เช้าวันนี้…ผมลุกขึ้นมาตั้งแต่ตีสามครึ่ง ออกกำลังกายเงียบๆอยู่คนเดียว ไม่ได้จิบกาแฟขมและขนมหวานของโปรดเหมือนเคย เพราะต้องไปเจาะเลือด จึงงดน้ำและอาหารมาตั้งแต่สองทุ่ม พอถึงตอนตีสี่ครึ่ง ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอนดังรัวสนั่น จนต้องรีไปปิดเอาใจมัน
ผมเป็นคนที่ใช้นาฬิกาปลุกน้อยครั้งมาก จะใช้ก็ต่อเมื่อไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ เพราะผมตื่นนอนตรงเวลาเสมอ นาฬิกาปลุกจึงไม่มีความจำเป็นสำหรับผม คล้ายกับว่าตัวเองมีนาฬิกาธรรมชาติอยู่ในตัว ที่เขาเรียกกันว่า biological clock อยู่ในตัวเอง เคยพูดเรื่องนาฬิกาชนิดนี้ไว้แล้ว ผมเองคงเหมือนนกนางแอ่นที่หนีหนาวมาจากเมืองจีน ถึงเวลาก็ต้องบินไปเกาะสายไฟฟ้าที่พัฒน์พงษ์ สีลม ตอนนี้ย้ายถิ่นไปเยาวราชกับถนนพระราม ๔ แทนแล้ว หรืออาจเหมือนตัวสงกรานต์ที่ธรรมดาไม่รู้อยู่ไหน ถึงปีใหม่ไทยโผล่ออกมาให้เห็นเต็มแม่น้ำอย่างนั้นเลย
ผมอยากกราบเรียนท่านผู้อ่านให้ทราบว่า หากท่านติดตามอ่านคอลัมน์นี้มาตั้งแต่ตอนแรกคือสองปีเศษที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าผมสนับสนุนรัฐบาลนี้มาโดยตลอด เพราะเห็นว่าเรื่องใดที่รัฐบาลทำดีเช่นราคาข้าวเพื่อพี่น้องชาวไร่ชาวนา ก็เอามาบอกกล่าวกัน เพราะผมเดินทางไปทั่วประเทศสม่ำเสมอ โครงการอย่างสามสิบบาทรักษาทุกโรคนี่ก็ดีก็ชมกันไว้ หรือเมื่อพบเห็นเหตุที่น่าจะเป็นปัญหา เช่น เรื่องการโกงนมเด็กผมก็เอามาบอกกล่าวก่อนที่จะมีเรื่องนานนับเดือน ก่อนเรื่องจะแตกออกมา แต่ที่ผมรับไม่ได้เลยคือความคิดในเรื่องการตั้งคาสิโน ในรูปของเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แต่สำหรับเรื่องหวยบนดินนั้น หากท่านอ่านบทความกาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๔ จากฝูงสัตว์ฝูงคนถึง สิ้นคิดคอมเพล็กซ์ ท่านจะเห็นว่า ผมสนับสนุนเสียด้วยซ้ำไป เพราะรัฐบาลเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้เอง พอเป็นรูทางออกสำหรับตอบสนองความอยากเล่นการพนันของประชาชน แต่ไม่ใช่ลักษณะคาสิโนซึ่งผมยอมไม่ได้ ต้องคัดค้านว่ากล่าวอย่างเต็มกำลัง
อีกเรื่องหนึ่งที่ทนไม่ได้ คือเหตุการณ์การก่อความไม่สงบในภาคใต้นั่นเอง
หลังจากเหตุการณ์วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๗ ที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ออกมาพูดในทำนองว่า เหตุการณ์ในมัสยิดกรือเซะ ปัตตานี เสมือนเป็น wake up call สำหรับคนในประเทศไทย
ผมฟังแล้วบอกตรงๆว่าเกิดอาการ “คลื่นเหียน-วิงเวียน” ขึ้นมาทันที
ผู้คนในรัฐบาลนี้ ช่างสรรหาถ้อยคำ ภาษา มาเอื้อนเอ่ยกับประชาชน บางครั้งก็นำขี้ปากฝรั่งมาใช้ ผิดๆถูกๆ ใช้ภาษาอังกฤษแตกๆหักๆ บางทีนำมาใช้แล้ว บางเรื่องก็กลับเป็นผลร้ายกับประเทศชาติ เหมือนกันเรื่อง “สถาปนาความมั่นคง” ที่ผมสวนเอาแรงๆ ว่า “Re-establishment” ใน “กาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๒ ใส่บาตข้าวเหนียวที่หลวงพระบางของ จักรภพ เพ็ญแข ถึงการบินไทย” หมายความว่าอย่างไร หากท่านผู้อ่านสนใจลองเปิดดู เพราะผมวิจารณ์แบบสาดเสียเทเสียไปเลยในตอนนั้น ด้วยความรู้สึกขัดเคืองเป็นกำลัง และกาแฟขมตอนดังกล่าว ก็มีผู้อ่านเข้ามาดูกันจำนวนไม่น้อยทีเดียว
to wake up นั้นเป็นการ “ปลุก” โดยตัวเอง ให้คนมาปลุก หรือ ใช้เครื่องยนต์กลไกมาช่วย ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาปลุก หรือวิทยุตั้งเวลาปลุก หลายรูปแบบสุดแท้แต่จะชอบกัน
คนที่นอนหลับคุดคู้ ต้องให้คนอื่นมา “ปลุก” เป็นประจำ ไม่ขี้เซา ก็ขี้เกียจ หรืออาจเป็นคนที่ตั้งอยู่ในความประมาท ไม่ใช่ “ผู้รู้…ผู้ตื่น…ผู้เบิกบาน” อย่างพุทธะ
wake up call ที่รองนายกคนนี้พูด หมายถึงการสั่งให้ “ปลุก” เมื่อเราเดินทางไปพักโรงแรมต่างจังหวัด หรืออยู่บ้านนอนดึก ภริยาออกไปส่งลูกโรงเรียนแล้ว กลัวว่าตัวเองยังไม่ตื่นก็สั่งเธอให้โทรมาปลุกคุณสามีเมื่อขับรถไปถึงโรงเรียนลูกแล้ว อย่างนี้เรียกว่า wake up call การใช้จึงต่างกันกับ เพราะ to wake up คำหลังนี้อาจถูกปลุกโดยความไม่เต็มใจ ตื่นขึ้นมาอาจพบเหตุร้ายที่ตระหนกตกใจด้วย
ตรงนี้อยากเตือนความจำคนไทยทุกคนว่า เมื่อตอนที่รองนายกคนนี้เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารบ้านเมือง ผู้คนในบ้านเมืองนอนหลับอยู่ดีๆ เหมือนโดน wake up ด้วยฝีมือการบริหารบ้านเมืองของแก ด้วยการกระชากลงจากเตียง หัวโขกกระดานโนปูด เพราะการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทไม่รู้ตัวของรัฐบาลตัวดี
ยัง…ยัง…เท่านั้นไม่พอ !
ประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ยังงัวเงียยกมือกุมหัวกบาล กลับรู้สึกเหมือนถูกถีบซ้ำ กระเด็นลอดคอห่าน ตกลงไปในบ่อเกรอะ คนทั้งประเทศจมอยู่ในความทุกข์หลายปี กว่าจะคลานขึ้นมาจาก “บ่อขี้” ก็เพราะฝีมือบริหารชาติบ้านเมืองของพ่อคนนี้แท้ๆ จากนั้นคุณหวานเจื้อยคนนี้ก็หายแซบ หายสอย ไปอยู่ระยะหนึ่ง กลับมาบริหารชาติบ้านเมืองใหม่ โดยลดฐานะเดิมลงมา คราวนี้มาในตำแหน่งรองนายกฝ่ายความมั่นคง ส่วนประชาชนรู้สึกมั่นคงหรือสั่นคลอนจนเป็นตุ๊กตาเสียกบาลหรืออย่างไรนั้น ก็ขอให้ท่านผู้อ่านลองคิดกันดูเอาเองก็แล้วกัน
การที่ประชาชนต้องถูกปลุกมาด้วยความตื่นตระหนก เพราะเหตุการณ์ความพินาศทางเศรษฐกิจก็ดี หรือแม้แต่เหตุร้ายที่ ๓ จังหวัด หรือเหตุปะทะกันมัสยิดกรือเซะ นั้นไม่ใช่เพราะประชาชนนอนหลับอุดตุอย่างไม่สนใจใยดีในเหตุการณ์บ้านเมือง
หากแต่ผู้ที่นอนหลับคุดคู้ ต้องให้คนอื่นมา “ปลุก” เป็นประจำ น่าจะเป็นรัฐบาลที่ขี้เซา หรือไม่ก็ขี้เกียจ ตั้งอยู่ในความประมาท จนเกิดเหตุการณ์อันไม่เคยเกิดขึ้นมาในพระราชอาณาจักร ตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ของพระบรมราชวงศ์จักรี คือค่ายทหารของชาติถูกบุกปล้นอย่างอุกอาจ ทหารถูกฆ่าฟันล้มตายลงอย่างโหดร้ายเหี้ยมเกรียมและทารุณ
ตรงนี้สรุปได้หรือไม่ว่า เป็นเพราะรัฐบาลที่ขาดประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน ในด้านการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนในชาตินั่นเอง !
การที่ไร้ฝีมือปล่อยให้เกิดภาวะใกล้สงครามเกิดขึ้นได้ แม้จะเป็นเพียงบางส่วนของประเทศปราศจากการระวังป้องกันที่ดี หากจะให้วิจารณ์กันอย่างตรงไปตรงมาที่สุด ก็ขอให้กลับไปดูข้อเขียนของผม “กาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๒ ใส่บาตรข้าวเหนียวที่หลวงพระบางของ จักรภพ เพ็ญแข ถึงการบินไทย”
ซึ่งผมเขียนเอาไว้ว่า
“……..แต่ก็ต้องมีผู้คอยย้ำเตือนใจผู้คน ให้จดจำกันว่า
เหตุการณ์นี้เกิดในยุครัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งบันทึกของนักเขียนรุ่นหลังอาจสื่อให้คนรุ่นต่อๆไป ได้รับรู้เรื่องราว “วันมหาอัปยศ” ของชาติได้อย่างละเอียดละออ เพื่อให้ทราบถึงการบริหารราชการแผ่นดินที่บกพร่องอย่างใหญ่หลวงของรัฐบาลชุดนี้ ในด้านการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของราษฎร นำพาให้ดินแดงบางส่วนของพระราชอาณาจัก เข้าไปตกอยู่ในความอึมครึม วังเวง หวดระแวง และเป็นอันตรายยิ่ง !
หรือใครจะเถียงว่าไม่จริง ? บอกผมหน่อย….”
มาจนถึงวันนี้ เหตุการณ์ที่สืบเนื่องมาจากวันมหาอัปยศ ก็ยังดำรงอยู่ไม่ได้หายไปไหน ยังคงเขย่าขวัญพี่น้องเพื่อนร่วมชาติต่อไป ไม่หยุดหย่อน !
ดังนั้น อย่ามาคุยให้เหม็นปากเหม็นคอ สรรเสริญรัฐบาลนี้ได้บริหารราชการแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพสูง จนตำหนิติดเตียนกันไม่ได้
แม้รัฐบาลจะคุยโอ้อวดผลงานทางด้านเศรษฐกิจอย่างไรก็ตาม แต่มาถึงเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ก็หงายผลึ่ง !!
ฉะนั้น ได้โปรดอย่าออกมาทวงบุญคุณกับผู้คนในชาติ เรื่องความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ซึ่งกลายเป็นเรื่องเล็กไปเมื่อเทียบกับความสงบเรียบร้อยของแผ่นดิน ผมคิดว่าข้อความจากคอลัมน์คุณ “เซี่ยงเส้าหลง” เมื่อสัปดาห์ก่อนคงจะทำให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพชัดเจน เพราะคุณเซี่ยงเส้าหลงเขียนเอาไว้ว่า
“สิ่งที่เมื่อ 2 วันก่อนได้ฟัง พระครูประภัสสรศิริคุณ – เจ้าอาวาสวัดเขากง นราธิวาส (ซึ่งขณะนี้เป็น พระสงฆ์เพียงรูปเดียว ที่อยู่ที่ วัดเขากง) เสนอแนะวิธีการแก้ปัญหาใน สภาท่าพระอาทิตย์ ออกอากาศทาง UBC 19 (ใน ระบบเคเบิล) และ UBC 77 (ใน ระบบดาว เทียม) แล้วก็ให้ หนาว พระคุณเจ้าท่านว่าไว้ “...หลวงพ่อแนะนำว่าให้หาเงินมาซักก้อนหนึ่ง ไม่ต้องเยอะ มาซื้อผ้าขาว ทำเป็นธงขาว และยกธงขาวทั้ง 3 จังหวัดให้พร้อมกัน นโยบายหลวงพ่อว่ายกธงขาวเท่านั้นแหละ เพราะเมื่อเราแก้ไม่ได้ และเมื่อเราไม่แก้ จะแก้ได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ แล้วเราไม่แก้ และปล่อยให้มันแบบว่า...เป็นโรคแล้ว ผ่าตัดก็ไม่ผ่าตัด รักษาโดยใส่ยาอยู่แต่บนหนอง ไม่รักษาให้มันเด็ดขาดไป แล้วเป็นโรคร้าย เป็นโรคมะเร็งอย่างนี้ โยมคิดดูนะ เพราะฉะนั้นนโยบายหลวงพ่อว่า วัดต่าง ๆ ก็หาเงินบริจาค ซื้อผ้าขาวและก็ตัดธงขาว ยกธงขาวทั้งจังหวัดให้พร้อมกันเลย ปัญหาคงจะยุตินะ.” โนคอมเมนท์แต่ หนาว เหลือเกิน...”
ผมอยากชี้ให้เห็นว่า เหตุการณ์หลายอย่างที่รัฐบาลน่าจะรู้ตัว และสามารถแก้ไขได้ก่อนเพราะมันมีเบาะแส ที่ชี้ให้เห็นว่า หากดำเนินการต่อไปอาจพลาดได้ หรือคนในรัฐบาลน่าจะมีไหวพริบรู้เท่าทัน ที่ฝรั่งเขาเรียกว่าเป็นผู้คอย wake you up หรือ ring you up คือเป็นคนคอยแจ้งเตือน หรือมีระบบการเตือนภัยหัวหน้ารัฐบาล อย่างกรณีปักษ์ใต้ ซึ่งมีสิ่งบอกเหตุมาก่อนเนิ่นนาน แต่ผู้นำกลับดันออกมาบอกว่า
“โจรกระจอก”
แต่สิ่งที่สวนทางกับเรื่อง “กระจอก…กระจอก” ของรัฐบาลก็เป็นอย่างท่านพระครูท่านว่าไปแล้ว
การที่ขาดคนแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าให้กับรัฐบาล ก็ยังมีให้เห็นอีก ยกตัวอย่างชัดๆก็คือ กฎหมายจัดรูปที่ดินซึ่งเป็นของที่ลอกแบบญี่ปุ่นมา ซึ่งโดยเนื้อหาแล้วเป็นกฎหมายที่ดีมากๆ แต่พอรวมเอา “ที่วัด” เข้าไปที่นั้น ของดีๆแท้ๆกลายเป็นของเสียของเน่าไปในฉับพลันทันที พอกฎหมายไปพวกสมาชิกสภาหกปียิ่งหนักเข้าไปอีก เติมเข้าไปให้ครอบคลุม ไปถึงที่ “ธรณีสงฆ์ และ ที่ศาสนสมบัติกลาง”
ที่น่าแปลกใจที่สุดคือ กฎหมายนี้เข้าไปในคณะรัฐมนตรี ไม่มีคนฉุกคิดกันบ้าง หรือมีผู้ติดดีสเบรคหรือทักท้วงว่า
“เฮ้ย ! ทำไมเอาที่ดินของวัด ของพระสงฆ์องค์เจ้าเข้าไปด้วยเล่า ?”
นั่งเงียบเป็นไม้ตีพริกกันทุกคน !
ปล่อยให้กฎหมายผ่านเข้าไปถึงสภา พอเกิดเรื่องเข้าแก้ตัวกันพัลวันว่า โฮ้ย ! เขาร่างกันมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนๆ รัฐบาลนี้ไม่ได้เกี่ยวสักเท่าไหร่เลยเพียงแต่ให้ความเห็นชอบไปเท่านั้น
แน่ะ ดูแก้ตัวเข้าซิ !
นี่หากเป็นเพื่อนฝูงกันมาพูดลักษณะนี้ ผมก็จะย้อนกลับเจ็บๆ ว่า
“แล้วในหัวยูมีแต่แกสหรือไง ? เห็นเขาใส่คำว่า ‘ที่วัด’ โต้งๆมาแล้วไม่รู้จักใช้กบาลคิดกันบ้างเล่าโว้ย ?” แต่นี่ไม่ใช่เพื่อนกัน ก็ได้แต่เพียงคิดเท่านั้น
ไม่น่าเชื่อว่า ไม่มีคนในรัฐบาลไหวทัน หรือแค่สอบถามคณะสงฆ์ไปสักหน่อย ช่างไม่มีใครสำเหนียกกันเลยว่า บ้านเมืองของเรานี้ ได้ตั้งขึ้นและดำรงอยู่มาได้เพราะบารมีของพระมหากษัตริย์เจ้าในอดีตและปัจจุบัน และพระพุทธศาสนา จนกลายมาเป็นเมืองไทย วิถีไทยอย่างทุกวันนี้
คณะสงฆ์ไม่รู้เรื่องเลย จนมีการแพลมกันออกมา จนเป็นเหตุให้พระสงฆ์องค์เจ้า ญาติโยมออกมาชุมนุมกันใหญ่โต รัฐบาลก็ยกธงขาวล่าถอยไปตามระเบียบ !
เรื่องอย่างนี้นั้น เมื่อมีกรณีนำร่างกฎหมายเข้าสู่สภาไป ชาวพุทธเมื่อรู้ข่าวอันเป็นภยันตรายต่อพระศาสนา ก็มีความชอบธรรมที่จะลุกขึ้นมาปกป้องคัดค้าน ศาสนิกที่ล่วงรู้เรื่องก็ต้อง wake the town and tell the people คือการปลุกประชาชนทั้งเมืองให้ตื่นขึ้นมาระวังเหตุเภทภัยร้าย สมัยโบราณเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็จะมีฆ้องเดินเท้า ตีฆ้องร้องเป่าออกไปตามหัวเมือง (เพราะไม่มีรถโฆษณาเหมือนสมัยนี้) ปากก็ร้องไปว่า
“กระจองงอง…กระจองงอง…เจ้าข้าเอ๊ย….(แล้วก็แจ้งข่าวสารไป)”
สำนวนว่า wake the town and tell the people นั้น เป็นสำนวนที่ใช้กันกว้างขวาง ถึงการแจ้ง (ตะโกน) เตือนประชาชนให้รู้ข่าวสารที่ควรทราบ หรือซึ่งเป็นภัยต่อพี่น้องประชาชน และเป็นชื่อเพลงฮิตในสมัยปี ๑๙๕๖ คือเพลง wake the town and tell the people ที่แสนจะไพเราะ เล่นโดยวงของ Les Baxter นายวงดนตรีที่มีชื่อเสียงยิ่งของสหรัฐในยุคนั้น
หากท่านผู้อ่านจะถามว่า คอลัมน์นี้เคยแจ้งเตือนหรือแนะนำรัฐบาลในเรื่องใดบ้าง ? บอกได้เลยว่า ท่านลองคลิกเข้าไปอ่านใน “กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๘” ก็จะเห็นได้ว่า
ก่อนนายกนำคณะรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ คนที่เขียนคอลัมน์นามสกุลเดียวกับผม เขียนลงมติชน รายสัปดาห์แนะนำให้นายกคนปัจจุบัน ให้นำแนวทาง fire side shat ของท่านประธานาธิบดีโรสเวลท์ แห่งสหรัฐอเมริกา มาเป็นต้นแบบในการแจ้งจ่าวสารและพูดคุยกับประชาชนเป็นรายสัปดาห์ ซึ่งผมเขียนและตั้งข้อสังเกตตลอดจนแนะนำต่ออีก ว่า
“หลังจากที่คอลัมน์นี้ตีพิมพ์ไม่กี่วัน นายกท่านนี้ก็มีรายการพบประชาชนทางวิยุ ซึ่งก็เป็นเรื่องดี ไม่กล้าคิดว่า เป็นเพราะคอลัมน์นี้หรือเปล่า “อ่านทวน” นี้หรือเปล่า นายกจึงมีรายการวิทยุดังที่เราได้ยินได้ฟังกัน ไม่กล้าคิดก็เพราะว่าผู้เขียนคอลัมน์ บังเอิญมีนามสกุลเดียวกับผมเสียด้วย
ข้อแตกต่างอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด ก็คือ
แม้นายกจะมีความตั้งใจ มุ่งมั่นในการนทำงานก็จริง แต่อรรถรสและแนวทางการพูดวิทยุของผู้นำประเทศเรา ดูจะผิดกับของเขา เพราะนายกนอกจากจะไม่ “กระหนุงกระหนิง” แล้ว ยังออกจะเคร่งเครียด ไม่เป็นกันเอง ตอบโต้กับผู้ที่ไม่เห็นด้วยในทุกรูปแบบ ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ คนฟังก็ไม่สบายใจ พอพูดกระทบกระทั่งกัน เหตุการณ์ก็ดูจะไปกันใหญ่
จริงอยู่ แม้นายกจะไม่มีความเก่งกาจในเรื่องการพูด เหมือนท่านประธานาธิบดีโรสเวลท์ แต่ถ้าการพูดของท่าน สอดแทรกอารมณ์ขันเล็กๆน้อยๆเอาไว้บ้าง น่าจะดี เพราะคนไทยนั้น ม.ร.ว.คุกฤทธิ์ ปราโมชม่าชอบให้ใครมาข่ม ไม่ชอบให้ใครมาด่า มาว่า พูดจากันดีๆ มีตลกโปกฮากันบ้าง ทุกข์ยากแค่ไหนก็ไม่ว่ากัน ทนกันไปได้......”
นายกฯไม่ได้ใช้แนวทางที่ผมแนะนำมาพูดคุยกับประชาชนเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นเวทีพูดข้างเดียว ถล่มและชวนทะเลาะกับบุคคลอื่นๆอยู่อย่างสม่ำเสมออย่างไม่เลิกรา จนถูกย้อนกลับเอาเจ็บๆแสบๆก็หลายครั้ง หลายครั้งก็ทำให้ผู้คนเขาขำเล่น และตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้งเพาะศัตรูให้มีจำนวนมากขึ้นทุกที น่าเสียดายมาก !
เรื่องที่ผมพยายามแนะนำรัฐบาลอีกเรื่องที่ผมเสียดายมาก คือเมื่อมีอุทกภัยทางภาคเหนือที่ อ.วังชิ้น จว.แพร่ ผมก็มีข้อแนะนำรัฐมนตรีมหาดไทยขณะนั้น เรื่องการจัดเตรียมหน่วยงานตำรวจตระเวนชายแดนเข้าดูแล คอยแจ้งเตือนภัยเรื่องน้ำป่าไหลหลากอย่างเป็นระบบ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจในใยดี จนน้ำท่วมซ้ำขึ้นผู้คนตายซ้ำอีก (ดู “กาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๔๑ ) อดีตรัฐมนตรีมหาดไทยไปยืนหน้าตูบ ทำสลดในหมู่บ้านที่เกิดเหตุ แล้วก็พ้นตำแหน่งไปอยู่กระทรวงยุติธรรม ไม่เท่าไหร่ก็มีเหตุกับข้าราชการประจำอีก จนต้องเลื่อนชั้นเป็นรองนายก !
เอาอีกเรื่องหนึ่งก็ได้ เพราะเรื่องนี้สำคัญ
เมื่อกองทัพอเมริกันลอยลำอยู่ในทะเลเตรียมการบุกอิรัค ผมก็ได้เตือนรัฐบาลให้นำมาตรการประหยัดน้ำมันมาใช้ เพราะวิเคราะห์ว่า ปัญหาจะเกิดขึ้นเพราะยุทธบริเวณจะอยู่ในตะวันออกกลางซึ่งเป็นที่ตั้งบ่อน้ำมัน ที่เมืองไทยรับจากดินแดนนี้เกือบทั้งหมด และเหตุการณ์จะดำเนินอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เราเป็นประเทศที่บริโภคน้ำมัน แต่มีน้ำมันของตัวเองอยู่เพียงน้อยนิด จึงได้เขียนเอาไว้ใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๖๑ ว่า
“…ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อต้นปีใหม่ วัน เคาท์ดาาวน์ ผมได้ยิน ผู้นำนิวทรูแมน ของผม ประกาศว่า ประชาชนคนไทยจะอยู่ดีกินดี ขึ้นมาอีก คนขวัญอ่อนอย่างผมได้ยินเข้าเท่านั้นก็ตกใจ ขนลุกซู่ อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาอีก กลัวว่าจะซ้ำรอยเหมือนเจ้าเก่าซึ่งตอนนี้เปลี่ยนฐานะ จากหัว ลงมาเป็นบ่ที่ใช้คำพูดอย่างนี้มาก่อนแล้วก็วิ่งป่าราบไป พอท่านผู้นำ นิวทรูแมน ไปใช้คำพูดว่าอยู่ดีกินดี เหมือนคนเก่าอีกก็ต้องหวดหวั่นเป็นธรรมดา ผมว่าอย่าใช้คำนั้นเลยครับ ท่านบริหารดีกว่า แกอยู่แล้ว ผมอยากได้ยินแค่ท่านให้สัญญาว่า
“ ปีนี้ประชาชนคนไทยทุกคนจะพออยู่พอกินไม่เดือดร้อน แต่มีความมั่นคง ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ได้รับการรักษาพยาบาลดูแลสุขภาพอนามัย อย่างเหมาะสมทั่วถึง และเยาวชนของชาติ มีโอกาสในการศึกษาที่ดี และก้าวหน้า โดยทั่วกัน ”
ครับ !แค่พออยู่พอกินไม่เดือดร้อน ตามนโยบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องไปกินดีอยู่ดี รับประทานหูฉลาม เป๋าฮื้อ อะไรอย่างนั้น ตอนนี้ของมันก็ขึ้น ราคา แพงดักหน้าอย่างที่ผมว่าแล้ว นี่ค่ารถ ค่าราก็ต้องขึ้น น้ำมันตอนที่เขียนต้นฉบับก็พรวดไปถึงเกือบ ๓๕ เหรียญ ย.ูเอส.ต่อบาร์เรลแล้ว รบกันเมื่อไหร่ข่าวต่างประเทศหลายสำนักบอกว่า อาจขึ้น ไปถึง ๑๐๐ เหรียญ ก็ได้ถ้าอิรัคเผาบ่อน้ำมันตัวเอง ผมก็ยังไม่เห็น รัฐบาลยังไม่มีมาตรการประหยัด อะไรออกมาเลยสักอย่าง เงินในกระเป๋าประชาชนก็ไม่ค่อยจะมี ภัยสงครามก็จ่อดำทะมึนอยู่ข้างหน้า นักการทหารเขาบอกว่าเชื่อขนมเจ็กกินได้ว่า ยังไงอเมริกันก็ต้องบุกอัดอีตาซัดดัมเละเทะแน่ เพราะเขาคงไม่ยกพหลพลไกรนับแสนๆ คนออกไปกินลมชมวิว กินแฮมเอร์เกอร์ เล่นแถวอ่าว เปอร์เซียแล้วกลับบ้านหรอก ยังไง ๆ ก็ต้องขอทุบอิรักเข้าสองสามพลั่กกันก่อนยกขบวนกลับ สรุปคือสถานการณ์โลกสับสนอ่อนไหว และเป็นอันตราย เราจะอยู่เฉยไม่ได้แล้วครับ
ผมว่ารัฐบาลต้องตื่นตัว ทำอะไรสักอย่างแล้ว มาตรการประหยัดพลังงานอย่าง รัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่าง ควรรีบนำมาใช้เสียโดยเร็ว !………”
ท่านผู้อ่านคงเห็นแนวความคิดของผม ในการแจ้งเตือนรัฐบาลเรื่องน้ำมันแล้ว แต่ตอนนั้นรัฐบาลกล้าที่จะพยุงราคา ผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไร นึกโมทนาสาธุที่เหตุการณ์ครั้งนั้นราคาน้ำมันไม่เปลี่ยนแปลง มาครั้งนี้รัฐบาลก็ยังคิดว่า วิธีแก้ไขอย่างเดิมยังใช้ได้ ก็ไม่ได้เตรียมการ จนเงินที่ใช้พยุงราคาเริ่มเพิ่มเป็นหมื่นกว่าล้าน สถานการณ์เริ่มทรุดลง ดุลการค้าเริ่มขาดติดต่อกันเป็นเวลายาวนานถึง ๓ เดือน รัฐบาลก็ตื่นตระหนก เร่งออกมาตรการเพื่อการประหยัดพลังงานออกมา ซึ่งหากทำตามที่ผมแนะนำ หรือพิจารณาด้วยความระมัดระวัง อาจเป็นปัญหาน้อยกว่าที่กำลังประสพ
เรื่องน้ำมันผมไม่ได้ตำหนิรัฐบาล เพราะของอย่างนี้พลาดกันได้ แต่เป็นเครื่องหมายว่า รัฐบาลควรฟังเสียงนกเสียงกาอย่างผม หรือครู อาจารย์ ผู้อื่นที่พอจะมีความรู้ความสามารถบ้าง ก็น่าจะดี เพราะต่างก็หวังดีต่อชาติบ้านเมืองด้วยกันทั้งนั้น !
คราวนี้มาถึงเรื่องที่ติดใจผมเกี่ยวกับแนวความคิดรัฐบาลที่จะเปิดคาสิโน ผมค้านสุดตัว เพราะค้านมาตั้งแต่ ๒๐ ปี ที่แล้ว เพราะผมร่ำเรียนมาทางการสอบสวนคดีพิเศษ จึงรู้ผลร้ายของการมีคาสิโนในประเทศ เมื่อรัฐบาลทำท่าขยับจะเอานำเข้าประเทศ ผมก็นำเอาบทความของผมที่เขียนลงในมติชน เมื่อ ๒๐ ปี ก่อน มาถ่ายทอดและบอกด้วยว่า หากรัฐบาลมีความประสงค์จะตั้งคาสิโน ผมจะเคลื่อนไหว
เมื่อผมรู้ชัดว่ารัฐบาลจะเอาแน่เรื่องคาสิโน ผมก็ไม่รอช้า รัฐบาลบอกว่า จะสร้าง
“เอนเทอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” ผมก็เรียกสิ่งที่รัฐบาลจะสร้างว่า “สิ้นคิด-คอมเพล็กซ์” เดี๋ยวนั้นเลย (ดูกาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๔ จากฝูงสัตว์ฝูงคนถึง สิ้นคิดคอมเพล็กซ์)
สภาผู้แทนราษฎรซึ่งรัฐบาลมีเสียงข้างมาก ได้การออกรายงานการศึกษาเรื่องคาสิโนว่า เห็นดีเห็นงามเพราะมีผลดีต่อทางเศรษฐกิจ กระทรวงยุติธรรมมีการเตรียมการร่างกฎหมายรับการเปิดคาสิโนเอาไว้ ผมก็เดินหน้าคัดค้านเต็มกำลัง เพราะผมอายุมากแล้ว รัฐบาลจะเปิดคาสิโนหรือไม่ ? ผมไม่กระเทือน หรือแม้แต่ชั้นลูกของผมก็ไม่มีปัญหา เพราะลูกๆมีวุฒิภาวะดี และมีชื่อเสียงพอสมควร แต่ในฐานะคนที่เป็นปู่ ผมมองข้ามไปชั้นหลานอย่างไม่มั่นใจ รวมทั้งลูกหลานคนไทยร่วมชาติด้วย ที่ผมก็ห่วงด้วยว่าจะเติบโตขึ้นมาท่ามกลางอบายมุข ความเลวร้าย บทความตอนนี้ของผม จึงมีคนช่วยกันแพร่หลายออกไปเป็นจำนวนมาก อย่างที่รัฐบาลอาจคิดไม่ถึง จะเป็นรองก็แต่กาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๑๐๕ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมเอ่ย ท่านเห็นในหลวงครั้งแรกเมื่อไหร่ ? เพราะกาแฟขม…ขนมหวานตอนนี้ถูกนำไปพิมพ์เผยแพร่อย่างมากมายทั้งในยุโรปและสหรํฐ รวมทั้งได้มีกำรนำไปลงในหนังสือพิมพ์ในต่างประเทศอย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว
หากคนของรัฐบาลลองเปิดเทปที่ ส.ส.พ.อ.วินัย สมพงษ์ นักเรียนเตรียมทหารรุ่นเดียวกับผม อภิปรายในสภาเรื่องคาสิโน แล้วมาตรวจกับบทความดูกาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๔ จากฝูงสัตว์ฝูงคนถึง สิ้นคิดคอมเพล็กซ์ ว่าตรงกันใช่ไหม ? แต่จะบอกให้ว่า พ.อ.วินัยฯเพื่อนของผมเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ไม่ได้อยู่ในยุทธจักร และยังไม่รู้เรื่องคาสิโนลึกซึ้งดีพอ เพราะเขาไม่ได้ร่ำเรียนมาทางนี้เหมือนผม !
หากรัฐบาลเดินหน้าเรื่องนี้ รับรองว่าจะมีทีมพิเศษเดินสายปราศรัยชี้แจงผลร้ายที่จะเกิดขึ้นคิดคามมาทั่วทุกมหาวิทยาลัย แล้วลองไปฟังดูก็แล้วกันว่า จะดุเด็ดเผ็ดมันแค่ไหน ! (ของชักขึ้น)
ใครฟังรายการของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล กับคุณสโรชาฯ วันศุกร์ที่ ๔ เดือนนี้ คงจะเห็นได้ชัดว่า ขนาดคุณสนธิฯที่ค่อนข้างจะเชียร์รัฐบาล แต่เรื่อง“เอนเทอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” คุณสนธิฯถึงกับขอร้องว่า อย่าได้คิดทำเลย !
ผมฟังนายกพูดถึงการพนันฟุตบอลที่กำลังแพร่หลาย บอกว่าปราบปรามยากเย็น หาว่าคนบอกว่าปราบง่ายเป็นพวก “พูดเอาหล่อ” ผมก็แปลกใจว่า เรื่องแค่นี้ทำไม่ได้? ผมจะแนะนำให้ และขอให้ฟังกันให้ดีๆ
ให้ท่านตั้งนายตำรวจที่ไล่บี้กำนันคนดัง จนจะเข้าไปพักผ่อนระยะยาวในราฃทัณฑ์รีสอร์ท คนเดียวกับที่ถล่มโต๊ดเถื่อนนั่นแหละ มาเป็นผู้รับผิดชอบการปราบปราม โดยมอบหมายให้มีอำนาจสั่งการทั่วประเทศในการปราบพนันบอล และเพิ่ม “แรงจูงใจ"”จากการยึดทรัพย์ตามกฎหมายฟอกเงิน โดยจ่ายจากทรัพย์ที่ยึดได้ให้สาย ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ตำรวจคนจับ ๒๕ เจ้าหน้าที่ ปปง.๑๕ และเจ้าหน้าธุระการศาล ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ทำให้ต่อเนื่องไม่ใช่แค่บอลยูโรเท่านั้น (ชนาดตำรวจเริ่มขยับตัวเอาจริงแค่ไม่กี่วันระยะนี้ โต๊ะบอลก็เริ่มป่วนแล้ว)
เพียงเท่านี้เจ้ามือพนันบอลที่เป็นโต๊ะ ก็จะราบเป็นหน้ากลองแล้ว!
ส่วนเรื่องบ่อนรอบประเทศ หากเห็นว่ามันกำแหงนัก ไม่ต้องไปเกรงใจพวกขะแมร์มัน ไล่ถล่มเอาให้ธุรกิจมันพังได้ไม่ยาก แค่ทำตามที่ผมเสนอใน กาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๔ จากฝูงสัตว์ฝูงคนถึง สิ้นคิดคอมเพล็กซ์ ผมบอกท่านได้เลยว่า ง่ายมากๆ นี่ไม่ใช่พูดเอาหล่อ เอาเท่อย่างอย่างที่ท่านบอก แต่พูดอย่างคนที่มีประสบการณ์ ไม่ใช่มือสมัครเล่น !
ฉะนั้น นายกจงอย่าได้แสดงอาการท้อแท้ เดี๋ยวผู้คนเขาจะดูถูกเอาได้ว่า แค่โต๊ะบอลก็ยังไม่มีปัญญาปราบปราม ทำเหมือนจะยอมแพ้อยู่เรื่อย แล้วเรื่องปักษ์ใต้ใหญ่โตกว่ามากจะแก้ไขได้อย่างไร ? เพราะผมฟังคุณ อาวัสดา ปกมตรี สัมภาษณ์อาจารย์ไพรัช (นามสกุลฟังไม่ทัน) ประธานครูภาคใต้ เมื่อเช้าวันพุธที่ ๙เดือนนี้หยกๆ อาจารย์ไพรัชถึงกับออกมาวิงวอนโจรกันแล้ว บอกว่าอย่าทำร้ายครูเลย ท่านอาจารย์ไม่ได้ขอร้องรัฐบาลนะ ท่านขอร้องโจร
แล้วอำนาจรัฐไปไหน ? ให้ท่านผู้รับผิดชอบ รู้จักสำนึกและอายกันบ้าง !
ระหว่างเขียนต้นฉบับอยู่ สมาชิก อพปร.ก็ถูกปาดคอซ้ำอีก เอาปืนไปสี่กระบอก ปืนลูกซองยาว ๓ กระบอกนั่นไม่เท่าไหร่ เพราะพกพายาก แต่ปืนสั้นที่มันเอาไปนี่แหละที่เป็นปัญหา เพราะมันจะเอากลับมายิงเจ้าหน้าที่คนไหนอีกก็ไม่รู้ ดูแลตัวเองให้ดีก็แล้วกัน !
อยากบอกท่านผู้อ่านได้ว่า เรื่องหวยหงส์ปีกหักที่น่าขยะแขยง เพราะความคิดจะออกหวยรีดเงินคนจนนั้น กระแสต้านมีมากจนต้องล่าถอย ไม่ใช่เพราะ ‘คุณมหา ๕ ขัน’ แกออกมาท้วงกับอาจารย์หมออีก ๒ คน เท่านั้น
หากแต่ขบวนการนิสิตนักศึกษาเริ่มเคลื่อนไหว ตั้งโต๊ะล่ารายชื่อคัดค้านกันแล้วนั่นแหละ ที่เป็นเรื่องที่รัฐบาลเริ่มหวาดหวั่นกระแสต่อต้านประชาชน ต้องยกธงขาวร้องเพลงถอยดีกว่าไปนั้น !
บอกได้เลยว่า ว่า หากเรื่องคาสิโนรัฐบาลเดินหน้าจริงจังจะนำมาเปิดในประเทศเมื่อไหร่ รับรองได้ว่าสนุกสนานมากกว่าเรื่อง “หวยหงส์นรก” นั่นหลายเท่านัก !
รัฐบาลมีแนวความคิดที่จะใช้นโยบาย กบกระโดด ผมเองไม่มีอะไรคัดง้าง และถ้ารัฐบาลจะแปลงร่างเป็นกบ กระโดดนำประชาชน(ฝูงกบ ?) ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ การเมืองมีความมั่นคง ประชาชนมีความไพบูลย์พูนสุข เรื่องความปลอดภัยในชีวิติและทรัพย์สินอยู่ในเกณฑ์ดี อย่างนี้ก็น่าสนับสนุนกันเต็มที่
แต่ระหว่างการกระโดดของรัฐบาล พึงต้องระวังพวก “กะแดก” กับพวก “กะดูด” ที่งาบตั้งแต่ทางหลวง ทางด่วน โครงการต่างๆ รวมทั้งเอาเปรียบราษฎรพระเจ้าพระสงฆ์ เพราะไอ้พวก ‘หน้ากบ’ นี้ ท่าน อ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก เขียนในคอลัมน์ของท่านใน มติชน เมื่อเร็วๆนี้ว่า มันเหมือนเปรต ที่วัดที่ธรณีสงฆ์มันก็เอาทั้งนั้น ท่องให้ขึ้นใจว่า
“เมื่อท่านแปลงเป็นกบ ‘กระโดด’ ต้องระวังพวก ‘กะแดก’ กับ ‘กะดูด’ !” เอาไว้ด้วย
หากรัฐบาลไม่ได้ทำอย่างนั้น คือนำประเทศไปสู่ความรุ่งเรื่องดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่กลับคิดหาเงินง่ายๆ ด้วยการเปิดบ่อนการพนัน มอมเมาประชาชน อย่างนี้สนับสนุนไม่ได้ เพราะเป็นนโยบาย กบที่กำลังจะโดดลง ‘กระทะน้ำร้อน’ หรือโดดลง ‘บ่ออุจจาระ’ พาประชาชนสำลักขี้ตาย ก็ต้องคัดค้านกันเต็มเหนี่ยวเอากันให้ถึงที่สุด !
รัฐบาลใดก็ตาม หากวางตัวเองเอาไว้บนหิ้ง ใครจะวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่ได้ เห็นเป็นฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูไปเสียหมดอย่างนี้ ก็ต้องให้คนตักน้ำใส่กะโหลกมาชะโงกดูตัวเองด้วย
เพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ ‘กบ’ แต่อาจกลายเป็น ‘คางคก’ !
และเป็น ‘คางคก’ และเป็น ‘คางคกที่กำลังจะกระโดดขึ้นวอ’ อีกต่างหาก
จะบอกให้ !!
....................................................
หมายเหตุ อยากให้คนของรัฐบาลเมื่ออ่านคอลัมน์นี้แล้ว ช่วยกัน “อ่านทวน” สักสองสามเที่ยว แล้วดูว่าผมพูดไม่ถูกตรงไหนบ้าง แล้วช่วยกันแย้งมาด้วยก็แล้วกัน !