เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โทรทัศน์ทุกเครือข่ายในเมืองซิดนีย์ ออสเตรเลีย นำเสนอข่าวเด็กชายวัย 5 ขวบถูกล่อลวงออกจากร้านเล่นเกมส์ ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
เหยื่อตัวน้อยรายนี้ถูกชายนิรนามหลอกล่อไปล่วงเกินทางเพศในห้องน้ำคนพิการของห้างฯ !
ห้องดังกล่าวอยู่แยกออกมาจากห้องน้ำชาย-หญิงตามปกติ มีขนาดกว้างใหญ่เพียงพอให้รถเข็นของคนพิการผ่านเข้าออก
นั่นหมายถึง กว้างขวาง และสงบเงียบเพียงพอแก่การก่ออาชญากรรมทางเพศ
ภาพเหตุการณ์ล่อลวงเด็กคราวนี้ถูกจับได้จากกล้องวีดีโอวงจรปิดในร้านเล่นเกมส์ อันเป็นผลให้ตามสืบจับคนร้ายได้ในที่สุด
คนร้ายรายนี้เป็นเด็กชายวัยแรกรุ่น อายุเพียง 15-16 ปีเท่านั้นเอง !

ข่าวดังกล่าว ทำให้เรื่องการคุกคาม ทำร้าย ล่วงเกิน ข่มขืนเด็ก ( child sexual assault ) ถูกหยิบยกขึ้นมาปัดฝุ่น กลายเป็นประเด็นวิวาทะทางสังคมออสซี่อีกครั้งหนึ่ง
ทุกปี ประเทศออสเตรเลียจะมีเด็กถูกลักพาตัวโดยเฉลี่ยประมาณ 650 คน
หรืออีกนัยหนึ่ง มีเด็กออสซี่ถูกล่อลวงทุกวัน วันละ1- 2 คน
เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกลวงไปคุกคาม ทำร้ายทางเพศ
เหยื่ออาชญากรรมทางเพศมีทั้งเด็กชาย และเด็กหญิง
บางรายเป็นเพียงทารกเบบี๋วัยไม่ครบขวบด้วยซ้ำไป
นี่ขนาดประเทศฝรั่งมังค่า ที่เขาพร่ำโฆษณากันว่า เป็นประเทศ “พัฒนา” หรือเป็นประเทศที่คำนึงถึง “สิทธิมนุษยชน” ยังมีสถิติตัวเลขอาชญากรรมอันน่ารังเกียจมากขนาดนี้ อดคิดไม่ได้ว่าสยามประเทศเรา การข่มขืน ทำร้าย ลักพา ล่อลวงเด็กจะมีมากมายเพียงใด
จะว่าไปแล้ว เรื่องการลักพา คุกคาม ทำร้าย ล่วงเกินทางเพศเด็กนี้ สร้างความหวาดวิตกให้กับบรรดาพ่อ แม่ ผู้ปกครองชาวออสซี่มาตลอด
ครั้งหนึ่งเคยมีผู้นำเสนอว่าควรฝังตัวไมโครชิป (microchip) ไว้ในผิวหนังของเด็ก เพื่อจะได้ติดตามรู้ตำแหน่งของลูกหลานตนเองอยู่ตลอดเวลา
แน่นอนครับว่า พลันที่มีผู้เสนอแนวทางนี้ ก็มีแรงตอบโต้กลับทันทีว่า
“ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของเด็ก”
เลยกลายเป็นประเด็นวิวาทะระหว่าง “ความปลอดภัยของเด็ก” กับ “สิทธิเสรีภาพ”
ต่อมาด้วยวิวัฒนาการที่ทันสมัย บริษัทมือถือหัวใสรายหนึ่งได้นำเสนอนวัตกรรมใหม่ของเขา นั่นคือ
มือถือบอกตำแหน่งด้วยเทคโนโลยี GPS หรือ Global Positioning System
อันเป็นการใช้เครื่องมือการบอกตำแหน่งทางการทหารด้วยดาวเทียม ใส่ไว้ในโทรศัพท์มือถือ
ลูกค้าของโทรศัพท์ชนิดนี้คือ เหล่าพ่อ แม่ ผู้ปกครองซึ่งต้องการติดตาม รู้ตำแหน่งของลูกหลานตนเอง
นอกจากจะสามารถติดตามตำแหน่งของโทรศัพท์แล้ว เจ้าเครื่องนี้ยังมีปุ่มฉุกเฉินให้เด็กกดหากเจอกับภัยร้ายคุกคามอีกด้วย
ครับ ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีอะไรมาปกป้องลูกหลาน แต่มันจะเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิงหากเจ้าตัวน้อยปราศจากการตระหนักถึงภัยร้ายที่คุกคาม
ด้วยเหตุนี้ พ่อ แม่ ผู้ปกครองชาวออสซี่ จึงได้รับการแนะนำว่าควรจะให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการล่อลวง คุกคาม ทำร้าย ล่วงเกินทางเพศเด็กแก่ลูกหลานตนเอง
สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือโรงเรียนหลายแห่งในออสเตรเลียบรรจุเรื่องนี้เป็นหลักสูตรที่ต้องสอนให้เจ้าตัวเล็กรับรู้ถึงพิษภัยที่สามารถคุกคามทำร้ายพวกเขาได้ตลอดเวลา
ตรงนี้ ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า เมืองไทยเรายังมองเรื่องเพศเป็นเรื่องควรปกปิด ไม่ควรให้เด็กได้รับรู้
พ่อแม่ชาวไทยจำนวนมากละเลยการสอน หรือไม่ได้แนะนำให้ลูกหลานตนเองตระหนักถึงภัยทางเพศ !
เอาละครับ วันนี้ นินจา ราตรีขอพาคุณๆไปดูกันว่า พ่อแม่ผู้ปกครองชาวออสซี่ ได้รับการแนะนำว่าควรให้การศึกษาลูกหลานในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
หน่วยงานด้านพิทักษ์ปกป้องเด็กของออสเตรเลียแนะนำว่า การคุกคาม ทำร้ายทางเพศเด็ก เกิดขึ้นได้จากบุคคลที่มีอายุแก่กว่า หรือมีขนาดของร่างกายเติบใหญ่กว่าเด็ก
นั่นหมายความว่า ไม่ใช่เฉพาะผู้ใหญ่ หรือคนสูงอายุเท่านั้นที่ก่ออาชญากรรมทางเพศเด็ก
เด็กที่มีอายุมากกว่า หรือตัวโตกว่าเหยื่อ ก็อาจจะเป็นผู้ก่ออาชญากรรมนี้ได้เช่นกัน !
คนพวกนี้จะใช้อำนาจ ใช้พละกำลัง ใช้ความเชื่อถือ ใช้ศรัทธาของเหยื่อมาล่อลวงเด็ก
คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ผู้ก่ออาชญากรรมทางเพศเด็กมักจะเป็นคนแปลกหน้า หน้าตาน่ากลัว ทั้งที่โดยความจริงแล้ว ผู้ก่ออาชญากรรมเหล่านี้มักจะเป็นคนใกล้ชิดกับเด็ก
อาจจะเป็นคนในครอบครัว หรือเป็นครูบาอาจารย์ หรือคนสอนศาสนา ที่เด็กรักและเคารพศรัทธา
หรือหากเป็นคนแปลกหน้า ก็มักจะเป็นคนที่แต่งตัวน่าเชื่อถือ สะอาด สะอ้าน ดูรักและเอ็นดูเด็ก
อาชญากรรมทางเพศเด็ก ไม่ได้หมายความแค่การข่มขืน ร่วมเพศกับเด็กเท่านั้นนะครับ หากมันยังหมายรวมถึงการกอดจูบ ลูบไล้ ล่วงเกินเด็กด้วยตัณหา ราคะ ตลอดจนการสำเร็จความใคร่ด้วยการให้เด็กใช้มือ หรือปากอีกด้วย
แล้วเราจะช่วยปกป้องเด็กได้อย่างไรละครับ ?
เขาแนะนำว่า พ่อแม่ผู้ปกครองควรสอนให้เด็กตระหนักถึงความปลอดภัยทางเพศของตนเอง เหมือนการตระหนักถึงความปลอดภัยอื่นๆ
สอนให้เจ้าตัวเล็กรู้ว่า มันไม่ถูกต้องนะ หากมีใครมาจับ หรือสัมผัส ลูบ ถู ถูกอวัยวะที่อยู่ภายใต้กางเกงใน
และไม่ถูกต้องด้วยเช่นกันที่จะไปสัมผัส หรือจับต้องของสงวนของคนอื่น ไม่ว่าผู้ใหญ่ หรือเด็กที่โตกว่าคนนั้นจะยินยอม หรือเชื้อเชิญก็ตาม
พยายามให้เจ้าตัวเล็กบอกหรือเล่าให้ฟังทุกครั้งที่มีคนมาจับของสงวนของเขา
รวมทั้งให้เจ้าตัวน้อยบอกด้วยหากเขามีเรื่องกังวลหรือกลัวในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทั้งนี้เพราะมีหลายครั้งที่ผู้ก่ออาชญากรรมทางเพศกับเด็ก ข่มขู่และบังคับให้เด็กเก็บเรื่องดังกล่าวเป็นความลับ
แล้วจะทำอย่างไรละครับ ถึงพอจะรู้บ้างว่าเด็กถูกล่วงเกิน ทำร้ายทางเพศหรือไม่
อันนี้ค่อนข้างดูยากครับ แต่มันพอจะมีสัญญาณบอกเหตุให้พอรู้ได้
อย่างแรกคือ จากการบอกเล่าของเด็ก
แม้ว่าเด็กที่ถูกทำร้าย ล่วงเกินทางเพศส่วนใหญ่จะไม่บอกให้พ่อแม่ผู้ปกครองรับทราบ แต่ถ้าเด็กเล่าให้ฟังในเรื่องที่ทำให้เชื่อมโยงได้ว่าถูกคุกคามทางเพศ พ่อแม่ผู้ปกครองควรรับฟังอย่างสงบ พยายามพูดคุยกับเจ้าตัวเล็กด้วยน้ำเสียงปกติ อย่าตะคอก หรือแสดงอารมณ์โกรธ โมโห เกรี้ยวกราดใดๆ
เนื่องจากการทำเช่นนั้น จะทำให้เด็กตกใจ กลัว และไม่กล้าเปิดเผยเรื่องราวใดๆอีก
ขณะเดียวกันพ่อแม่ผู้ปกครองต้องพยายามบอกให้เด็กรับรู้ว่า เชื่อในเรื่องราวที่เด็กเล่า และบอกเขาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดบาปของเขาเลย
ต่อมาคือ สังเกตจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเด็ก
เด็กที่ถูกล่วงเกินทางเพศในแต่ละรายจะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป บางคนอาจจะหวาดระแวงต่อความมืด ไม่อยากไปโรงเรียน มีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือปลีกตัวอยู่ในมุมมืด หรืออาจจะดูดนิ้ว ฝันร้ายและปัสสาวะรดที่นอนเป็นประจำ ฯลฯ
พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในลักษณะนี้ แม้ว่าความจริงแล้วอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับการถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่พ่อแม่ควรสนใจ หามูลเหตุแก้ไขทั้งสิ้น
และที่สำคัญคือพิจารณาจากสัญญาณทางร่างกาย
พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถสังเกตได้จากบาดแผล รอยช้ำ บวม บริเวณอวัยวะเพศ ก้น หรือปากของเด็ก อย่างไรก็ตามในกรณีนี้อาจจะมีเด็กอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกละเมิดทางเพศแล้วไม่พบบาดแผลใด
ครับ นี่เป็นเพียงจุดสังเกตเล็กๆน้อยเท่านั้นที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะพอทราบได้ว่าลูกหลานถูกคุกคาม ทำร้ายทางเพศหรือไม่
แต่ก่อนจะเกิดเหตุร้ายขึ้น เรามาร่วมกันให้ความรู้ ความเข้าใจเรื่องอาชญากรรมทางเพศแก่เจ้าตัวเล็กกันไม่ดีกว่าหรือครับ
จะได้ไม่ต้องหวังพึ่ง “นางฟ้า” หรือ “เทวดา” นักพีอาร์ใดๆมาช่วยแก้ไขปัญหาให้ในตอนจบ
เหยื่อตัวน้อยรายนี้ถูกชายนิรนามหลอกล่อไปล่วงเกินทางเพศในห้องน้ำคนพิการของห้างฯ !
ห้องดังกล่าวอยู่แยกออกมาจากห้องน้ำชาย-หญิงตามปกติ มีขนาดกว้างใหญ่เพียงพอให้รถเข็นของคนพิการผ่านเข้าออก
นั่นหมายถึง กว้างขวาง และสงบเงียบเพียงพอแก่การก่ออาชญากรรมทางเพศ
ภาพเหตุการณ์ล่อลวงเด็กคราวนี้ถูกจับได้จากกล้องวีดีโอวงจรปิดในร้านเล่นเกมส์ อันเป็นผลให้ตามสืบจับคนร้ายได้ในที่สุด
คนร้ายรายนี้เป็นเด็กชายวัยแรกรุ่น อายุเพียง 15-16 ปีเท่านั้นเอง !
ข่าวดังกล่าว ทำให้เรื่องการคุกคาม ทำร้าย ล่วงเกิน ข่มขืนเด็ก ( child sexual assault ) ถูกหยิบยกขึ้นมาปัดฝุ่น กลายเป็นประเด็นวิวาทะทางสังคมออสซี่อีกครั้งหนึ่ง
ทุกปี ประเทศออสเตรเลียจะมีเด็กถูกลักพาตัวโดยเฉลี่ยประมาณ 650 คน
หรืออีกนัยหนึ่ง มีเด็กออสซี่ถูกล่อลวงทุกวัน วันละ1- 2 คน
เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกลวงไปคุกคาม ทำร้ายทางเพศ
เหยื่ออาชญากรรมทางเพศมีทั้งเด็กชาย และเด็กหญิง
บางรายเป็นเพียงทารกเบบี๋วัยไม่ครบขวบด้วยซ้ำไป
นี่ขนาดประเทศฝรั่งมังค่า ที่เขาพร่ำโฆษณากันว่า เป็นประเทศ “พัฒนา” หรือเป็นประเทศที่คำนึงถึง “สิทธิมนุษยชน” ยังมีสถิติตัวเลขอาชญากรรมอันน่ารังเกียจมากขนาดนี้ อดคิดไม่ได้ว่าสยามประเทศเรา การข่มขืน ทำร้าย ลักพา ล่อลวงเด็กจะมีมากมายเพียงใด
จะว่าไปแล้ว เรื่องการลักพา คุกคาม ทำร้าย ล่วงเกินทางเพศเด็กนี้ สร้างความหวาดวิตกให้กับบรรดาพ่อ แม่ ผู้ปกครองชาวออสซี่มาตลอด
ครั้งหนึ่งเคยมีผู้นำเสนอว่าควรฝังตัวไมโครชิป (microchip) ไว้ในผิวหนังของเด็ก เพื่อจะได้ติดตามรู้ตำแหน่งของลูกหลานตนเองอยู่ตลอดเวลา
แน่นอนครับว่า พลันที่มีผู้เสนอแนวทางนี้ ก็มีแรงตอบโต้กลับทันทีว่า
“ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของเด็ก”
เลยกลายเป็นประเด็นวิวาทะระหว่าง “ความปลอดภัยของเด็ก” กับ “สิทธิเสรีภาพ”
ต่อมาด้วยวิวัฒนาการที่ทันสมัย บริษัทมือถือหัวใสรายหนึ่งได้นำเสนอนวัตกรรมใหม่ของเขา นั่นคือ
มือถือบอกตำแหน่งด้วยเทคโนโลยี GPS หรือ Global Positioning System
อันเป็นการใช้เครื่องมือการบอกตำแหน่งทางการทหารด้วยดาวเทียม ใส่ไว้ในโทรศัพท์มือถือ
ลูกค้าของโทรศัพท์ชนิดนี้คือ เหล่าพ่อ แม่ ผู้ปกครองซึ่งต้องการติดตาม รู้ตำแหน่งของลูกหลานตนเอง
นอกจากจะสามารถติดตามตำแหน่งของโทรศัพท์แล้ว เจ้าเครื่องนี้ยังมีปุ่มฉุกเฉินให้เด็กกดหากเจอกับภัยร้ายคุกคามอีกด้วย
ครับ ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีอะไรมาปกป้องลูกหลาน แต่มันจะเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิงหากเจ้าตัวน้อยปราศจากการตระหนักถึงภัยร้ายที่คุกคาม
ด้วยเหตุนี้ พ่อ แม่ ผู้ปกครองชาวออสซี่ จึงได้รับการแนะนำว่าควรจะให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการล่อลวง คุกคาม ทำร้าย ล่วงเกินทางเพศเด็กแก่ลูกหลานตนเอง
สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือโรงเรียนหลายแห่งในออสเตรเลียบรรจุเรื่องนี้เป็นหลักสูตรที่ต้องสอนให้เจ้าตัวเล็กรับรู้ถึงพิษภัยที่สามารถคุกคามทำร้ายพวกเขาได้ตลอดเวลา
ตรงนี้ ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า เมืองไทยเรายังมองเรื่องเพศเป็นเรื่องควรปกปิด ไม่ควรให้เด็กได้รับรู้
พ่อแม่ชาวไทยจำนวนมากละเลยการสอน หรือไม่ได้แนะนำให้ลูกหลานตนเองตระหนักถึงภัยทางเพศ !
เอาละครับ วันนี้ นินจา ราตรีขอพาคุณๆไปดูกันว่า พ่อแม่ผู้ปกครองชาวออสซี่ ได้รับการแนะนำว่าควรให้การศึกษาลูกหลานในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
หน่วยงานด้านพิทักษ์ปกป้องเด็กของออสเตรเลียแนะนำว่า การคุกคาม ทำร้ายทางเพศเด็ก เกิดขึ้นได้จากบุคคลที่มีอายุแก่กว่า หรือมีขนาดของร่างกายเติบใหญ่กว่าเด็ก
นั่นหมายความว่า ไม่ใช่เฉพาะผู้ใหญ่ หรือคนสูงอายุเท่านั้นที่ก่ออาชญากรรมทางเพศเด็ก
เด็กที่มีอายุมากกว่า หรือตัวโตกว่าเหยื่อ ก็อาจจะเป็นผู้ก่ออาชญากรรมนี้ได้เช่นกัน !
คนพวกนี้จะใช้อำนาจ ใช้พละกำลัง ใช้ความเชื่อถือ ใช้ศรัทธาของเหยื่อมาล่อลวงเด็ก
คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ผู้ก่ออาชญากรรมทางเพศเด็กมักจะเป็นคนแปลกหน้า หน้าตาน่ากลัว ทั้งที่โดยความจริงแล้ว ผู้ก่ออาชญากรรมเหล่านี้มักจะเป็นคนใกล้ชิดกับเด็ก
อาจจะเป็นคนในครอบครัว หรือเป็นครูบาอาจารย์ หรือคนสอนศาสนา ที่เด็กรักและเคารพศรัทธา
หรือหากเป็นคนแปลกหน้า ก็มักจะเป็นคนที่แต่งตัวน่าเชื่อถือ สะอาด สะอ้าน ดูรักและเอ็นดูเด็ก
อาชญากรรมทางเพศเด็ก ไม่ได้หมายความแค่การข่มขืน ร่วมเพศกับเด็กเท่านั้นนะครับ หากมันยังหมายรวมถึงการกอดจูบ ลูบไล้ ล่วงเกินเด็กด้วยตัณหา ราคะ ตลอดจนการสำเร็จความใคร่ด้วยการให้เด็กใช้มือ หรือปากอีกด้วย
แล้วเราจะช่วยปกป้องเด็กได้อย่างไรละครับ ?
เขาแนะนำว่า พ่อแม่ผู้ปกครองควรสอนให้เด็กตระหนักถึงความปลอดภัยทางเพศของตนเอง เหมือนการตระหนักถึงความปลอดภัยอื่นๆ
สอนให้เจ้าตัวเล็กรู้ว่า มันไม่ถูกต้องนะ หากมีใครมาจับ หรือสัมผัส ลูบ ถู ถูกอวัยวะที่อยู่ภายใต้กางเกงใน
และไม่ถูกต้องด้วยเช่นกันที่จะไปสัมผัส หรือจับต้องของสงวนของคนอื่น ไม่ว่าผู้ใหญ่ หรือเด็กที่โตกว่าคนนั้นจะยินยอม หรือเชื้อเชิญก็ตาม
พยายามให้เจ้าตัวเล็กบอกหรือเล่าให้ฟังทุกครั้งที่มีคนมาจับของสงวนของเขา
รวมทั้งให้เจ้าตัวน้อยบอกด้วยหากเขามีเรื่องกังวลหรือกลัวในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทั้งนี้เพราะมีหลายครั้งที่ผู้ก่ออาชญากรรมทางเพศกับเด็ก ข่มขู่และบังคับให้เด็กเก็บเรื่องดังกล่าวเป็นความลับ
แล้วจะทำอย่างไรละครับ ถึงพอจะรู้บ้างว่าเด็กถูกล่วงเกิน ทำร้ายทางเพศหรือไม่
อันนี้ค่อนข้างดูยากครับ แต่มันพอจะมีสัญญาณบอกเหตุให้พอรู้ได้
อย่างแรกคือ จากการบอกเล่าของเด็ก
แม้ว่าเด็กที่ถูกทำร้าย ล่วงเกินทางเพศส่วนใหญ่จะไม่บอกให้พ่อแม่ผู้ปกครองรับทราบ แต่ถ้าเด็กเล่าให้ฟังในเรื่องที่ทำให้เชื่อมโยงได้ว่าถูกคุกคามทางเพศ พ่อแม่ผู้ปกครองควรรับฟังอย่างสงบ พยายามพูดคุยกับเจ้าตัวเล็กด้วยน้ำเสียงปกติ อย่าตะคอก หรือแสดงอารมณ์โกรธ โมโห เกรี้ยวกราดใดๆ
เนื่องจากการทำเช่นนั้น จะทำให้เด็กตกใจ กลัว และไม่กล้าเปิดเผยเรื่องราวใดๆอีก
ขณะเดียวกันพ่อแม่ผู้ปกครองต้องพยายามบอกให้เด็กรับรู้ว่า เชื่อในเรื่องราวที่เด็กเล่า และบอกเขาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดบาปของเขาเลย
ต่อมาคือ สังเกตจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเด็ก
เด็กที่ถูกล่วงเกินทางเพศในแต่ละรายจะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป บางคนอาจจะหวาดระแวงต่อความมืด ไม่อยากไปโรงเรียน มีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือปลีกตัวอยู่ในมุมมืด หรืออาจจะดูดนิ้ว ฝันร้ายและปัสสาวะรดที่นอนเป็นประจำ ฯลฯ
พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในลักษณะนี้ แม้ว่าความจริงแล้วอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับการถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่พ่อแม่ควรสนใจ หามูลเหตุแก้ไขทั้งสิ้น
และที่สำคัญคือพิจารณาจากสัญญาณทางร่างกาย
พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถสังเกตได้จากบาดแผล รอยช้ำ บวม บริเวณอวัยวะเพศ ก้น หรือปากของเด็ก อย่างไรก็ตามในกรณีนี้อาจจะมีเด็กอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกละเมิดทางเพศแล้วไม่พบบาดแผลใด
ครับ นี่เป็นเพียงจุดสังเกตเล็กๆน้อยเท่านั้นที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะพอทราบได้ว่าลูกหลานถูกคุกคาม ทำร้ายทางเพศหรือไม่
แต่ก่อนจะเกิดเหตุร้ายขึ้น เรามาร่วมกันให้ความรู้ ความเข้าใจเรื่องอาชญากรรมทางเพศแก่เจ้าตัวเล็กกันไม่ดีกว่าหรือครับ
จะได้ไม่ต้องหวังพึ่ง “นางฟ้า” หรือ “เทวดา” นักพีอาร์ใดๆมาช่วยแก้ไขปัญหาให้ในตอนจบ