xs
xsm
sm
md
lg

แชร์บ้าน ... เรื่องวุ่นๆ (1)

เผยแพร่:   โดย: นินจา ราตรี

เชื่อว่าคุณๆที่อยู่ในแดนจิงโจ้คงต้องมีประสบการณ์แชร์บ้านร่วมกับคนอื่นมาบ้าง

วันนี้ กระผมขอนำประสบการณ์โหด มัน ฮา ของเหล่าผองเพื่อนในการแชร์บ้านหลากหลายรูปแบบมาเล่าให้ฟังกัน

ว่าไปแล้ว การแชร์บ้านหรืออยู่อาศัยร่วมกับคนอื่นมันเป็นศิลปะอย่างหนึ่งนะครับ เราต้องเรียนรู้ ปรับตัวอยู่ร่วมกับคนอื่น หรือยอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกัน

พูดแล้ว ฟังดูง่ายดีนะครับ แต่เวลาทำจริง โหย...ทำไมมันยากนักไม่รู้

คิดดูสิครับ คนเราอยู่ร่วมบ้านกัน อ้อ...บางคนอยู่ร่วมห้องนอนกันเสียด้วยซ้ำ ต้องเห็นหน้าอยู่ทุกวัน ต้องทนกับนิสัย พฤติกรรมประจำตัวของแต่ละคนซึ่งมาจากร้อยพ่อพันแม่

แน่นอนครับ บางนิสัย บางพฤติกรรมของเพื่อนอาจทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดจนถึงขั้นโกรธ และพาลเกลียดได้ในที่สุด

จากที่เคยเป็นเพื่อนซี้สนิทสนม ก็อาจกลายเป็นอยากจะฆ่ากันเสียให้ซี้ก็ได้

เอาละครับ พูดถึงการแชร์บ้านในถิ่นดาวน์อันเดอร์ มันมีทั้งแบบแชร์บ้านกับคนชาติเดียวกัน กับแชร์บ้านกับคนต่างชาติ

ทั้งสองประเภทล้วนมีเรื่องให้ต้องปรับตัวกันทั้งนั้นละครับ ไม่ใช่ว่าอยู่กับคนไทยด้วยกัน พูดภาษาเดียวกันแล้วจะเข้าใจกันได้ง่ายกว่า บางทีกลับจะยากกว่าก็มี

แต่อาทิตย์นี้ขอพูดถึงการแชร์บ้านกับชาวต่างชาติ ต่างวัฒนธรรม ต่างภาษากันก่อนนะครับ

มาเริ่มกันที่กรณีของแอม สาวน้อยผู้เพิ่งจะสลัดชุดนักศึกษาได้ไม่ถึงปี ก็ตัดสินใจบินปร๋อมาออสเตรเลีย หวังเรียนรู้ ฝึกฝนด้านภาษา

แอมอยู่กับโฮมสเตย์ได้เดือนเศษ ก่อนที่เพื่อนร่วมห้องเรียนภาษาชาวเกาหลีจะชวนให้ย้ายมาแชร์ห้องอยู่ด้วยกัน เธอดีใจ คิดว่าจะได้ฝึกภาษาไปในตัว เพราะถ้าแชร์บ้านอยู่กับเพื่อนคนไทยแล้วคงไม่แคล้วจะต้องพูดภาษาไทยกันมันส์ปากทุกวันแน่

ตอนแรกยังอยู่ในช่วงฮันนีมูน ทั้งสองฝ่ายต่างพยายาม “สปีกอิงลิช” กันจนเหนื่อย แต่ตอนหลังสิครับเจ้ารูมเมตทั้งสองของเธอเอาแต่จ้อกันเป็นภาษาถิ่นชาติอารีดังตลอด ไม่สนใจแอมเลย

อันนี้เธอบอกว่า ทนได้ ไม่คุย ไม่เป็นไร แต่ที่ทนไม่ได้คือ กลิ่นกิมจิ

โดยเฉพาะกลิ่นกิมจิในตู้เย็น มันส่งกลิ่นอบอวลไปทั่ว ทะลุทะลวงเข้าไปอยู่ในทุกที่แม้กระทั่งน้ำดื่มในตู้เย็น

จะว่าไปคงเหมือนกลิ่นทุเรียนของบ้านเรานั่นแหละครับ ถ้าทุเรียนที่แกะแล้วนำไปแช่ตู้เย็นโดยไม่แพ็กให้สนิท กลิ่นของทุเรียนจะติดเต็มตู้เย็นทุกครั้งที่เปิดออก

แอมเคยบอกกับรูมเมตเกาหลีเป็นเชิงอ้อมๆว่า ขอให้ปิดฝาหรือหาถุงพลาสติกหลายๆชั้นมาห่อเพื่อป้องกันกลิ่น แต่สาวชาวโสมกลับบอกว่า ไม่ได้กลิ่นที่ว่าเลย

เมื่อเมินเฉยต่อการร้องขอ วันรุ่งขึ้นแอมทอดปลาเค็ม ตำน้ำพริกกะปิ สุดยอดอาหารแดนสยามเป็นการเอาคืน กลิ่นงี้อบอวลกลบไปทั่วห้อง

เท่านั้นแหละครับ บ้านแตก แยกย้ายไปแบบไม่มองหน้ากันเลย

ใครจะคิดละครับว่า เรื่องเล็กๆอย่างเรื่องอาหารจะทำให้เกิดศึกวิวาทได้ขนาดนี้

นินจา ราตรี เลยขอแนะว่า หากใครอยากจะแชร์บ้านกับคนต่างชาติ อย่างน้อยเรียนรู้สักนิดถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างกันก็ดี ดูว่าคุณจะทนความแตกต่างได้ไหม แม้แต่เรื่องของอาหาร

ประเภทคุณไม่กินเนื้อ เหม็นสาบเนื้อแกะ แต่มาแชร์บ้านร่วมกับพวกนิยมกินแกะ กินเนื้อ กลิ่นอาหารที่ฟุ้งกระจายทั่วห้อง ทั่วบ้าน ก่อศึกเช่นกรณีของแอมมานักต่อนักแล้วละครับ

รายต่อไปคือ กรณีของตั้ม
ตั้ม กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยในเทอมหน้า เลยอยากแชร์บ้านกับชาวต่างชาติเพื่อฝึกภาษา แต่เจ้าตั้มเขาขอเน้นว่า รูมเมตต้องเป็นชาวออสซี่หรือฝรั่งที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่เท่านั้น เหตุผลน่ะหรือครับ

“ข้าอยากพูดอังกฤษกับเจ้าของภาษาโดยตรงโว้ย ไอ้จะไปแชร์บ้านอยู่กับคนเอเชียด้วยกัน ภาษาที่ได้มันเพี้ยนแบบคนเอเชียแหละ อีกอย่างข้าจะได้ให้เขาช่วยตรวจแกรมม่าเวลาทำรายงานให้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเข้าคิวตรวจที่มหาวิทยาลัย”

หวังสูงครับ หวังสูง อย่างว่าแหละครับ น้อยนักที่ฝรั่งตาน้ำข้าวจะอยากแชร์บ้านอยู่กับคนเอเซีย ยกเว้นว่ามันเป็นพวกที่บ้าวัฒนธรรมเอเซีย หรืออยากฟันชาวเอเชีย เพราะการสื่อสารและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

ตั้มเที่ยวตระเวนดูแผ่นประกาศที่ติดตามบอร์ดมหาวิทยาลัย และโทรไปนัดเพื่อขอดูบ้าน เป็นสิบหลังครับที่มันไป แต่เมื่อไปถึง คุยกับเจ้าของบ้านกี่รายๆ เขาบอกว่าจะติดต่อกลับไป แต่ไม่เคยมีใครติดต่อกลับมาเสียที ตั้มยังไม่ละความพยายาม

จนกระทั่งเจอฝรั่งรายหนึ่งบอกตรงๆ ว่า เขาอยากจะหาคนแชร์บ้านที่ “easy going” และคุยภาษาเดียวกันเข้าใจ

จบครับ หลังจากนั้น ตั้มไม่เคยคิดจะหาแชร์บ้านกับฝรั่งอีกเลย ตอนนี้น่ะเหรอครับ ตั้มแชร์บ้านอยู่กับคนอินโดฯ และคนจีนที่มันเคยตั้งข้อรังเกียจว่าแอ๊กเซ่นต์ไม่ดีนั่นแหละครับ

รายสุดท้ายยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เมื่อ ต้อย ไปแชร์บ้านอยู่กับชาวต่างชาติ คราวนี้เป็นคู่ สามีภรรยา

อาทิตย์แรกผ่านไปอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ต้อยตื่นเช้าไปเรียนแล้วขลุกอยู่ในห้องสมุด กลับมาถึงบ้านมืดค่ำ วันหนึ่งเมื่อกลับมาบ้านเห็นคู่สามีภรรยานั่งหน้าตูบอยู่ที่โต๊ะทานข้าว

ด้วยความเหนื่อยอ่อนจึงไม่ได้สนใจ อาบน้ำอาบท่าเสร็จเตรียมตัวปิดไฟเข้านอน ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงทะเลาะกันจากห้องนั่งเล่น จากเสียงเบา เริ่มดังขึ้นๆ และกลายเป็นตะโกน ตามด้วยเสียงผัวะๆ เป็นระยะ

ต้อยถึงกับนอนตัวสั่นด้วยความกลัวว่าจะต้องไปขึ้นศาลเป็นพยานคดีฆ่ากันตาย เสียงทะเลาะและตบดีดังอยู่ประมาณชั่วโมงเศษจึงเงียบสงบลง

เหตุการณ์แบบนี้ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ประมาณสัปดาห์ละครั้งถึงสองครั้ง จนต้อยเริ่มประสาทเสีย ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือตอนกลางคืน เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ทั้งสองจะต้องมาใช้เวทีห้องนั่งเล่นแทนที่จะเป็นห้องนอนด้วย

“ทนเอาหน่อยก็แล้วกัน ยังไงก็ใกล้ยูฯ มันคงไม่ถึงกับฆ่ากันตายหรอก อย่างมากคงแค่ตบตีเลือดอาบเข้าโรงพยาบาลเท่านั้น”

ต้อยกัดฟันคิดเช่นนี้มาตลอดทุกครั้งที่มีการทะเลาะกัน จนมาถึงวันหนึ่งขณะที่เธอกำลังจะเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว ทันใดนั้นสายตาก็ไปปะทะเข้ากับขนจำนวนมากที่ตกเรี่ยราดอยู่บนที่รองนั่งชักโครก หลังจากใช้สายตาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จึงมั่นใจว่าเป็นขนส่วนบนไม่ใช่ส่วนล่าง

ขนจักแร้ของรูมเมตโกนเอาไว้น่ะสิครับท่าน แล้วดันไม่กวาดเก็บเช็ดให้หมด

แต่ทำไงได้ ด้วยความปวดท้องสุดทน เธอจำต้องทำความสะอาดขนส่วนนั้น ก่อนจะนั่งลงทำธุระส่วนตัว

นี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายทำให้เธอรู้สึกว่าอยู่ไม่ไหวเสียแล้ว

เมื่อเธอบอกขอย้ายออกพร้อมขอเงินมัดจำคืน เจ้าของบ้านแสดงธาตุแท้ออกมาด้วยการบอกว่า ต้องรอบิลค่าไฟออกมาก่อน ต้อยแย้งว่าค่าบ้านที่จ่ายนั้นรวมค่าไฟด้วยแล้วนี่

แต่คำตอบที่ได้ทำเอาเธอถึงกับอึ้ง

“ฉันต้องคิดเงินยูเพิ่ม เพราะยูอาบน้ำวันละสองครั้ง มันเปลืองไฟ”

ครับ ที่เล่าประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้มาไม่ได้หมายความว่าชาวต่างชาติทุกคนเป็นแบบนี้นะครับ

ทุกชาติ ทุกวัฒนธรรม ล้วนมีความแตกต่าง

สำคัญคือ ถ้าคุณอยากจะอยู่แชร์บ้านกับเขา

คุณกล้าหรือพร้อมไหมที่จะเรียนรู้ ศึกษา แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แลกเปลี่ยนความแตกต่างซึ่งกันและกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น