ในช่วงฤดูหนาว เดือน ธ.ค. ปี 1937 กองทัพญี่ปุ่นบุกยึดครองนานกิง นครหลวงของจีนในขณะนั้น ในช่วงเพียง 6 สัปดาห์ของการยึดเมืองนานกิง ทหารจากแดนพระอาทิตย์อุทัยได้ฆ่าพลเรือนจีนและทหารจีนที่ไร้อาวุธ ถึง 300,000 คน!
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นาย จอห์น ราเบ (หรือสำเนียงแบบเยอรมันคือ โยห์น ราเบอ) เป็นตัวแทนของบริษัทซีเมนส์ที่ไปประจำที่จีนทั้งยังเป็นหัวหน้าพรรคนาซีประจำนานกิงด้วย เขาเห็นความโหดร้ายป่าเถื่อนที่ทหารญี่ปุ่นกระทำต่อชาวจีนในนานกิง และได้เขียนเล่าฯในบันทึกส่วนตัวของเขา ต่อมา ไดอารี่เล่มนี้ได้กลายเป็นหลักฐานที่สมบูรณ์ที่สุดของเหตุการณ์ฆ่าโหดชาวจีนที่นานกิง
ระหว่างที่กองทัพญี่ปุ่นบุกยึดเมืองนานกิง จอห์น ราเบ ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดตั้ง “เขตปลอดภัยนานกิง” เขตปลอดภัยนานกิงที่มีขนาดร่วม 4 ตารางกิโลเมตรแห่งนี้ ได้ช่วยชีวิตพลเรือนจีนไว้ได้ ราว 250,000 คน
ท่ามกลางความวุ่นวายโกลาหลที่อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ซึ่งภัยอันตรายอาจคร่าชีวิตได้ทุกเมื่อ จอห์น ราเบ ยืนหยัดอยู่ในนานกิงและเจรจากับทหารญี่ปุ่น เพื่อช่วยชีวิตเหยื่อสงครามและปกป้องเขตปลอดภัย ขณะเดียวกัน เขาได้เขียนบันทึกถึงเหตุการณ์สุดโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา
“ผมต้องการเป็นพยานเหตุการณ์โหดเหี้ยมที่ผมเห็นมันมาด้วยตาตัวเอง เพื่อที่ผมจะได้พูดและเป็นพยานในฐานะผู้เห็นเหตุการณ์ในภายหลัง...อาชญากรรมที่โหดร้ายเลือดเย็นนี้เกิดขึ้นในช่วง 10 วันหลังจากที่กองทัพญี่ปุ่นยึดเมืองนานกิงได้แล้ว...เรื่องนี้ต้องถูกเปิดโปงให้โลกได้รู้!” ราเบ เขียนไว้เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 1937
หนึ่งวันหลังจากที่นานกิงถูกกองทัพญี่ปุ่นบุกยึดเมืองได้อย่างเบ็ดเสร็จ ในวันที่ 14 ธ.ค. 1937 จอห์น ราเบบันทึกไว้ในไดอารี่ว่า เขาได้ขับรถยนต์ไปตามถนนสายต่างๆ มองไปทางไหนมีแต่บ้านเรือนที่พังพินาศ ข้าวของเสียหายกระจัดกระจาย ศพถูกทิ้งเกลื่อนกราด นี่คือ หายนะที่แท้จริงที่เขาได้เห็นมากับตาตัวเอง!
“ทุกๆ 100 เมตร หรือ 200 เมตร พวกเราพบศพ... ทหารญี่ปุ่นบุกเข้ามาในเมืองโดยแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 10 หรือ 20 นาย และบุกปล้นร้านค้า ถ้าผมไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ผมจะไม่มีวันเชื่อเลย” ข้อความในบันทึกส่วนตัวของ จอห์น ราเบ
อีกหน้าหนึ่งในไออารี่ของจอห์น ราเบ...ได้เขียนเล่าชะตากรรมของเด็กชายวัย 7 ขวบ ถูกแทงด้วยดาบปลายปืนสี่ครั้ง เด็กชายเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในสองวันต่อมา...เขาจากไปอย่างเงียบๆโดยที่ไม่ร้องไห้เลย
“ในไดอารี่ของ จอห์น ราเบ ปู่ของผม เล่าว่า ในตอนนั้นสมาชิกในเขตปลอดภัยได้เขียนจดหมายร้องเรียนไปยังสถานทูตญี่ปุ่นหลายครั้ง มีการประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำของทหารญี่ปุ่น และเรียกร้องให้หยุดทำร้ายหยุดฆ่าพลเรือนจีน แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ก็ไร้ประโยชน์” โธมัส ราเบ หลานของ จอห์น ราเบอ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัว
ด้วยความทุ่มเท เสียสละ ทั้งเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยพลเรือนจีนให้รอดพ้นจากเอื้อมมือมัจจุราชทหารญี่ปุ่น ทำให้คนจีนเรียกฉายาเขาเป็น “พระโพธิสัตว์แห่งนานกิง”
หลังสงครามจอห์น ราเบ กลับบ้านเกิดในเยอรมนี แม้ในตอนกลับไปถึงเยอรมนีเขาได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ เขาได้เปิดโปงการฆ่าโหดชาวจีนที่นานกิงด้วยการไปบรรยายและฉายภาพยนตร์ฯตามที่ต่างๆ ทว่า ต่อมา เขาถูกรัสเซียและอังกฤษจับกุมตัวไปสอบสวนฯ และต้องผจญกับ“นโยบายล้างความเป็นนาซี” ทำให้ราเบและครอบครัวต้องมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากมาก ต้องอาศัยในอาพาร์ทเมนท์เล็กๆที่มีห้องเดียว ไม่มีงานทำ และอดอยาก...
จนกระทั่งในปี 1948 ชาวนานกิงได้รู้ว่า จอห์น ราเบ และครอบครัว มีชีวิตอย่างยากลำบากมาก พวกเขาระดมเงินบริจาคได้ถึง 100 ล้านหยวน ตามกฎอัตราแลกเปลี่ยนของยุครัฐบาลก๊กมินตั๋งในตอนนั้นสามารถแลกได้ 2,000 เหรียญสหรัฐและส่งไปช่วยเหลือครอบครัวของราเบ ซึ่งสมัยนั้นนับเป็นเงินไม่น้อยเลย ต่อมานายกเทศมนตรีนานกิงได้เดินทางไปเยอรมนีผ่านสวิสเซอร์แลนด์พร้อมกับนำเสบียงอาหารสี่กล่องใหญ่ๆไปมอบให้กับครอบครัวของราเบ จากกลางปี 1948 จนถึงสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ชาวนานกิงยังจัดส่งพัสดุอาหารกล่องใหญ่ให้กับราเบทุกเดือนด้วยความขอบคุณอย่างลึกซึ้งในน้ำใจของอดีตผู้นำเขตปลอดภัยนานกิง
“การจดจำประวัติศาสตร์เป็นเรื่องสำคัญ...นาซีเยอมันฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว อาชญากรรมต่อมนุษย์ชาติต้องไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยประวัติศาสตร์ที่ดำมืด หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมนีได้สร้างสันติภาพและรับผิดชอบ...แต่ ทว่า โชคร้ายที่บางประเทศไม่ได้เรียนรู้อดีตที่ผ่านมา”
จอห์ห์น ราเบ ถึงแก่กรรมในปี 1950 โดยความรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของราเบ ยังตราตรึงในใจของชาวจีนตลอดมาโดยที่ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา
ที่หลุมฝังศพของ จอห์น ราเบ มักมีช่อดอกไม้สดและโน้ตลายมือเขียน อย่างข้อความที่เขียนเมื่อไม่นานมานี้ “ขอบคุณ มิสเตอร์ ราเบ ‘คนดีแห่งนานกิง’ ชาวจีนไม่เคยลืมคุณเลย”
ที่มาข้อมูล ซินหัว /สารานุกรมจีน “ไป๋ตู้”


