ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงประกาศแนวทางและความมุ่งมั่นในการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนในการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อกำหนดวาระการทำงานด้านเศรษฐกิจสำหรับปี 2569 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เขาระบุว่า ความก้าวหน้าครั้งสำคัญด้านเทคโนโลยีในภาคต่าง ๆ ของจีนในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 ระหว่างปี 2564-2568 ท่ามกลางความไม่แน่นอนในโลกเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่อาจมีสิ่งใดมาหยุดยั้งการพัฒนาประเทศจีนได้
“ในทางปฏิบัติได้พิสูจน์แล้วว่า ความพยายามที่จะปิดกั้นจีนนั้นไม่อาจประสบความสำเร็จได้” ผู้นำจีนกล่าว
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ อย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนักว่า การตอบโต้ของจีนแสดงถึง “ ความกล้าและความเข้มแข็งด้านคุณธรรม” และ “ ได้รับการเคารพในหมู่ประชาคมโลก"
นอกจากนั้นยังได้เน้นย้ำการจัดลำดับความสำคัญของการแก้ไขปัญหาท้าทายภายในประเทศ ซึ่งรวมถึงการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่15 ระหว่างปี 2569-2573 ที่จะมีการเผยแพร่ในเดือนมีนาคม 2569 โดยย้ำว่าการวางแผนควรสอดคล้องกับความเป็นจริง นำมาใช้ได้ในทางปฏิบัติ ไม่โฆษณาเกินจริงหรือตั้งเป้าหมายไม่สมจริงเพื่อหวังให้เป็นที่ยอมรับ
ผู้นำจีนยอมรับว่าการลงทุนที่ชะลอตัวเป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่เน้นย้ำว่ายังมีพื้นที่สำหรับการลงทุนอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นในด้านสินทรัพย์ทางกายภาพหรือทุนมนุษย์ พร้อมให้คำมั่นว่าจะปราบปราม “การบิดเบือน” ข้อเท็จจริงของโครงการลงทุนและโครงการพัฒนาต่าง ๆ โดยจะปรับปรุงวิธีประเมินโครงการให้มีความแม่นยำและอิงพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น เจ้าหน้าที่ต้องมุ่งสร้างผลงานที่พิสูจน์ได้ มิใช่แค่การโอ้อวด
ด้านนักวิเคราะห์ให้ความสนใจการใช้ถ้อยคำของที่ประชุม ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการประสานการทำงานให้ดียิ่งขึ้นระหว่างการทำงานเศรษฐกิจในประเทศกับ “การต่อสู้ฝ่าฟัน”ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยการใช้คำ“การต่อสู้ฝ่าฟัน” บ่งชี้ถึงการประเมินของรัฐบาลจีนแล้วว่า สงครามการค้าอาจคงอยู่ต่อไปและนอกจากสหรัฐฯแล้วสงครามจะขยายวงกว้างไปยังชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ เช่นสหภาพยุโรปอีกด้วย
ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯและชาติพันธมิตรได้จำกัดไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเซมิคอนดักเตอร์ จีนเรียกความเคลื่อนไหวดังกล่าวว่า เป็นการพยายามปิดกั้นความก้าวหน้าของตน จีนจึงหันมาเน้นการพึ่งพาตนเองมากขึ้นเพื่อตอบโต้สงครามการค้าที่มีสหรัฐฯเป็นหัวเรือใหญ่
ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์


