ในข้อหาเป็นร่วมกันกบฎในพระราชอาณาจักร ปล้น และฆ่าคนตาย ฯลฯ จะเห็นได้ชัดว่า
ตั้งแต่รัฐบาลของ ซี.อี.โอ.ใหญ่นี้เข้าบริหารประเทศ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนก็ได้แผ่เข้ามาในประเทศได้ฝังรากลึกและมั่นคง อยู่มาเป็นเวลาเกือบ ๓ ปีเต็ม เมื่อฟักตัวเต็มที่แล้ว จึงได้ย่ามใจบังอาจเปิดฉากการระดมโจมตีขนานใหญ่ บุกเข้าปล้นค่ายทหาร เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนที่เสียหายอย่างร้ายแรงที่สุดของรัฐบาลชุดนี้ เพราะความอ่อนด้อยและขาดวิสัยทัศน์ในการมองการก่อการร้าย ขาดการศึกษาและทำความเข้าใจปัญหาอย่างจริงจัง ประกอบกับความบกพร่องอย่างใหญ่หลวงของระบบงานการข่าว มีการช่วงชิงการนำระหว่างผู้ปฏิบัติงาน ตลอดจนการบริหารที่อุดมไปด้วยมือสมัครเล่น รังแต่สร้างความเสียหายและอันตรายให้กับประเทศชาติของเรา !
สิ่งที่ยืนยันคำกล่าวของผมและตอกย้ำความอ่อนแอของรัฐบาลปัจจุบัน ในเรื่องงานการข่าวและการรับมือกับการก่อการร้ายได้เป็นอย่างดี คือรายงานการสอบสวนของคณะกรรมาธิการสหรัฐเรื่องกรณี 9/11 ที่ระบุว่าเมืองไทยคือสวรรค์ของผู้ก่อการร้าย และยังรายงานไว้ชัดเจนว่าแผนการ 9/11 การวางแผนการส่วนใหญ่ได้กระทำในประเทศไทย และยังใช้กรุงเทพเป็นแหล่งแจกจ่ายเงินเพื่อการก่อร้าย เรื่องนี้จึงเป็นการตอกย้ำเตือนในความอ่อนด้อยของการข่าวกรองในประเทศ จึงอยากให้รัฐบาลตื่นและปรับตัวในเรื่องนี้อย่างสุดๆด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่ของเราเองก็ถูกวิจารณ์อย่างเสียหายในรายงานดังกล่าว ทั้งในเรื่องระบบการรักษาความปลอดภัยและอื่นๆ จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเอามาศึกษาทบทวนกันให้ดี หากขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป สถานการณ์จะลากยาวไปจนถึงรัฐบาลหน้าที่ท่านตั้งใจจะเป็นกันต่อ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ผมยังมองในแง่ดีว่า ไม่ว่ารัฐบาลจะเป็นอย่างไรก็ตาม เพื่อนตำรวจทหารทั้งหลาย ล้วนแต่มีความตั้งใจดีในการปกปักรักษาผืนแผ่นดินเอาไว้ แม้ว่าจะต้องพบกับ “พรรษาเลือด” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในปีนี้ ดังนั้นรัฐบาลต้องบำรุงขวัญและกำลังใจผู้คนที่ปฏิบัติงานในสามจังหวัด ทั้งตำรวจทหาร ครูและข้าราชการส่วนอื่นๆอย่างเต็มที่ เรื่องเบี้ยเลี้ยงและการเงินสนับสนุนต้องทำให้ถึงด้วยความรวดเร็ว อย่าให้ตกหล่น ไม่ใช่ปล่อยให้เขาต้องร้องเรียนผ่านหน้าหนังสือพิมพ์อย่างที่เห็นๆกัน จะดูดายเรื่องอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด !
ดังนั้น ในระหว่างพรรษานี้อยากแนะนำรัฐบาลอธิษฐาน คือตั้งใจมั่นที่จะขจัดความหวาดกลัวของประชาชนต่อการรุกรานของผู้ก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน และนำความสงบสุขของแผ่นดินคืนมาให้พี่น้องประชาชนชาวไทยให้จงได้ เอากันให้แล้วเสร็จสิ้นภายในพรรษานี้ ถึงจะต้องเลือดตกยางออกกันมากหน่อยก็จำเป็นต้องทำ เป็นอย่างไรก็ต้องเป็นกัน เพราะจะปล่อยให้บางส่วนของประเทศตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างนี้ไม่ได้ เพราะผู้คนเขาถากถางเอาว่าเหมือนประเทศอิรัคเข้าไปทุกทีแล้ว !
นอกจากนั้น เพื่อลดกระแสความไม่พอใจของประชาชนที่ทวีมากขึ้นทุกวัน ในเรื่องทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาล ตรงนี้ผมอยากให้กลับไปดู “กาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๖๒” ซึ่งออนไลน์คั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเชียร์นายกทักษิณเต็มที่ ในเรื่องการจะส่งกำลังเข้าช่วยเหลือคนไทยในเขมร และผมยังพูดถึงการบำรุงกำลังหน่วยรบและการปราบปรามคอรัปชั่น โดยได้บอกว่า
“…ถ้าตอนนี้ผมเป็นกุนซือให้นายก ผมจะให้ท่านบำรุงกำลังตำรวจพลร่ม และตำรวจตระเวนชายแดนอย่างดี และผมจะประกอบหน่วยสอบสวนคือคัดสรรตำรวจที่มีประสิทธิภาพสูงในการสอบสวน ไว้ในมือนายก เพื่อกวาดล้างขบวนการทุจริต แค่นั้นคนชื่อ ทักษิณ ก็จะบริหารประเทศนี้ต่อไปได้อีกอย่างน้อย ๑๒ ปี….”
มาถึงวันนี้รัฐบาลเพิ่งจะตื่นงัวเงียขึ้นมา บอกว่าจะทำแผนปราบปรามคอรัปชั่น โดยจะประกาศในวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๗ ทั้งๆที่บริหารมาตั้งสามปีครึ่งจนจะหมดวาระอยู่แล้ว !
จึงขอแนะนำให้ ผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองทั้งหลาย พึงให้สัจจวาจาในตอนเข้าพรรษานี้ว่า จะบริหารบ้านเมืองโดยสุจริตเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน รู้จักแบ่งความจริงใจให้กับประชาชนบ้าง โดยอาจนำคำของท่านเจ้าคุณพยอมมาใช้ก็ได้ คือ ต้องลด ละ เลิก งด เว้น จากการทำผิดศีลทั้ง ๕ ข้อ เพื่อความเป็นสวัสดิมงคลของตัวเองและบ้านเมือง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าท่านจะทำหรือไม่? เพราะผมยังไม่เห็นรัฐบาลนี้ เป็นผู้นำทางศีลธรรมจรรยาให้กับประชาชนเลยสักเรื่อง นอกจากคิดแต่จะเอาเรื่องอบายมุขมาส่งเสริมให้กับประชาชน หรือว่าไม่จริง ?
ถ้ารู้สึกว่าพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างท่านเจ้าคุณพยอม จะขอมากไป ก็เอาแค่ ละโกง เลิกโกง งดโกง เว้นโกง แค่นี้ก็พอ ทำไมน่ะหรือ ?
ก็เพราะตอนนี้ ผู้คนเขาพูดกัน ให้อื้ออึงไปทั้งแผ่นดินแล้วไง !
………………………
หมายเหตุ กรณีรัฐมนตรีกับอดีตปลัดที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันนั้น มีคนถามผมว่า เมื่อรัฐมนตรีเป็นคนร้อง ป.ป.ช. หากคุณรัฐมนตรีเธอขอเข้าเครื่องจับเท็จ เพื่อขอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองอีกทางหนึ่งจะได้หรือไม่ ? ผมตอบไปว่า เรื่องการเข้าเครื่องจับเท็จนี้ ต่างประเทศเขาทำกันเป็นเรื่องปกติ หากเห็นว่าเจ้าหน้าที่คนไหนมีพฤติกรรมส่อไปในทางไม่น่าไว้วางใจ หรือเกิดมีความลับรั่วไหลในหน่วยงานใด เขาอาจกำหนดให้มีการตรวจสอบโดยเครื่องจับเท็จเป็นรายบุคคล หรือทำทั้งกลุ่มที่รับผิดชอบก็ได้
หากรัฐมนตรีอยากทำเองก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เพราะตัวรัฐมนตรีเป็นฝ่ายยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.เอง ซึ่งทาง ป.ป.ช.คงไม่ขัดข้อง หรือหากไม่ขอเข้าเครื่องจับเท็จเอง ป.ป.ช.อาจเป็นฝ่ายขอให้เธอเข้าเครื่องจับเท็จก็ได้ เพราะวิทยาการในเรื่องนี้ก้าวหน้าไปมากแล้ว หากผ่านเครื่องจับเท็จได้ ก็จะดีสำหรับรัฐมนตรีเองเสียอีก
ผู้คนจะปรบมือให้ด้วย !
…………………………