xs
xsm
sm
md
lg

New China Insights : ปี 2026 เศรษฐกิจจีน โอกาสและความท้าทาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“ฮิวแมนนอย” ภาคธุรกิจมาแรงของจีนในปีนี้ ซึ่งการแข่งขันรุนแรงและกำลังจะเป็นตลาดสีแดง (ภาพจาก ซินหัว)
โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล


ปี 2025 ที่กำลังจะหมดไป ผู้เขียนมองว่าเป็นปีแห่งการท้าทายในทุกด้าน ทั้งระดับประเทศและประชาชนทั่วโลกต่างต้องเอาตัวรอดและเตรียมรับมือในทุกสถานการณ์ ท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวเศรษฐกิจ อาจจะเคยได้ยินคำว่า “เศรษฐกิจเผาจริง” มาหลายครั้ง ในรอบนี้มีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมองว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่เผาจริงยิ่งกว่า 2025 ฟังแล้วก็น่ากลัว แต่หากมองสถานการณ์จริงที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยเผชิญปัญหาอยู่หลายด้าน โดยเฉพาะปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงคราม ภัยธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นปัจจัยที่กระทบกับภาคเศรษฐกิจโดยตรง

ในมุมของจีน เศรษฐกิจจีนก็กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านจากแรงขับเคลื่อนเดิมสู่แรงขับเคลื่อนใหม่ ท่ามกลางการปรับโครงสร้างของภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก จีนก็ได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อยจึงต้องแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและแสวงหาโอกาสเติบโตใหม่ๆ แต่สำหรับประเทศขนาดใหญ่ที่มีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว ปี 2026 จะนับเป็นปีแรกของการเริ่มต้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 15 ของจีน(2026-2030) แผนพัฒนาฉบับนี้เน้นสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และพึ่งพาตนเองได้ โดยเน้นใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีและอุปสงค์ภายใน พร้อมกับรักษาเสถียรภาพทางสังคมและสิ่งแวดล้อม

แผนพัฒนาฯชาติฉบับใหม่นี้ จะกลายเป็นแนวทางหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2026 โครงการ “สองใหม่ สองใหญ่” (โครงสร้างพื้นฐานรูปแบบใหม่, การพัฒนาเมืองรูปแบบใหม่, โครงการขนาดใหญ่ และโครงการสำคัญ) ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นความต้องการของห่วงโซ่อุตสาหกรรมและขยายศักยภาพการเติบโตในระยะยาว ในระดับมหภาค นโยบายการคลัง อัตราการขยายตัวของรายจ่ายภาครัฐจะมีการขยายตัวลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง โดยในสามไตรมาสแรกของปี 2025 รายจ่ายงบประมาณและกองทุนรัฐบาลเพิ่มขึ้นรวม 7.9% ส่วนนโยบายการเงิน คือการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ย คาดว่าอัตรา LPR (อัตราดอกเบี้ยพื้นฐานที่กำหนดโดยธนาคารกลางจีน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของทิศทางนโยบายการเงินของจีน) ระยะ 1 ปีจะปรับลดลง 10–15 จุด โดยตั้งเป้าหมายผสมผสาน การเติบโตของGDP จริง 4.5%–5% + CPI(ดัชนีราคาผู้บริโภค) 1%–3% + การเติบโต GDP เชิงมูลค่าไม่น้อยกว่า 5% เพื่อสร้างความยืดหยุ่นในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์จีนต้องถือว่าซึมยาวและจีนพยายามหลีกหนีการพึ่งพาการพัฒนาเศรษฐกิจจากอสังหาฯ ในปี 2025 การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของจีนลดลง 14.7% และปัญหาในภาคอสังหาฯที่ปะทุขึ้นในก่อนหน้านี้ก็ยังคงดำรงอยู่ยังโดยไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทั่วถึง

อินฟลูเอเซอร์จีนรายหนึ่งออกมาให้ความเห็นเรื่องช่องว่างรวย-จนในสังคมจีน มีมากกว่าที่พวกเราคิด (ภาพแคปจาก Bilibili)
ภาคอุตสาหกรรมของจีนค่อนข้างโดดเด่น อุตสาหกรรมแห่งอนาคตคือสิ่งที่รัฐบาลจีนเน้นและเริ่มเห็นเป็นรูปธรรม โดยคาดว่ามูลค่าผลผลิตเชิงคุณภาพในปี 2026 จะทะลุ 15 ล้านล้านหยวน และโครงสร้างการพัฒนาสาขาหลัก คือ อุตสาหกรรมชิปขั้นสูง,พลังงานแห่งอนาคต, อุตสาหกรรมอวกาศเชิงพาณิชย์, การใช้เทคโนโลยีหลอมรวมกับอุตสาหกรรมดั้งเดิมจะเติบโตได้ดี การหาแนวทางเติบโตใหม่และเอไอ (AI) ในฐานะแกนกลางของ “เศรษฐกิจอัจฉริยะ” จะเน้นการทำงานร่วมกับมนุษย์มากขึ้น รวมทั้งการบูรณาการข้ามสาขา เช่น ทางการแพทย์เชิงลึก, การศึกษาและสวัสดิการสังคม จีนเองมีความได้เปรียบด้านปริมาณของผลิตภัณฑ์และฐานผู้ใช้เอไอ แต่ยังต้องยกระดับการสร้างรายได้เชิงพาณิชย์และอัตราการใช้งานให้มากขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลจีนออกมาเน้นย้ำเรื่องการกระตุ้นตลาดภายในซึ่งเป็นนโยบายเรือธงที่ทำอยู่แล้วแต่ในปี 2026 นี้จะเข้มข้นมากกว่าเดิม โดยคาดว่าปี 2026 สัดส่วนการบริโภคภาคบริการในจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก พร้อมกับการขยายตลาดใหม่นอกเหนือจากตลาดพัฒนาแล้ว การส่งออกของจีนไปยังอาเซียน แอฟริกา และละตินอเมริกาจะเติบโตอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจีนมองจากภายนอกแล้วดูเหมือนจะดีกว่าประเทศอื่นๆ แต่ก็ซ่อนความเสี่ยงและความยากลำบากไว้มากอยู่ เช่นเรื่องอัตราการว่างงานของประชากรในวัยทำงานที่ค่อนข้างสูงจนรัฐบาลจีนออกมาประกาศว่าจะไม่มีการเก็บสถิติและประกาศตัวเลขนี้อีก ความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ และกำแพงภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น หลายประเทศก็เริ่มตั้งการ์ดกับสินค้าจากจีน เพราะสินค้าของจีนหลายๆตัวที่เข้าไปทำตลาดต่างประเทศมีแนวโน้มที่จะทุ่มตลาด (อย่างเช่น รถยนต์อีวีก็เข้าข่าย) เนื่องจากอัตราการผลิตในประเทศที่ล้นเกิน และการแข่งขันจากเศรษฐกิจเกิดใหม่ ต่างเพิ่มแรงกดดันต่อการส่งออกสินค้าของจีน ยกตัวอย่างเช่น หลังวันที่ 1 ม.ค.ที่จะถึงนี้ ไทยจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้ามูลค่าตั้งแต่ 1 บาทเป็นต้นไป จากก่อนหน้าที่ยกเว้นภาษีสินค้าไม่เกิน 1,500 บาท แน่นอนว่าจะกระทบกับผู้ค้าจีนบนออนไลน์เต็มๆ

นอกจากนี้ความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาคและความเสี่ยงหนี้รัฐบาลท้องถิ่นในจีนยังมีอยู่มาก โดยมีรายงานข่าวออกมาไม่ขาดสายเกี่ยวกับปัญหาการเงินรัฐบาลท้องถิ่นจีน การค้างจ่ายเงินเดือนข้าราชการหรือรัฐวิสาหกิจ หรือโครงการก่อสร้างของรัฐฯที่ค้างจ่ายกับผู้รับเหมา เป็นต้น อุตสาหกรรมดั้งเดิมของจีนเองก็เผชิญข้อจำกัดและตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เช่น อุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นที่ปรับตัวไม่ได้หรือปรับตัวไม่ทัน ก็อาจจะต้องล้มเลิกปิดกิจการ อีกทั้งการแข่งขันในจีนที่รุนแรง ใครทุนหนาก็อยู่รอด ใครทุนบางก็เผชิญความเสี่ยงสูงที่จะต้องพับเสื่อกลับบ้าน

ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนในจีนที่มากขึ้น ประเทศพัฒนาแล้วสามารถเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวเพราะประชาชนมีรายได้และระดับการบริโภคสูง แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จีนเลือกใช้รูปแบบการเติบโตที่ขับเคลื่อนโดยการลงทุน การผลิต และการส่งออก ส่งผลให้รายได้และการบริโภคของประชาชนเติบโตในระดับต่ำ และอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ประชาชนล้าหลังเทียบกับการเติบโตทาง GDP ของประเทศมาโดยตลอด ดังนั้นอัตราการบริโภคภายในประเทศจึงเป็นจุดอ่อนใหญ่ของเศรษฐกิจจีน สาเหตุพื้นฐานประการหนึ่งที่ทำให้กำลังซื้อของประชาชนจีนอ่อนแอคือระบบการกระจายรายได้ที่เอียงไปเข้าข้างทุนมาเป็นเวลานาน การกดค่าจ้าง สวัสดิการและรายได้ของแรงงานจีน ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนรุนแรงขึ้น ความมั่งคั่งจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในมือของคนส่วนน้อย ดัชนีจีนี (Gini Coefficient) หรือตัวชี้วัดระดับความเหลื่อมล้ำด้านรายได้หรือความมั่งคั่งในสังคมของจีนอาจจะอยู่ในระดับสูงมาโดยตลอด แต่ไม่เป็นที่แน่ชัดเพราะจีนไม่เปิดเผยตัวเลขนี้ต่อสาธารณะมาหลายปีแล้ว

หนี้สาธารณะของรัฐบาลท้องถิ่นจีนยังอยู่ที่ระดับสูงและมีความเสี่ยงสูงด้วย โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถรักษาการเติบโตต่อไปได้  (ภาพจาก เทนเซนต์ นิวส์)
อีกตัวเลขที่น่าสนใจ จากรายงานทางการเงินของธนาคาร China Merchants Bank ระบุว่า ลูกค้าเพียง 2% ครอบครองสินทรัพย์มากถึง 82% ขณะที่ลูกค้าทั่วไป 97.88% ถือครองสินทรัพย์รวมกันเพียง 17.87% โดยมีมูลค่าสินทรัพย์เฉลี่ยต่อคนเพียง 11,400 หยวนหรือตีเป็นตัวเลขกลมๆประมาณ 50,000 บาทเท่านั้น ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนในสังคมจีนอย่างรุนแรง และแม้ในปัจจุบันยอดเงินฝากของภาคประชาชนจีนจะสูงถึง 150 ล้านล้านหยวน ซึ่งดูเหมือนว่าประเทศมีความมั่งคั่งอย่างมาก แต่หากพิจารณาตามโครงสร้างลูกค้าของธนาคาร China Merchants Bank จะพบว่า กลุ่มคนเพียง 2% หรือประมาณ 30 ล้านคน ครอบครองเงินฝากมากกว่า 120 ล้านล้านหยวน และคนร่ำรวยจีนส่วนใหญ่นำเงินที่มีไปใช้เพื่อการลงทุนไม่ใช่เพื่อการบริโภค ดังนั้นหากจีนต้องการเพิ่มการบริโภคในระดับสังคมโดยรวม จำเป็นต้องเพิ่มรายได้และความมั่งคั่งของประชาชนทั่วไปเพราะคนกลุ่มนี้คือกำลังหลักของการบริโภค ดังนั้นการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมของจีน ปัจจุบันถือเป็นเรื่องท้าทายของรัฐบาลจีนอย่างมาก

ประเด็นต่อมาที่เหมือน “ระเบิดเวลา”ในจีน คือการเร่งตัวของสังคมสูงวัยที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว
สังคมสูงวัยเป็นปัจจัยพื้นฐานหนึ่งที่ทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวลง จีนในฐานะประเทศกำลังพัฒนาแต่ต้องเผชิญปัญหาสังคมสูงวัยเช่นเดียวกับปัญหาในประเทศพัฒนาแล้ว เพราะผลกระทบจากนโยบายลูกคนเดียวในอดีต อัตราการเข้าสู่สังคมสูงวัยของจีนจึงเร็วกว่าทุกประเทศ และกลายเป็นปัจจัยคุกคามต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนในระยะยาว ภายในปี 2050 จีนจะมีอัตราผู้สูงอายุสูงถึง 27% อีกทั้งอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่องถึงแม้จะพยายามใช้มาตรการกระตุ้นหลายอย่าง โดยตามการคาดการณ์ของสถาบันหลายแห่งประชากรจีนในปี 2050 อาจลดลงเหลือประมาณ 1,000 ล้านคน และหากสถานการณ์โครงสร้างประชากรยังไม่คลี่คลายภายในปี 2100 ประชากรจีนอาจลดต่ำกว่า 700 ล้านคน บางการประเมินมองว่าอาจลดลงต่ำกว่า 500 ล้านคน ซึ่งจะมีขนาดประชากรใกล้เคียงกับสหรัฐฯ

เศรษฐกิจจีนในปี 2026 เต็มไปด้วยทั้งโอกาสและความท้าทาย ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สังคมที่เกี่ยวเนื่องมาจากปีก่อนๆ และการพยายามยกระดับอุตสาหกรรมภายในประเทศไปสู่ระดับสูง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนจากเอไอ จะเป็นแรงผลักดันหลัก แต่อุปสงค์ภายในที่ยังอ่อนแรง อีกทั้งความเสี่ยงจากภายนอก แรงเสียดทานจากการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ของจีน หากจีนสามารถเสริมการประสานนโยบาย ขับเคลื่อนนวัตกรรม และสร้างแนวทางการเติบโตที่ครอบคลุมได้ ก็อาจจะสามารถบรรลุเป้าของแผนการพัฒนาฯได้ และคงระดับการพัฒนาสู่ระดับสูงอย่างยั่งยืน.


กำลังโหลดความคิดเห็น