xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 138 “เจ้าพายุเอยช่วยทีได้ไหม...ช่วยพาหัวใจที่มันปวดร้าว... !”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เช้าวันนี้…จิบกาแฟขมแล้ว ทานขนมที่น้องสาวส่งมาให้ เป็น cheese cake จากโรงแรมในกรุงเทพที่จัดเทศกาล “ชีสเค้ก” ขึ้น รสชาติของเขาไม่เลวเลยทีเดียว ผมเป็นคนที่ชอบทานเค้กชนิดนี้มาก เมื่อราวสามสิบปีก่อนนี้ในกรุงเทพที่อร่อยก็มีของโรงแรมเพรสซิเดนท์ ราชประสงค์ ยุคต้นๆ ที่มี coffee shop อยู่ติดถนนเพลินจิตร ตรงนั้นเป็นชัยภูมิที่ดี สำหรับการมองผู้คนเดินผ่านไปมา และฝั่งตรงข้ามก็มี Erawan Tea Room ของโรงแรมเอราวัณดั้งเดิม(ตอนนี้ทุบทิ้งไปแล้ว) ซึ่ง cheese cake อร่อยเยี่ยมเหมือนกัน

ปัจจุบันทั้งสองแห่งกลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว สำหรับเค้กโปรดของผมชนิดนี้ มาถึงยุคนี้ก็มีหลายโรงแรมที่ทำอร่อยพอๆกัน แต่ที่ผมชอบอีกแห่งหนึ่งเพราะเป็น cheese cake อันเล็กๆ ของร้าน Café de saint ตรงโชว์รูมรถเบนซ์ที่ถนนรามอินทรา ใกล้กองบินตำรวจ นั่นเขาทำชีสเค้กแบบนิวออร์ลีนส์ ซึ่งก็นุ่มอร่อย รสชาติดีมาก ซึ่งผมก็แวะไปรับประทานเสมอ อาหารของเขาก็เป็นสไตล์เมืองนิวออร์ลียนส์ บ้านเกิดของ หลุยส์ อาร์มสตรอง เพราะเจ้าของร้าน Café de saint เปิดร้านอาหารอยู่ที่เมืองนิวออร์ลีนส์มานานก่อนกลับมาอยู่ที่เมืองไทย เลยนำเอาวิธีการทำอาหารและสูตรของคนเมืองนี้กลับมาให้คนบ้านเราได้รับประทานกันด้วย

มีเรื่องที่จะต้องกราบเรียนกับท่านผู้อ่านว่า กาแฟขม...ขนมหวานตอนที่ ๑๐๕ “บอกหน่อยได้ไหมเอ่ย ท่านเคยเห็นพระเจ้าอยู่หัวครั้งแรกเมื่อไหร่” ซึ่งเป็นกาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่มีคนเข้าชมมากที่สุด นอกจากนั้นแล้วยังได้มีผู้ขออนุญาตนำไปพิมพ์เผยแพร่ทั้งในยุโรป และสหรัฐ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งอยากให้พิมพ์รวมเล่มขึ้น โดยขอให้ผมสัมภาษณ์บุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นที่เคารพยกย่องในวงการต่างๆเพิ่มเติมเข้าไปอีก ผมก็รับกับท่านว่าจะทำและได้ดำเนินการเรื่อยมา แต่เนื่องจากการนัดหมายท่านผู้ใหญ่ที่สูงอายุ ทำได้ไม่ง่าย จึงต้องทำแบบค่อยๆเป็นค่อยไป มีท่านผู้อ่านโพสเข้ามาถามว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ? บางท่านก็โทรมาหาผมโดยตรงเลยทีเดียว

จึงขอกราบเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบทั่วกันว่า ผมจะพยายามทำหนังสือ “บอกหน่อยได้ไหมเอ่ย ท่านเคยเห็นพระเจ้าอยู่หัวครั้งแรกเมื่อไหร่” ให้ดีที่สุด ที่สำคัญเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งผู้อ่านและประชาชนชาวไทยให้ความสนใจอย่างยิ่ง คงอีกไม่นานก็จะได้อ่านกัน

นอกจากนั้นผมกำลังคิดจะทำหนังสือรวบรวมเรื่องสั้น ที่เขียนไว้ตั้งแต่เมื่อยังเด็ก จนกระทั่งถึงปัจจุบัน รวมทั้งที่แยกเขียนลงบางเรื่องใน “กาแฟขม...ขนมหวาน”

ผมได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับพายุใน กาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๑๓๗“พระมหากรุณา ดับมหาวาตภัย (เรื่องจริงเหนือนิยาย ของ รศ.ดร.คุณหญิง อารมณ์ ฉนวนจิตร) ” แต่ความรู้สึกเรื่องพายุยังไม่ได้จางหายไป เพราะมีข่าววาตภัยเกิดขึ้นในตอนนี้อีกหลายประเทศด้วยกัน เช่นจีน และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ทำให้นึกถึงเรื่องน้ำป่า พายุ ที่ประสบด้วยตนเอง เคยเขียนเล่าไว้ให้ท่านผู้อ่านฟังว่า กำลังรับประทานอาหารกับเพื่อนที่ร้าน “เลอคอกดอร์” เก่า ที่ถนนห้วยแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ แล้วมีน้ำป่าทะลักจากดอยสุเทพเข้าท่วมร้านอันสวยงามและโรแมนติค พรวดเดียวถึงเอว ต้องช่วยเจ้าของร้านทำความสะอาดร้านกันจนเหนื่อย

นอกจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว ยังเจอพายุอย่างจังอีกครั้งหนึ่ง คือเมื่อเดินทางกลับจากการเรียนในหลักสูตร Senior Command Course หรือตรงกับภาษาไทยว่า หลักสูตรผู้บังคับการตำรวจ ที่ Maktab Polis de Raja หรือวิทยาลัยตำรวจแห่งพระราชาธิบดี (คำว่า Maktab แปลว่า College ) เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ ผมรับประกาศนียบัตรเสร็จ แต่งเครื่องแบบตำรวจไทยออกจากวิทยาลัย ซึ่งอยู่ที่ Kaula Kubu Bharu ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ประมาณ ๖๐ กม. ขับรถคนเดียวตามมาตามทางซึ่งฝนลงหนักที่สุดครั้งหนึ่งที่เคยเห็นมา จนมาถึงอลอร์สตาร์ เป็นเวลาดึกมากแล้ว ผมเข้าโรงแรมนอน -พอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็ขับรถเข้าหาดใหญ่ เช็คอินที่โรงแรมสุคนธา คืนนั้นฝนตกตลอดคืน

ตอนเช้ามองผ่านกระจกออกไปนอกโรงแรม เห็นน้ำจำนวนมากรายล้อมรอบเมือง ผมเกรงว่าน้ำจะท่วม เพราะจอดรถตรงใต้ถุนโรงแรมตัดสินใจไม่พักที่โรงแรมต่อ ทั้งๆที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปเยี่ยมกับนักเรียนวชิราวุธรุ่นพี่ชื่อ สุนทร นรรัตน์ (ยศสุดท้าย พล.ต.ต. อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสตูล) ตอนนั้นท่านเป็นผู้กำกับการสงขลา เขต ๒ หาดใหญ่ รีบเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม

ผมขับรถมาตลอดทางเห็นน้ำท่วมสองข้างทาง เริ่มมีน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎรที่อยู่พื้นที่ต่ำกว่าถนนให้เห็นมาเป็นระยะ เริ่มเห็นเศษท่อนไม้และสิ่งของลอยมากขึ้น บางแห่งเห็นราษฎรขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้าง ผมได้แต่จอดรถดูไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร

พอไปถึงที่สุราษฎร์ธานี ผมเห็น เจตนากร นะภีตะภัฏ (ยศขณะนี้ พล.ต.ต.ตำแหน่ง รอง ผบช.ภ.๙ ขณะนั้นเป็นสารวัตรใหญ่ สภ.อ.เมืองสุราษฎร์ธานี) อดีตหัวหน้าทีมชาติรักบี้ นักเรียนวชิราวุธรุ่นน้อง ยืนอำนวยความสะดวกการจราจรอยู่ น้ำท่วมมาเกือบจะถึงเข่าเขาแล้ว เขาเห็นผมเข้า จึงเดินมาชิดรถแล้วบอก

“พี่ครับ รีบออกนอกเมืองไปเลย น้ำท่วมเมืองแน่ครับ !"

ผมรีบเผ่นออกจากเมืองไปทันที ระหว่างทางผ่านไปทางอำเภอปะทิวฝนลงหนักมาก มองไม่เห็นทาง ผมต้องหักรถลงไปหลบฝนใต้สะพาน พอลงไปถึงก็มีรถหลบลงก่อนหน้าผมสองสามคัน แต่มีรถมอร์เตอร์ไซด์จอดอยู่นับสิบคัน และชาวบ้านอีกกลุ่มใหญ่ต่างก็หลบพายุเข้ามาอยู่รวมกัน

พอฝนเริ่มซาเม็ด ผมรีบขับตะบึงเข้าประจวบแล้วเช็คอินเข้าโรงแรมนอนตอนเช้าตื่นขึ้นมาเห็นคลื่นลูกใหญ่ ซัดเข้าตรงบริเวณเขื่อนกั้นเสียงดังสนั่น แต่ก็ไม่น่ากลัวเหมือนตอนขับรถออกจากหาดใหญ่

เมื่อถึงกรุงเทพแล้วจึงทราบข่าวว่า พายุฝนที่กระจายทั่วภาคใต้ครั้งนี้ทำความเสียหาย ให้กับ ต.กะทูน อ.พิปูน จว.นครศรีธรรมราช ทำให้ผู้คนเสียชีวิตมากมาย เพราะซุงมากมายนับเป็นพันท่อนที่กลุ่มนายทุนลักลอบตัดไว้ ไหลตามน้ำลงจากภูเขา ชาวบ้านนึกว่าฝนตกหนักแค่หลบฝนอยู่ในบ้านก็พอแล้ว แต่ก็ไม่พ้นซุงมรณะพุ่งเข้าชนบ้าน และผู้คนจนก่อให้เกิดโศกนาฎกรรมเหมือนอย่างที่เกิดในจังหวัดตากในปีนี้ ส่วน พล.ต.ต.สุนทร นรรัตน์ ที่ผมตั้งใจจะไปเยี่ยมภายหลังได้เจอกันท่านเล่าให้ฟังว่า

น้ำท่วมบ้านพักของท่านรวดเร็วมากจนน้ำท่วมเกือบมิดหลังคารถ ท่านต้องว่ายน้ำเข้าบ้าน เพื่อไปพาลูกของท่านออกจากบ้านพัก โดยต้องว่ายน้ำแบบกมือเดียว อีกข้างกอดลูกไว้ ขนาดพล.ต.ต.สุนทรฯ เป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง เป็นนักรักบี้ระดับดารา ยังต้องอาศัยไม้ที่ลอยมาบางครั้งเกาะพยุงตัวเอง กว่าจะพาลูกไปที่ปลอดภัยได้ท่านบอกว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวลืมไม่ได้เลย และรถที่จอดไว้ที่บ้านเสียหายต้องซ่อมหมดไปหลายหมื่นบาท ทำให้ผมคิดว่าตัดสินใจถูกแล้วที่ออกจากเมืองมาก่อน เพราะไม่อย่างนั้นรถของผมคงเสียหายหนัก เพราะจอดอยู่ชั้นใต้ดินของโรงแรมสุคนธาในวันนั้น ขนาดรถของ พล.ต.ต.สุนทร นรรัตน์ จอดอยู่ตรงถนนหน้าบ้านพักแท้ๆ ยังเสียหายมากขนาดนั้น ของผมอยู่ใต้ดินคงสาหัสแน่

เรื่องการลักตัดไม้ทำลายป่า เป็นเรื่องที่ทำลายชาติอย่างร้ายแรง หากมีโอกาสเห็นจะต้องเขียนให้ท่านผู้อ่านได้ทราบเหตุผลที่ทางการต้องตั้งหน่วยตำรวจป่าไม้ขึ้นมาดูแล ตอนนี้ก็แผ่ขยายหน้าที่ให้ครอบคลุมไปถึงทรัพยากรอื่นๆด้วย

อย่างไรก็ตามผมยังมองในแง่ดีว่า หลังพายุร้ายแล้วท้องฟ้าจะแจ่มใส และบางทีพายุร้ายอาจพัดพาเอา สิ่งชั่วร้าย เหตุการณ์ไม่สงบจนถือได้ว่าเป็น “สถานการณ์วิกฤติ” สังเวยด้วยชีวิตของเจ้าหน้าที่เราทุกวี่ทุกวัน ให้พ้นออกไปจากประเทศไทย จนความสงบกลับมาสู่แผ่นดินมาตุภูมิอันเป็นที่รักของเราทุกคนอย่างที่ฝรั่งเขาว่า Every cloud has a silver lining

หากเป็นชีวิตของคนเรา แม้จะชอกช้ำระกำใจเท่าไร ก็อาจกลายหายทุกข์ได้สักวัน โดยให้เวลาเป็นเครื่องรักษาใจ ชวนให้นึกถึงเพลงของวง SAS หรือ Soul After Six เพลงหนึ่งชื่อ "เจ้าพายุ" วงนี้เป็น เจ้าของเพลง "ก้อนหินละเมอ" ที่ได้ฉายาว่าเป็นเพลงชาติประจำ Pub คือไปผับไหนในประเทศก็ต้องเล่นเพลงนี้กันทุกคืนไป (ดู กาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๑๓๒ “ก้อนหินละเมอ…ถึงLiverfool(ish) ) เพลง“เจ้าพายุ” ที่ “ปึ่ง”สมาชิกในวงแต่งทั้งเนื้อร้อง และทำนอง ตลอดจนเรียบเรียงเสียงประสาน เนื้อเพลงเขาบอกว่า

“เจ้าพายุเอยช่วยทีได้ไหม ช่วยพาหัวใจที่มันปวดร้าว
ไปทิ้งให้ไกลห่าง พร้อมด้วยความเศร้า...ความเหงา วานให้ลมช่วยโยนทิ้งไป...
เจ้าพายุเอยเจ้าเคยเจ็บไหม เมื่อเขาทิ้งไปให้เจ้าอ้างว้าง...
เหมือนฉันที่ทนเจ็บ เมื่อสูญสิ้นบางอย่าง...
หมดหวังนอนกี่คืนก็มีน้ำตา หลับตาก็ยังไหล...
จึงอ้อนวอนเจ้าพายุให้โหมกระหน่ำ...หอบพาเอาความเจ็บช้ำให้มันพ้นไป...
ก็ความทรงจำที่เคยมีรักช่างโหดร้าย...ไม่อยากจะเก็บเอาไว้ข้างในหัวใจอีกเลย
วอนให้ลมช่วยพาไปที.....”


เหมือนกับคนเราที่ผิดหวังในความรัก จึงอยากอ้อนวอนให้เจ้าพายุ เข้ามาช่วยพัดเป่าความเสียใจ ความผิดหวัง ที่ได้รับจากความรักนั้น ให้พ้นจากไปเสียที ดูเนื้อแล้วหาอาจจะเศร้าสร้อย แต่เขาทำดนตรีช่วยให้เพลงนี้ออกมาแนวโซลกึ่ง acid jazz และอัลบัมนี้ชื่อ The Rhythm ที่ได้รับถึงรางวัลของ “สีสันอวอร์ด” ปี ๑๙๙๖

Season Award เป็นรางวัลที่วงการเพลงเมืองไทยเขายกย่อง เป็นรางวัลที่มีค่ามากสำหรับนักดนตรี Soul After Six ถึงสามรางวัลในปี ๑๙๙๖ ด้วยกัน ก่อนหน้านั้นก็เคยได้มาก่อนถึงห้ารางวัลสำหรับอัลบัมแรก

ผมฟังเพลง"เจ้าพายุ" นี้ดูแล้วก็เห็นเป็นความจริง เลยเกิดความรู้สึกอยากเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับพายุ เพิ่มเอาไว้ในหนังสือรวมเรื่องสั้นของผม ซึ่งจะรวมเรื่องสั้นที่เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ต่างๆ เช่น “สยามรัฐ” และ “มติชน” รายสัปดาห์ รวมทั้งเรื่องที่เขียนลงหนังสือพิมพ์อื่นตั้งแต่เด็กด้วย

เขียนเสร็จแล้ว จึงนำมาให้ท่านผู้อ่าน “กาแฟขม..ขนมหวาน” ได้อ่านก่อนพิมพ์รวมเล่ม ผมให้ชื่อเรื่องสั้นนี้ว่า “เจ้าพายุเอย” ลองอ่านดูครับชอบหรือไม่อย่างไรบอกด้วยครับ

“เจ้าพายุเอย”
โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


นายตำรวจหนุ่มผู้มีหน้าที่ควบคุมการจราจร มองดูร่างหญิงรูปร่างสูงสง่า แต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดพนักงานธนาคาร ดวงหน้ารูปไข่ ปากจิ้มลิ้ม วางเรียงกับจมูกโด่งงาม สอดรับกับดวงตาคมกริบใต้คิ้วเข้มยาวที่กันเอาไว้ได้รูป แต่แลอ่อนโยนและอบอุ่น เธอเดินอ้อมหน้ารถญี่ปุ่นขนาดเล็ก ลงไปเปิดประตูให้เด็กนักเรียนอนุบาล สวมกระโปรงสีแดง หน้าตาหน้าเอ็นดู
พอเธอเงยหน้าขึ้น ก็มองข้ามถนนสายตาทอดข้ามฝั่งมาสบตากับเขาพอดี เผยอรอยยิ้มให้เขาน้อยๆ
ณ วินาทีนั้นเอง นายตำรวจหนุ่มเหมือนโลกทั้งหมดหยุดหมุน นิ่งสงบ

เขาจำเหตุการณ์ได้ว่าเมื่อวันพายุเกย์พัดเข้าที่ชุมพร ซึ่งเขาเคยรับราชการอยู่ที่นั่น ก่อนพายุจะเข้าท้องฟ้านิ่งสงบ แล้วฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองอยู่นานพอควร ซึ่งภายหลังเขาทราบจากขาวบ้านว่าปรากฏการอย่างนี้เรียกว่า ‘อุกาฟ้าเหลือง ก่อนที่เสียงกรีดร้องของพายุจะดังกึกก้องต้นมะพร้าวที่บิดเป็นเกลียว หลุดผลัวะออกจากรากที่ยึดจากพื้นดิน แล้วพายุก็โหมกระหน่ำรุนแรงพร้อมสายฝน
เขายังจำความหวาดกลัวของผู้คนในวันนั้นได้ดี รวมทั้งความสับสนอลหม่าน พร้อมกับความวิปโยคที่ติดตามมา

นาทีที่สบตากับเธอ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนดังหัวใจของตัวเป็นต้นมะพร้าว ที่บิดเป็นเกลียว และถูกมหาพายุกระชากถอนจากดินที่ยึดอยู่ ในวันมหาพายุอันน่าสะพรึงกลัวนั้น สายตาคู่นั้นเด็ดเอาหัวใจของเขาปลิวกระเด็นติดไปด้วย
นายตำรวจหนุ่มเดินข้ามถนน ตรงไปที่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาลอย่างงงงวยเหมืนไม่ใช่ตัวของตน คุณครูออกมารับจับแขนเด็กจากหญิงคนที่ทึ้งหัวใจเขาไปด้วย แต่ความสำนึกของเขาก็กลับคืนมา เมื่อได้ยินเสียงอ่อนหวานของเธอ ซึ่งก้มลงจูบผมเด็กเบาๆ แล้วพูดว่า
"สาธุคุณครูซี่ลูก อย่าซนนะคะ"

เขารู้สึกเหมือนใจหายวาบ ความรู้สึกกลับมาอีกครั้ง ความสำนึกในหน้าที่ คุณงามความดี ความถูกต้อง เข้าครอบครองตนเองเหมือนเดิม แม้ใจยังสั่นระริก เขาคิดถึงศีลห้าที่พ่อซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน และ
มัคทายกคนสำคัญของวัดในอำเภอเล็กๆจังหวัดบ้านเกิดพร่ำสอน
เธอเดินกลับไปที่รถ ทิ้งยิ้มน้อยๆไว้ก่อนขึ้นรถขับออกไป
เขากลับไปขึ้นรถมอร์เตอร์ไซค์ขี่กลับโรงพัก...ใจยังไม่หายสั่น

วันรุ่งขึ้นเขาขี่รถคันเดิมผ่านหน้าโรงเรียนอนุบาลอีก และหยุดไม่ลงจากมอร์เตอร์ไซด์ เมื่อเธอขับรถมาถึง ชายหนุ่มพยายามเบือนหน้าไปทางอื่น แต่เขาลอบเห็นเธอมองข้ามถนนมาเหมือนเดิมและยิ้มให้
เขาเมิน แล้วขี่รถจากไป
ทำใจที่จะไม่ให้ขี่รถไปที่โรงเรียนอนุบาลหลายวัน แต่เช้าวันหนึ่งสียงกลองแห่งความถวิลหารัวอึงคนึงในหัวใจ ทำให้เขาขับรถกลับไปหน้าโรงเรียนอนุบาลอีก
คอยอยู่นานไม่เห็นรถญี่ปุ่นคันเดิม แต่กลับเห็นเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่มากับเธอ นั่งรถแท๊กซี่มาพร้อมกับหญิงสูงอายุ ท่าทางของเธอคล้ายเป็นคนเลี้ยงเด็ก เขาอดสงสัยไม่ได้เดินตรงเข้าไปหาเด็ก พูดขึ้นกึ่งถามเด็กและผู้มาส่ง
"คุณแม่ไม่มาส่งหรือครับวันนี้ ?"
เด็กน้อยยิ้ม นัยน์ตาแป๋ว ท่าทางงงๆ คนมาด้วยตอบแทน
"ไม่ใช่คุณแม่หรอกนะคะ เธอเป็นคุณน้าค่ะ วันนี้คุณน้ามาส่งไม่ได้ค่ะ เธอต้องไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยตอนเช้า เพราะบ่ายต้องรับพระราชทานปริญญาค่ะ ”

เสี้ยววินาทีนั้นเอง เหมือนหัวใจของเขาพองโต ชายหนุ่มย้อนระลึกไปถึงไปถึงความปิติยินดี ที่ได้เห็นวาตภัยที่ชุมพรสงบลง
ท้องฟ้าสดใส เป็นประกายเจิดจรัสหลังพายุร้าย

…………………………….

กำลังโหลดความคิดเห็น