xs
xsm
sm
md
lg

New China Insights : ว่าด้วยเรื่องการจัดการน้ำท่วมของจีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


จีนประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างเลวร้ายจากอดีต และได้พัฒนาระบบจัดการและป้องกันน้ำท่วมมาอย่างโชกโชน  จีนกำลังก้าวจาก “การป้องกันระดับสิบปีสู่ระดับป้องกันได้เป็นร้อยปี”  อัตราเสียหายจากภัยพิบัติของจีนลดลงกว่า 65 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับสิบปีก่อน (ภาพจากสื่อจีน )
ร่มฉัตร จันทรานุกูล

ในบทความนี้ผู้เขียนขอหยิบยกประเด็นที่พวกเราคนไทยให้ความสนใจกันอยู่ เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์มหาอุทกภัยในหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างประเมินค่ามิได้ จะว่าไปแล้วเรื่องน้ำท่วมของไทยเป็นปัญหาเรื้อรังนาน ไม่ใช่แค่ที่หาดใหญ่ ภูมิภาคอื่นๆของไทย ก็ยังต้องเผชิญปัญหาน้ำท่วมโดยยังไม่ได้รับการแก้ไขหรือการจัดการเยียวยาฯไม่ทั่วถึง ผู้เขียนสังเกตว่าคนไทยทุกวันนี้ถ้าจะซื้อบ้านหรือเลือกที่อยู่อาศัย ต้องตรวจสอบกันให้ดีก่อนว่าเป็นพื้นที่น้ำท่วมหรือไม่ เคยเจอผลกระทบจากน้ำท่วมหรือไม่ เป็นต้น จากพฤติกรรมของคนไทยตรงนี้สะท้อนเรื่องปัญหาน้ำท่วมได้เป็นอย่างดีว่า น้ำท่วมเป็น “ปัญหาคู่กับสังคมไทย”

มองมาที่จีนซึ่งเป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่และมีแม่น้ำหลายสาย ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาอุทกภัยมาโดยตลอด ดังนั้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจีนจึงยกการจัดการและป้องกันน้ำท่วมเป็นภารกิจสำคัญอันดับต้นๆเพราะเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศและชีวิตประชาชน ท่ามกลางความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกและสภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดบ่อยครั้ง ทำให้จีนสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมแบบบูรณาการที่ผสมผสานทั้งมาตรการเชิงวิศวกรรมและไม่ใช่เชิงวิศวกรรม นั่นคือการผสานภูมิปัญญาแบบดั้งเดิมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่

จีนได้วางรากฐานระบบป้องกันน้ำท่วม เช่น เขื่อนและคันกั้นน้ำ จีนได้สร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งประเทศมีเขื่อนทั้งหมดประมาณ 98,000 แห่งและความจุรวมมากกว่า 900,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนเหล่านี้ทำหน้าที่กักน้ำและลดระดับน้ำหลาก ช่วยลดความรุนแรงของอุทกภัย อย่างในปี 2020 เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในลุ่มน้ำแยงซี เขื่อนสามโตรกได้บริหารจัดการน้ำอย่างแม่นยำ ลดปริมาณน้ำหลากสูงสุดจาก 79,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เหลือ 45,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้ไม่ต้องเปิดพื้นที่รับน้ำท่วมฉุกเฉิน ช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้หลายล้านคน

ขณะเดียวกันจีนยังสร้างคันกั้นน้ำรวมระยะทาง 436,500 กิโลเมตร โดยเฉพาะคันกั้นน้ำสายหลักของแม่น้ำแยงซี ส่วนคันกั้นน้ำตอนล่างของแม่น้ำเหลือง (หวงเหอ) สามารถรับมือกับน้ำท่วมได้เป็นอย่างดี จีนจัดวางระบบการป้องกันน้ำเชิงโครงสร้างแบบกักน้ำด้านบน-ระบายน้ำด้านล่าง และแบ่งพื้นที่หน่วงน้ำทั้งสองฝั่ง ต่อมาคือสร้างพื้นที่รับน้ำหลากและพื้นที่เก็บน้ำท่วม ในลุ่มน้ำสำคัญ เช่น แม่น้ำแยงซีและแม่น้ำไหวเหอ จีนได้วางแผนพื้นที่กักเก็บและหน่วงน้ำท่วมระดับชาติไว้ 98 แห่ง ซึ่งมีความจุรวม 106,700 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อลดความกดดันของน้ำหลากในลำน้ำสายหลัก

ระบบแจ้งเตือนระดับน้ำในเขื่อนของจีน (ภาพจาก เวยปั๋ว)
ในปี 2021 เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องบริเวณลุ่มน้ำไหวเหอ จนต้องเปิดประตูระบายน้ำหวางเจียปาในรอบ 13 ปี ส่งผลให้พื้นที่รับน้ำหลากเหมิงหว๋อถูกนำมาใช้ เพื่อช่วยลดระดับน้ำหลากสูงสุดของลำน้ำไหวเหอและสกัดภัยน้ำท่วมในเมืองสำคัญ กลยุทธ์นี้สะท้อนแนวคิดการบริหารจัดการน้ำของจีน ที่เน้นมองภาพรวมทั้งระบบและแบ่งความเสี่ยงร่วมกัน ดังนั้นสำหรับการป้องกันและบรรเทาภัยน้ำท่วมของจีนนั้น ใช้มาตรการด้านวิศวกรรมเป็นหัวใจสำคัญ

โครงการเขื่อนสามโตรกเป็นโครงการวิศวกรรมขนาดใหญ่ที่สร้างประโยชน์ด้านพลังงานและควบคุมน้ำ แต่ก็มาพร้อมกับผลกระทบด้านลบที่ซับซ้อนทั้งต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และความมั่นคง ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างต่อเนื่อง มีข้อขัดแย้งหลักๆ เกี่ยวกับ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างระบบนิเวศการกัดเซาะ และการย้ายถิ่นฐานของประชาชนจำนวนมหาศาล ความปลอดภัยและความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวหรือน้ำท่วม ตลอดจนมีกระแสถกเถียงเรื่องประสิทธิภาพในการป้องกันน้ำท่วม รวมถึงประเด็นการจัดการน้ำข้ามพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่รัฐบาลจีนยืนยันถึงประโยชน์มหาศาล แต่ผู้เชี่ยวชาญและนานาชาติยังคงตั้งข้อสังเกตถึงข้อเสียที่รุนแรงของโครงการนี้ ปัจจุบันเขื่อนสามโตรก เป็นโครงสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จีนย้ำถึงบทบาทสำคัญทั้งด้านการป้องกันน้ำท่วม การผลิตไฟฟ้าและการเดินเรือ โดยช่วยลดความเสี่ยงของอุทกภัยในพื้นที่ตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ำแยงซีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จีนยังดำเนินมาตรการป้องกันน้ำท่วมที่ไม่ใช่โครงการวิศวกรรมซึ่งทรงความสำคัญไม่แพ้กัน ระบบเตือนภัยน้ำท่วมได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผ่านเทคโนโลยีด้านอุตุนิยมวิทยา การตรวจวัดระดับน้ำและการพยากรณ์ โดยระบบฯเหล่านี้ช่วยให้การคาดการณ์น้ำท่วมมีความแม่นยำและความรวดเร็วมากขึ้น เช่น สำนักงานป้องกันอุทกภัยและภัยแล้งแห่งชาติจีนได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการติดตามฯ และเตือนภัยแบบเรียลไทม์ในลุ่มแม่น้ำสายหลักทั่วประเทศ นอกจากนี้ระบบบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินได้รับการปรับปรุงให้สมบูรณ์มากขึ้น หน่วยการปกครองท้องถิ่นทุกระดับได้จัดทำแผนรับมือเหตุฉุกเฉินอย่างละเอียด จัดตั้งทีมกู้ภัยมืออาชีพและจัดหาอุปกรณ์กู้ภัยที่ทันสมัย การให้ความรู้แก่ประชาชนและการมีส่วนร่วมของชุมชน ได้รับการส่งเสริมผ่านการประชาสัมพันธ์และการฝึกอบรม เพื่อยกระดับความตระหนักและทักษะการช่วยเหลือตนเองเมื่อเกิดน้ำท่วม


จีนยังได้ออกกฎหมายและนโยบายหลายฉบับเพื่อเป็นหลักประกันการบริหารจัดการน้ำท่วม เช่น กฎหมายป้องกันน้ำท่วมแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งกำหนดหน้าที่ของรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ อย่างชัดเจน รวมถึงมาตรฐานการก่อสร้างและการจัดการโครงการป้องกันน้ำท่วม แผนฉุกเฉินการป้องกันน้ำท่วมและภัยแล้งระดับชาติก็ได้กำหนดขั้นตอนและมาตรการตอบสนองสถานการณ์ฉุกเฉินไว้อย่างละเอียด

ในด้านงบประมาณ รัฐบาลกลางและท้องถิ่นได้จัดสรรงบจำนวนมากทุกปี เพื่อการก่อสร้าง ปรับปรุง และบำรุงรักษาโครงการป้องกันน้ำท่วม ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบบริหารจัดการน้ำท่วมของประเทศ จีนเริ่มมีการใช้เอไอ (AI) วิเคราะห์ภาพดาวเทียมและคาดการณ์ฝนตกหนักล่วงหน้า 72 ชั่วโมง เมื่อปี 2024 สามารถอพยพประชาชนกว่า 120,000 คน ผ่านส่งข้อความเตือนภัยผ่านแอปรายงาน “สถานการณ์มณฑลกว่างตง” (粤省事) ครอบคลุมผู้ใช้มากกว่า 30 ล้านคน (เป็นแพลตฟอร์มบริการภาครัฐแบบดิจิทัลบนมือถือที่รัฐบาลมณฑลกว่างตง หรือกวางตุ้งจัดทำขึ้นเพื่อให้ปฏิบัติการต่างๆในการดูแลประชาชนง่ายขึ้น)

จีนตระหนักรู้เริ่มนำ AI เข้ามาบริหารจัดการน้ำทั่วประเทศ (ภาพจาก เวยปั๋ว)
ปัญหาน้ำท่วมขังในระดับเมือง จีนได้ปรับปรุงจุดเสี่ยงน้ำท่วมกว่า 2,800 จุด ก่อสร้างและปรับปรุงท่อระบายน้ำรวมกว่า 100,000 กิโลเมตร อย่าง นครเซินเจิ้นและนครอู่ฮั่นเป็นต้นแบบ “เมืองฟองน้ำ” (Sponge City) ทำให้ความถี่ของน้ำท่วมขังในเขตเมืองลดลง 40 เปอร์เซ็นต์ –60 เปอร์เซ็นต์ อธิบายให้เห็นภาพของ “เมืองฟองน้ำ”คือเมืองที่สร้างพื้นถนนที่น้ำซึมได้ ไม่ใช่พื้นปูนแข็งๆ แต่เป็นพื้นแบบที่น้ำซึมผ่านลงดินได้ อีกทั้งออกแบบสวนสาธารณะให้ปรับเปลี่ยนเป็นลานน้ำท่วมได้ชั่วคราว เมื่อฝนตกหนักก็ปล่อยให้น้ำไหลไปกองที่สวนก่อน เพื่อลดน้ำท่วมถนน และมีบ่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ น้ำฝนจึงถูกเก็บไว้ใช้รดต้นไม้หรือทำความสะอาดเมือง ตลอดจนมีการสร้าง “หลังคาเขียว” (Green Roof) คือการปลูกต้นไม้บนหลังคา ช่วยดูดซับน้ำฝน เป็นต้น

การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการน้ำ เช่น จีนมีสร้างสถานีตรวจวัดน้ำกว่า 12,000 แห่งทั่วประเทศ สามารถอัปเดตข้อมูลของแม่น้ำสายสำคัญทุก 5 นาที รัฐบาลท้องถิ่นในมณฑลเจ้อเจียงและกวางตุ้งได้ทดลองระบบ Digital Twin Watershed ที่จำลองประสิทธิผลของแผนป้องกันน้ำท่วมต่างๆ ช่วยลดเวลาตัดสินใจมาตรการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินลดลง 70 เปอร์เซนต์

นอกจากนี้ยังมีการยกระดับศักยภาพการตอบสนองเหตุฉุกเฉิน อย่างจัดตั้งกองกำลังดับเพลิงและกู้ภัยระดับชาติ พร้อมยานพาหนะสูบน้ำขนาดใหญ่ รถสะเทินน้ำสะเทินบกและอุปกรณ์พิเศษ สร้างระบบคลังสำรองฉุกเฉิน “1+31+N” (1 คลังกลาง 31 คลังระดับมณฑลและคลังสำรองประจำพื้นที่จำนวนมาก) ในฤดูน้ำหลากปี 2024 ที่ผ่านมาจีนส่งกำลังช่วยเหลือ 230,000 ครั้ง และอพยพประชาชนกว่า 3.86 ล้านคนทั่วประเทศ


การสร้างระบบการมีส่วนร่วมของสังคมก็เป็นสิ่งสำคัญ จีนได้จัดตั้งระบบผู้รับผิดชอบประจำแม่น้ำและทะเลสาบ โดยมีการแต่งตั้งผู้รับผิดชอบกว่า 1.2 ล้านคนทั่วประเทศและแก้ไขปัญหาในแม่น้ำกว่า 1 ล้านกรณีแล้ว จัดกิจกรรมให้ความรู้ประชาชนทั่วประเทศ ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ระดับหมู่บ้าน ระบบประกันภัยภัยพิบัติพัฒนาอย่างต่อเนื่อง กลไกการลงทุนเรื่องการจัดการน้ำท่วมที่หลากหลาย โดยใช้กลไกเงินอุดหนุนจากส่วนกลาง + การจัดสรรงบฯของท้องถิ่น + ทุนเอกชน ในปี 2024 เงินงบประมาณสำหรับจัดการเรื่องน้ำของรัฐบาลกลางอยู่ที่ 120,000 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ และมีการออกพันธบัตรพิเศษด้านการป้องกันน้ำท่วมรวม 80,000 ล้านหยวน

ปัจจุบันจีนได้สร้างระบบบริหารจัดการอุทกภัยแบบโครงสร้างเป็นฐานและใช้เทคโนโลยีเสริมพลัง มีระบบกฎหมายรองรับและสร้างช่องทางให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรม มาตรฐานการป้องกันน้ำท่วมของจีนกำลังก้าวจาก “การป้องกันระดับสิบปีไปสู่ระดับป้องกันได้เป็นร้อยปี” อัตราความเสียหายจากภัยพิบัติของจีนลดลงกว่า 65 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับสิบปีก่อน แต่ภายใต้ความไม่แน่นอนของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จีนยังต้องมุ่งพัฒนาในด้านการจำลองสถานการณ์สุดขั้วและการสร้างเมืองที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

หันกลับมามองไทย จะเห็นว่าระบบการป้องกันน้ำท่วมของไทยเชิงโครงสร้างและระบบยังถือว่าล้าหลังและยังต้องมีจุดที่ต้องแก้ไขปรับปรุงอีกมาก จากปัญหาน้ำท่วมของไทยที่เกิดขึ้นหลายครั้งเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าภาคประชาชนและเอกชนดูเหมือนจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ว่องไวกว่ารัฐบาล งบประมาณรัฐมากมายควรได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและนำมาช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และไม่ใช่ว่าพอเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นทีไรรัฐบาลก็ออกมาประกาศขอรับบริจาคสิ่งของจากประชาชน! ผู้เขียนหวังว่ารัฐบาลไทยจะตระหนักรู้ถึงปัญหาดังกล่าวและแก้ไขปัญหาให้ได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน


กำลังโหลดความคิดเห็น