xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 132 “ก้อนหินละเมอ…ถึง…Liverfool(ish) !”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

  เช้าวันนี้ผมมานั่งจิบกาแฟขมและร่างต้นฉบับนี้อยู่ที่เขาใหญ่ ระหว่างเดินทางกลับจากโคราช หลังจากไปทำบุญวันวิสาขะบูชาที่ วัดสุทธจินดา ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ที่นั่นผมได้พบว่ามีพุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนมาก เข้าวัดทำบุญกันจนแน่น เมื่อขับรถวนไปดูตามวัดต่างๆก็เห็นภาพอย่างเดียวกัน แสดงว่าคนไทยในส่วนภูมิภาคยังยึดมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแน่นเหนียว  ได้สังเกตว่าดูจะมีจำนวนทวีขึ้นมากกว่าเมื่อครั้งตัวเองรับราชการอยู่ที่จังหวัดนี้เสียด้วยซ้ำไป น่าปลาบปลื้มใจมาก

                ระหว่างขับรถกลับกรุงเทพผมฟังเทปเพลง ของวง Soul After Six  ซึ่งผมและเพื่อนพ้องใน ผู้จัดการ ไปดูคอนเสิรต Mellow Moments ของวงนี้เมื่อวันเสาร์ปลายเดือนที่แล้วมาหยกๆ  คนแน่นเอี้ยดแบบเต็มทุกที่นั่งเทโรฮอลล์ สวนลุมฯไนท์บาร์ซาร์ในคืนนั้น หนังสือพิมพ์หลายฉบับเช่น คม-ชัด-ลึก,กรุงเทพธุรกิจ ฯลฯ ได้เขียนแสดงความชื่นชมกับวงดนตรีนี้ ซึ่งทางสมาชิกในวงก็บอกว่า คงจะว่างเว้นการจัดคอนเสิรตเต็มรูปแบบขนาดนี้ไปอีกนาน เพราะหนุ่มๆทั้ง ๓ สมาชิกในวง เริ่มมีภารกิจรัดตัว เนื่องจากมีงานประจำเป็นผู้บริหารของบริษัทต่างๆ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกิจการดนตรีแต่อย่างใด

                การแสดงคอนเสิรตครั้งนี้ มีลักษณะของความเรียบง่ายสบายๆก็จริง แต่ผู้ชมนักวิจารณ์ ต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ได้ฟังเพลงดีๆกันอย่างเต็มที่ ได้เห็นความกลมกลืนระหว่างการบรรเลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเครื่องให้จังหวะ ความพิเศษของทีมเครื่องเป่าที่แน่นปั๋ง และการขับร้องที่มีทั้งอ่อนหวาน และเร้าใจ เสียงเบสจากฝีมือของ บิ๊ก หนึงในสมาชิกของวงผ่านเครื่องเสียงชั้นดีออกมาดังกระแทกกระทั้น ทำให้ใจเต้นดัง บึ้บ...บึ้บ ตามจังหวะ และแรงจนเหมือนหัวใจคนฟังจะกระเด็นจากอกออกทางปาก(เว่อร์หน่อยๆ) ทำให้ผู้คนที่เข้าชมในคืนนั้นมีความสุข เพลิดเพลิน และพึงพอใจที่ได้ดูและฟังคอนเสิรตดีๆ ที่หาชมไม่ง่ายนัก คนดูต่างยิ้มแย้มแจ่มใสกันทั่วถ้วน โดยเฉพาะผมเวลาดูและฟังการร้องของพี่กับน้องคือ ปึ่ง และ ปิงปอง มีความรู้สึกเหมือนกับตัวเองแยกเป็นสองร่างอยู่บนเวทีด้วย !

                ข้อได้เปรียบของพี่น้องคู่นี้คือ ปึ่ง และ ปิงปอง ก็คือ การที่เล่นเปียโนและร้องเพลงได้เป็นอย่างดีทั้งคู่ ต่างคนก็มีเสียงที่ทรงพลังเพียงพอ และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ ทั้งสองสามารถเขียนเนื้อเพลง และเรียบเรียงเสียงประสานเองได้อย่างมีฝีมือด้วย ซึ่งหาไม่ได้ง่ายนักที่ความสามารถเหล่านี้ จะมารวมอยู่ในนักดนตรีคนเดียวอย่างที่ทั้งสองคนเป็นอยู่

 

                เพลงที่สร้างชื่อเสียงให้วงนี้มากอยู่ในอัลบัมชุดแรกชื่อเพลง ก้อนหินละเมอ

เขาให้ชื่อเป็นภาษาฝรั่งว่า  Just Dreaming ซึ่งคงไม่ตรงกับความหมายของเพลงสักเท่าไหร่ เพราะ Dream ไม่ใช่การละเมอ หากแต่เป็นเรื่องของการฝัน แต่อย่างไรก็ตามเพลงนี้แทบทุกคนฟังแล้วบอกว่าเป็นเพลงที่ไพเราะ เนื้อหาดี รูปการจัดวางรูปคำกลอนมีความสมบูรณ์แบบ ท่านผู้อ่านที่อยู่ต่างประเทศ อยากให้ลองหาฟังดู ผมคิดว่าท่านจะชอบ เนื้อเพลงเขาบอกว่า

 

   มองไปไกล ที่ดวงดาวสุดขอบฟ้าไกล             อยากจะไปไปให้ถึงครึ่งทางแสงเธอ

ดวงดารา เหมือนไม่มีวันจะพบเธอ                      อยากให้เธอส่องแสงลงมาพื้นดิน

   มองจันทรา เมื่อเวลามันกลบแสงดาว              กลัวทุกคราวเพราะว่าฉันนั้นคือก้อนหิน

กลัวดวงดาว ไม่ทอแสงลงกระทบดิน                 และก้อนหินอย่างฉันคงไม่สวยงาม

   อยากให้ดาว ดวงนั้นรู้ว่า                               เมื่อดารา ส่องแสง ฉันดูสดใส

อยากให้ดาวดวงนั้นเข้าใจ                               ขาดเธอไป ตัวฉันคงหมดสิ้นกัน

   อยากให้ความทรงจำ ที่เธอให้ไว้    ช่วยทอแสงประกายทุกวัน

เพราะเพียงความอบอุ่นจากเธอไม่นาน               จะต่อเติมความสำคัญฉันได้

 

                เพลงนี้แสดงถึงความฝันของเด็กหนุ่ม ที่ร่ำเรียนเปียโนมาตั้งแต่เล็กอเล่นดนตรียามเย็นหลังหกโมงเย็น เลยเรียกชื่อวงว่า Soul After Six ตามแนวเพลงที่ตนชอบและเวลาที่มาพลกันหลังหกโมงเย็น ได้รวมกันไปเล่นตามบ้านเพื่อน ขยับขึ้นมามาเป็นวง และฝันอยากจะมีอัลบัมเป็นของตนเอง อยากมีคอนเสิรตที่คนดูมากมายสักครั้ง ซึ่งตอนนี้ก็ดูเหมือนว่า ความฝันนั้นเขาจะกลายเป็นจริง เพราะ Soul After Six  กลายเป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียง และเพลงก้อนหินละเมอถูกตั้งให้เป็นเพลงชาติประจำผับ โดยคุณ ต่อพงษ์ เศวตามร์ นักวิจารณ์ดนตรี เจ้าของคอลัมน์ดังในผู้จัดการ ไม่ว่าท่านผู้อ่านจะไปที่ผับใดในประเทศ ก็มักจะได้ยินเพลงนี้เสมอทั้งๆที่เป็นเพลงมีอายุร่วมสิบปีแล้ว

 

                คำว่าละเมอนั้น แปลว่า พูดหรือ แสดงในเวลาหลับ , (ปาก) โดยปริยายว่าหลงเพ้อ ที่อยู่ในวงเล็บว่าปากนั้น หมายถึงภาษาพูด คำว่าละเมอนั้น ใช้ในความหมายของภาษาพูดหมายความว่าหลงเพ้อได้ด้วย คือทั้งหลง ทั้งเพ้อ

                คำว่าละเมอนั้น ใช้อยู่ในเพลงฮิตทั้งในอดีตถึงปัจจุบันอยู่หลายเพลง และก็จะยังคงใช้กันต่อไป อยากจะยกตัวอย่างให้ดูสัก ๒ เพลงที่ฮิตมากๆ คือ เพลง เพลิน กับเพลง ในฝัน เพลง เพลิน นั้นขึ้นต้น ว่า

                เพลิน..พิศพักตร์และแล้วเพลิน                         เพลินเนตรคราเนตรน้องมาเผชิญ

                เพลินโอษฐ์ยามโอษฐ์เอื้อนอัญเชิญ                เพลินรักพี่รักแล้วใยเมิน

                เพลิน เพลิน เพ้อละเมอฝัน วันคืนตื่นผวาตาสว่าง

                เห็นแต่ร่างนางสาวสวย และสำรวยระรื่นชื่นอุรา…..

               

                เพลงเพลินนี้ เป็นเพลงฮิตยุคก่อนสงคราม เป็นเพลงในภาพยนต์เรื่อง “แม่เสือสาว” พระวรวงศ์พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ทรงประพันธ์เนื้อร้อง ส่วนทำนองท่านผู้หญิงพวงร้อย สนิทวงศ์ กับ หม่อมหลวง ประพันธ์ สนิทวงศ์ เป็นผู้ประพันธ์ และเรียบเรียงเสียงประสาน ที่ผมเคยเขียนถึงเอาไว้แล้ว ใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๗๔ กู๊ดบายซัมเมอร์และเล่าด้วยว่าเคยฟัง คุณบุญทวี ไวทยานุวัตร พระเอกภาพยนตร์เรื่องนี้ท่านร้องสดๆด้วย

 

                ส่วนเพลง “ในฝัน” นั้น ทูล ทองใจ เป็นผู้ขับร้อง

                หากฝัน...ว่าฉันและเธอ  ละเมอ...ความรักร่วมกัน

                ทุกๆวัน...แสนสุขฤทัย

                หากความ...รักนั้นหนักเหลือ            แนบเนื้อเชื้อ...รักดังไฟ

                ฉันขอตาย...บนตักนาง  

                หากเรา...ได้รักร่วมกัน   ผูกพัน...กระสันแน่นเหนียว            

                ขอรักเดียว...ไม่จืดและจาง…..

 

                เพลงนี้ครูเบญจมินทร์แต่งให้ ทูล ทองใจ ร้องอัดแผ่นตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๐ กึ่งพุทธกาลพอดิบพอดี และดังระเบิดระเบ้อ เนื้อร้องก็คมคายไม่น้อย เขียนว่า ละเมอความรักร่วมกันซึ่งคงจะเป็นไปไม่ได้ในทางความเป็นจริง เพราะการละเมอน่าจะเป็นของใครของมัน ไม่เหมือนกินข้าวหรือทำกิจกรรมอย่างอื่นด้วยกันเสียเมื่อไหร่กัน !

 

                ละเมอ ที่ไม่ใช่ภาษาปากที่หมายความถึงการหลงเพ้อนั้นหมายถึงการ พูดหรือ แสดงในเวลาหลับ เช่นเวลานอนแล้วละเมอขึ้นมาด้วยการร้องเสียงดัง หรือลุกขึ้นเดินไปทำโน่นทำนี่แล้วกลับมานอน ทางการแพทย์เขาได้อธิบายปรากฏการณ์นี้ของคนเราว่า

                การละเมอนั้น โดยทั่วไปไม่ถือว่าผิดปกติ ยกเว้นแต่ในกรณีที่เป็นมากถึงขั้นละเมอเดินหรือลุกขึ้นมาทำอะไรโดยไม่รู้ตัว เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ หรือการละเมอทำให้มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ เช่นหลับไม่เต็มที่เท่ากับนอนไม่เต็มอิ่ม อาจเป็นปัญหาทางสุขภาพด้วย อย่างนี้ในปัจจุบันทางการแพทย์เขามีการตรวจห้องทดสอบการนอนหลับได้ ซึ่งในศูนย์การแพทย์ใหญ่ๆที่มี sleep hall เช่น โรงพยาบาลโรคจิตโรคประสาทขนาดใหญ่ เขามีการตรวจสอบได้

 

                ตอนเป็นเด็กที่อยู่โรงเรียนประจำนั้น ผมคุ้นเคยกับการละเมอของเพื่อนๆมาก เพราะตอนเป็นเด็กๆนั้นสนุกสนานมาก เวลานอนกลางคืนได้ยินเสียงเพื่อนละเมอเป็นเรื่องการเล่นมาก เช่น เตะมันเข้าไป !” หรือ ส่งลูกมาเร็วๆซิโว้ย !” อะไรทำนองนี้ แต่เพื่อนที่ละเมอเดินไปเดินมาก็มีอยู่บ้างไม่มากนัก แต่ก็เคยเจอเพื่อนละเมอเดินลงบันไดตึกนอนลงมา พอผมข้าไปเขย่าแขนจึงรู้ตัว เพื่อนคนนี้นอนละเมอแบบนี้บ่อยๆจนเป็นที่รู้กันดี

                อย่าว่าแต่ตอนเด็กเลย พอเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจปี ๑ ซึ่งนักเรียนต้องฝึกหนักพอสมควร นักเรียนนายร้อยใหม่จะเครียดมาก ผมได้ยินเพื่อนหลายคนละเมอลั่นกองร้อยบ่อยครั้งจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่พอพ้นจากปี ๑ เป็นนักเรียนชั้นสูง อาการละเมอของเพื่อนๆตอนปี ๑ ก็ค่อยๆจางไป

                ผมเคยเฝ้ามองเพื่อนที่ชอบนอนละเมอ ดูพฤติกรรมของเขาตอนนอนหลับ เพื่อนคนที่ละเมอสม่ำเสมอนั้น มักจะมีอาการนอนกัดฟัน บางคนกัดฟันรุนแรงมาก หัวคิ้วย่นเข้าหากัน หน้าตาบิดเบี้ยว เหมือนถูกคนไล่ทำร้าย หรือกำลังมีเรื่องชกต่อยฟาดฟันกับใครอยู่ ดูน่ากลัวไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องของการกัดฟัน พวกนอนละเมอบางคนมีอาการกัดฟันปนเข้าไปด้วย เวลาฟันของเขาบดกันนั้น ฟังเหมือนเสียงโลหะเสียดกัน เสียงมันดัง

                กรอด กรอดแกรด แกรด

                ผมมีความรู้สึกราวกับว่า ฟันของเพื่อนกำลังจะบดป่นออกมาเป็นผงแป้ง ยังไงยังงั้นเลยทีเดียวเชียว !

 

                เรื่องความกดดันของเด็กนั้น ทางกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เขาห่วงใยสุขภาพอนามัยของประชาชนมาก ได้ให้ข้อแนะนำดีๆเกี่ยวกับเรื่องการละเมอ  ซึ่งทางกรมนี้เขาได้บอกว่า

 

                ในการเปลี่ยนโรงเรียนทุกครั้ง เด็กๆต้องปรับตัวกับสถานที่ใหม่ คุณครูคนใหม่ และเพื่อนใหม่ที่เด็กไม่คุ้นเคย รวมทั้งวิธีการเรียนการสอนใหม่ที่แตกต่างไปจากโรงเรียนที่เรียนเฉพาะเตรียมความพร้อมเท่านั้น ซึ่งเด็กหลายคนอาจปรับตัวได้ดี เพราะมีความพร้อมด้านจิตใจและอารมณ์ แต่เด็กบางคนก็อาจปรับตัวได้ยากแม้ว่าจะถูกเตรียมความพร้อมมาแล้ว แม้จะมีงานวิจัยว่าเด็กส่วนใหญ่จะเรียนทันกันในภายหลังทั้งๆที่เด็กเริ่มอ่านเขียนไม่พร้อมกัน แต่สภาพการเรียนที่ค่อนข้างเร่งเด็กด้านการอ่านเขียน อาจกดดันให้เด็กเกิดความเครียดได้ หากเขาถูกคาดหวังและทำไม่ได้เหมือนเพื่อนๆ เพราะอาจทำให้ถูกครูดุและไม่มีความสุขในโรงเรียน โดยความเครียดของเด็กอาจแสดงออกด้วยการนอนกัดฟัน ละเมอ หรือกระทั่งไม่อยากไปโรงเรียน เพราะเด็กไม่สามารถบอกความรู้สึกกับพ่อแม่ได้โดยตรง

                ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่แน่ใจว่าโรงเรียนใหม่ของลูกมีความเข้าใจเรื่องการปรับตัวของเด็กและไม่ได้เร่งทางวิชาการ อาจให้ลูกเรียนในชั้นอนุบาล ๒ ได้เลย แต่ต้องพูดคุยให้คุณครูให้โอกาสในการปรับตัวแก่เด็ก และขอให้คุณครูอย่าเข้มงวดเรียนการอ่านเขียนกับลูกให้มากนักในระยะแรกๆ ที่ลูกยังไม่พร้อม ในที่สุดลูกก็จะปรับตัวทันเพื่อนคนอื่นๆได้ เพราะเขามีความพร้อมในพัฒนาการด้านอื่นๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ก็อาจต้องใช้เวลาเป็นเทอมหรือมากกว่า เด็กจึงจะเรียนได้ทันกัน ซึ่งทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณครูต้องร่วมมือกันในการดูแลและให้กำลังใจ เพราะความพร้อมทางอารมณ์และจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ ต่อการพัฒนาศักยภาพของเด็กไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความสามารถทางสติปัญญาเลยทีเดียว  แต่ถ้าเวลาผ่านไป ๖ สัปดาห์แล้ว ลูกยังมีอาการนอนกัดฟันหรือนอนละเมอ(โดยไม่เคยมีอาการเช่นนั้นมาก่อน) แสดงว่าลูกอาจมีความเครียด ให้คุณแม่ลองชวนลูกพูดคุยถึงเรื่องโรงเรียนใหม่ และพูดคุยกับคุณครูถึงพฤติกรรมของลูกที่โรงเรียนใหม่ เพื่อประเมินว่าลูกสามารถปรับตัวกับสภาพการเรียนได้หรือไม่ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อประเมินและให้การช่วยเหลือลูกต่อไป


 

                เรื่องการละเมอที่ประทับใจผมมากคือ เมื่อตอนเป็นเด็กนั้น มีผู้ใหญ่เล่าว่าผู้มียศศักดิ์คนหนึ่ง ท่านเดินละเมอเป็นประจำ แต่เป็นการเดินละเมอเข้าห้องคนใช้สาว จนมีลูกกับเด็กคนใช้ ๒ คน อย่างนี้เรียกได้ว่า เข้าใจละเมอ

                ไม่รู้ว่าภริยาที่บ้านท่านเชื่อหรือเปล่า ว่าเป็นการละเมอจริง ๆ ?

                เรื่องอย่างนี้ตอนเป็นเด็กผมก็ไม่เข้าใจนัก แต่ตอนมาเมื่อเป็นหัวหน้าโรงพัก วันหนึ่งนายร้อยเวรเข้ามารายงานว่า มีผู้หญิงจูงสามีพร้อมเด็กรับใช้ในบ้านขึ้นโรงพัก แจ้งความว่า สามีตัวเองเดินละเมอเข้าไปในห้องเด็กรับใช้ แต่รายนี้ยังไม่ทันละเมอไปไกล ถึงขั้นมีลูกเหมือนอย่างรายแรก เพราะแค่เอามือลูบขาอ่อนเด็กคนรับใช้ที่ใส่ผ้าถุงนอนหลับอยู่ เด็กสาวก็ตื่นขึ้นมาร้องโวยวายขึ้นมาเสียก่อน ผมให้นายร้อยเวรเรียกคู่กรณีเข้ามาในห้องทำงาน สอบถามฝ่ายคุณสามีตัวดีว่าละเมอจริงหรือเปล่า ? ตัวแกกลับยังยืนยันกับผมเสียงแข็งว่า

                เป็นการละเมอจริงจิ๊ง...จริงๆ !

                พูดอย่างเดียวกลัวผมไม่เชื่อ ยกมือท่วมหูท่วมหัวกล่าวคำสาบานเลยทีเดียว แต่ผมไม่ใจอ่อนหลงตามคำพูดของแกเลยบอกไปว่า ถ้าละเมออย่างนี้ต้องจ่ายค่าทำขวัญให้เด็กหนักๆหน่อย เป็นการแก้โรคละเมอ ต่อไปภายหน้าจะได้หลาบจำไม่ละเมออย่างนี้อีก

                คิดถึงเรื่องนี้คราวใด ผมนึกถึงสีหน้าของคุณสามีคนนี้ทุกครั้ง และก็ขำทุกทีไป !

               

                เพื่อนคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า เขาทำงานอยู่ต่างจังหวัด ไปเที่ยวตามประสาคนหนุ่ม และมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่ถูกอกถูกใจ จนไปนอนค้างอ้างแรมด้วยกัน ปรากฏว่าขณะกำลังนอนหลับสนิท ถูกสาวเจ้าตบผัวะด้วยกำปั้นถูกตรงกึ่งแก้มกึ่งกกหูเข้าอย่างแรง จนเขาสะดุ้งตื่น แต่เห็นว่าผู้หญิงยังนอนหลับอยู่แต่หายใจฟืดๆฟาดๆ ยกมือยกแขนฟาดที่นอนตึงๆตังๆ จึงทราบว่าผู้หญิงคนนั้นละเมอ หลังจากนั้นเหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นอีก ๒-๓ ครั้ง ผมเลยแนะนำให้ลองสอบถามผู้หญิงว่า มีเรื่องคับอกคับใจอะไรอยู่ ขอให้เธอเล่าให้ฟัง สอบถามย้อนตั้งแต่เป็นเด็ก เอาให้ละเอียดเลย จะได้มาทำวิจัยวิจารณ์กัน

                พอเจอกันอีกเพื่อนก็เล่าให้ฟังว่า ผู้หญิงคนนี้มีแฟน (สามี) มาก่อน แต่ถูกฝ่ายชายทุบตีเอาบ่อยๆ แต่เธอก็สู้เย็บตาทุกครั้ง และเจ็บตัวครั้งละมากๆ ในที่สุดก็เลิกรากันไป จนกระทั่งได้มาเจอเพื่อนของผม เรื่องที่เคยถูกกดดันยังอยู่ใต้จิตสำนึก ผลักดันออกมาในรูปละเมอต่อสู้ อย่างที่ได้เคยทำมา

                กรณีอย่างนี้ก็น่าสงสารมาก ผมเลยได้แต่แนะนำไปว่า หากจะคบกันต่อไป ระหว่างอยู่ในห้องนอนด้วยกัน เขาควรจะเอาอาวุธปืนสั้นประจำกายออกไปไว้นอกห้อง แล้วเก็บใส่ตู้ลั่นกุญแจให้เรียบร้อย ของมีคมไม่ว่ามีดขวานเอาออกจากห้องให้หมด รวมทั้งไม้หน้าสามก็ไม่ควรเอาไว้ในห้องนอน ไม่งั้นเขาอาจเป็นเหยื่อกระสุน คมมีด หรือฤทธิ์ไม้หน้าสามจากแรงละเมอของแฟนก็เป็นได้ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทำตามข้อแนะนำของผม หากแต่เลิกกับผู้หญิงคนนี้ไปเลย !

 

                คำว่า ละเมอ ที่ไม่ได้ใช้ในความหมายว่า พูดหรือ แสดงในเวลาหลับ หากแต่ใช้โดยปริยายเป็นภาษาพูดว่า หลงเพ้อ คือ ทั้งหลง ทั้งเพ้อ เช่น

                ผู้หญิงเขามีผัวไปตั้งนานแล้ว ยังมีหน้ามา ละเมอถึงเขาอยู่ได้นั้น ก็ยังมีใช้กันอย่างกว้างขวางพอสมควร หากเป็นไปในทางที่ผู้ใช้ถ้อยคำละเมออย่างนี้ กระเดียดไปทางดูแคลนผู้ที่ตัวเองกำลังกล่าวถึงหรือกำลังพูดอยู่ด้วย เช่น

                นาย ก.บอกว่า เพื่อนเอ๋ย อย่างไรเสียฉันก็ได้ตั้งใจไว้ว่า ชาตินี้จะต้องแต่งงานกับ  น้องแบมให้ได้ เพื่อนนาย ก.ทนฟังไม่ไหวเพราะคนพูดหน้าตาดูไม่ได้ แถมไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์อะไรมาค้ำคออีก เลยแดกดันนาย ก.กลับไป ว่า

                ไอ้ที่เอ็งเอ่ยมานั่นน่ะ ละเมอ หรือเปล่าวะ?” อย่างนี้เป็นต้น

 

                หากมีผู้ออกมาพูดกับคนในบ้านเมืองสาระขันขัน (เมืองเดียวกันกับที่ผมเขียนเอาไว้ใน “ กาแฟขม…ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๘ ตอน เหี้ยส่องกระจก นั่นแหละครับ) ว่า

                พี่น้องเพื่อนร่วมชาติที่รักทั้งหลาย !….การซื้อทีม Liverfool(ish) ยอดทีมดังครั้งนี้ จะทำให้ชาติของเรา เจริญก้าวหน้าแบบ ก้าวกระโดดทางการกีฬา ทัดเทียมนานาอารยะประเทศทั้งหลาย สินค้าของชาติไม่ว่าจะเป็นกล้วยตากหรือฟักทองเชื่อมแห้ง ถ้าเราแปะยี่ห้อ Liverfoolish จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราขายดีไปโลด ชื่อเสียงชาติจะเป็นที่รู้จักกันไปทั่วทั้งโลก และจะส่งให้ประเทศของเรานี้เป็นมหาอำนาจทางการกีฬาต่อไป !”

 

                ผู้คนที่เขามีความรู้  รวมทั้งพวกที่เป็นนักกีฬามาก่อนต่างก็พากันหัวร่อขบขัน ต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียวว่า

                โฮ้ยไอ้อย่างนี้ มันละเมอกลางวันแสกๆ นี่หว่า !”

                บางคนวิจารณ์ว่า “ก้าวกระโดดทางการพนันแทงบอลมากกว่ามั้ง !

 

                แต่พวกอั้งม้อ (ผมแดง) บนเกาะ Great Britood ที่ทีม Liverfoolish ตั้งอยู่ ไม่ยักบอกว่า  พูดอย่างนี้เป็นการ ละเมอ เหมือนอย่างที่ชาวเมืองที่จะซื้อทีมเขาวิพากษ์วิจารณ์กัน

                ยิ่งสื่อมวลชนของเกาะนี้มันรู้ว่า ตอนไปเจรจายังไม่รู้ว่าจะเอาเงินมาจากไหนมาซื้อ พอความแตกออกมาว่า จะมีการออกหวยเอารางวัลใหญ่มาล่อ เพื่อเบียดเบียนดูดเอาเงินจากคนยากคนจนในประเทศสาระขันขัน เอาไปาซื้อทีมกะโหลกกะลาอย่าง Liverfoolish  เพราะคนที่เป็นต้นความคิดรู้ว่าคนยิ่งยากจน ก็ยิ่งฝันหวานอยากเป็นเศรษฐีกันทุกคน  ทั้งๆที่เศรษฐกิจของบ้านเมืองสาระขันขันของตนเองนั้น ก็ยังแสนจะรุ่งริ่งกะต๊อกกะต๋อย คนรวยเป็นกระจุกกระหย่อมกระหยอยเดียว คือเฉพาะพวกคนที่อยากซื้อทีมฟุตบอลมาประดับบารมีกับลิ่วล้อกองเชียร์ แต่คนจนคนทุกข์ยากที่ยังหาเช้ากินค่ำ อาบเหงื่อต่างน้ำยังมีจำนวนมากมายกระจุยกระจายออกเต็มไปทั่วประเทศ  และเป็นกลุ่มคนที่แสนจะอ่อนแอ หวังแต่โชคลาภลมๆแล้งๆ  คนพวกนี้ถูกชักจูงและมอมเมาได้โดยง่ายที่สุด !

                น่าสงสารมาก !!

 

                พอพลเมืองชาวเกาะ Great Britood (หรือ เกาะบริตู๊ดใหญ่) เมืองแม่แบบประชาธิปไตยเขารู้ความจริงเข้า ต่างก็ไม่พอใจมาก เพราะรู้สึกเวทนาผู้คนในประเทศสาระขันขัน ที่ยังด้อยพัฒนาแต่ยังเป็นประเภทจนแล้วไม่เจียมเสงี่ยมกายา ทั้งๆที่ไฟของความไม่สงบในบ้านเมืองตนเอง  ก็กำลังลุกโชนอย่างชนิดไม่ยอมดับ แต่ยังทะลึ่งอยากได้ทีมบ้านเขา ไปเสริมบารมีบวมๆของตัวเข้าไปอีก ต่างพากันวิจารณ์ด่าว่า เย้ยหยัน ความคิดนี้กันกว้างขวาง เป็นที่น่าสมเพชนัก !                                                                                                                                                                                                                                                                          

 

                ยิ่งไอ้พวกหนังสือพิมพ์หัวสีประเภทข่าวแดกดัน ที่เรียกว่า แทปลอยด์จอมหาเรื่องชาวบ้านแห่ง เกาะบริตู๊ดใหญ่ ปากคอพวกนี้ยิ่งกว่าตะไกรโรงพยาบาลบ้า มันใช้คำๆเดียวเท่านั้น อธิบายให้เห็นภาพพจน์ได้ดียิ่งกว่าคำว่า ละเมอ เป็นไหนๆ เสียด้วยซ้ำไป

                เพราะมันดันใช้คำ ว่า

                                               

                                                สติวปิ้ด !!!”

 

                        .............................

                                               

                                               

 

กำลังโหลดความคิดเห็น