โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
ผู้เขียนเชื่อว่าความสัมพันธ์สองประเทศระหว่างจีนและสหรัฐฯเป็นประเด็นที่ผู้คนทั่วโลกจับตา เพราะเป็นประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลกที่มีแนวทางการพัฒนาและการปกครองต่างกันสุดขั้ว อีกทั้งความสัมพันธ์สองประเทศนี้ที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยจะราบรื่นนัก ทั้งสงครามน้ำลายและสงครามการค้า การใช้มาตรการกีดกันในรูปแบบต่างๆ ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มสูงขึ้นและกระทบกับภาคเศรษฐกิจทั่วโลก
จากการผงาดขึ้นของจีน จนขนาดเศรษฐกิจและอิทธิพลในโลกกำลังหายใจรดต้นคอสหรัฐอเมริกาอยู่นั้น สหรัฐฯเคยพยายามใช้นโยบายการสกัดกั้นหลายรูปแบบเพื่อหยุดยั้งการผงาดขึ้นของจีน แต่มีนักวิชาการจีนเคยให้ความเห็นอย่างน่าสนใจว่า ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนจากความเป็นปฏิปักษ์แบบสองขั้ว ไปสู่ความสัมพันธ์ที่มีโครงสร้างซับซ้อน ในแบบการแข่งขันควบคู่ความร่วมมือ!
ภายใต้ยุคโลกาภิวัตน์ที่กำลังพัฒนา ไม่มีประเทศไหนที่จะอยู่แบบโดดเดี่ยวได้ จีนและสหรัฐฯมีปฏิสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจ การค้า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และมิติทางวัฒนธรรม เริ่มต้นจากความสัมพันธ์โดยรวมของสองประเทศด้านการเมืองตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นจนปัจจุบัน
ในระยะเริ่มต้นหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ. 1949 สหรัฐฯมองจีนว่าเป็นภัยคุกคามจากการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มสกัดกั้นผ่านการโดดเดี่ยวทางการเมือง การปิดล้อมทางเศรษฐกิจและการกดดันทางทหาร แนวคิดแบบเผชิญหน้าดังกล่าวปะทุขึ้นถึงขีดสุดในช่วงสงครามเกาหลี ความขัดแย้งไต้หวัน และสงครามเวียดนาม
แม้การเยือนจีนของประธานาธิบดีนิกสันในปี ค.ศ. 1972 จะเริ่มต้นกระบวนการปรับความสัมพันธ์ปกติกัน แต่สหรัฐฯ ก็ยังคงมองจีนในฐานะคู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์ หลังการปฏิรูปและเปิดประเทศหลังปี 1979 จีนเข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลกผ่านกลยุทธ์ “แลกตลาดกับเทคโนโลยี” ขณะที่สหรัฐฯ ได้รับประโยชน์จากสินค้าต้นทุนต่ำและตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ หลังจากจีนเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2001 มูลค่าการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯเพิ่มจาก 74,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2000 เป็น 519,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2016 จีนกลายเป็นตลาดส่งออกใหญ่อันดับสามของสหรัฐฯ
แต่หลังปี 2017 รัฐบาลทรัมป์สมัยแรกกำหนดให้จีนเป็นคู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์ ต่อมารัฐบาลไบเดนยังคงยึดแนวทางแข่งขันเป็นหลักส่วนความร่วมมือเป็นรอง สหรัฐฯ ได้ดำเนินยุทธศาสตร์กีดกันจีนในด้านเทคโนโลยีหลายด้าน และเริ่มตั้งกำแพงการค้ากับจีนที่สูงลิบ แนวคิดที่มุ่งเผชิญหน้าดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีตกอยู่ในความไม่แน่นอนและไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน แต่การพึ่งพากันทางเศรษฐกิจยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยประคองเสถียรภาพของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ เพราะการร่วมมือกันมาอย่างยาวนาน ถึงแม้ว่าจะพยายามแยกห่วงโซ่ออกจากกันแต่ในหลายสินค้า อุตสาหกรรมยังคงต้องพึ่งพากันอยู่ดี
การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการค้าระหว่างสองประเทศที่เปลี่ยนไปคือ สัดส่วนสินค้าเครื่องจักรและอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่มสินค้าส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ เพิ่มจาก 42% ในปี 2000 เป็น 58% ในปี 2022 ขณะที่สัดส่วนสินค้าประเภทใช้แรงงานเข้มข้นลดลงจาก 32% เหลือ 18% ด้านสหรัฐฯ สัดส่วนสินค้าเกษตรที่ส่งออกไปจีนเพิ่มจาก 12% ในปี 2010 เป็น 18% ในปี 2022 ส่วนสินค้าเทคโนโลยีลดลงจาก 25% เป็น 15% จีนเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯติดต่อกันมานานหลายปีและแต่ละปีเป็นจำนวนมหาศาล นี่คือหนึ่งเหตุผลหลักที่สหรัฐฯเริ่มสงครามการค้าและตั้งกำแพงภาษีนำเข้าระดับสูงกับสินค้าจีน
ในด้านของโครงสร้างการลงทุน มูลค่าการลงทุนโดยตรงของจีนในสหรัฐฯ ลดจาก 109,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2016 เหลือ 78,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 ขณะที่มูลค่าการลงทุนโดยตรงของสหรัฐฯ ในจีนเพิ่มจาก 91,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2016 เป็น 120,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 แต่หลังจากความตึงเครียดของความสัมพันธ์ที่ลากยาวมาอย่างต่อเนื่องจนปี 2025 ทำให้หลายบริษัทสหรัฐฯคิดหนักกับการลงทุนในจีนมากขึ้น บางแห่งเลือกที่จะย้ายฐานการผลิตออกไปประเทศอื่น เช่นในกลุ่มประเทศอาเซียน มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า ภาคเอกชนจีนและสหรัฐฯ มีการร่วมมือกันผ่านตลาดประเทศที่สาม โดยผสานข้อได้เปรียบด้านโครงสร้างพื้นฐานของจีนเข้ากับความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เพื่อสร้างผลประโยชน์ร่วม เช่น บริษัทจากทั้งสองประเทศได้ร่วมกันเข้าร่วมโครงการด้านพลังงานและการคมนาคมในเวียดนามหลายโครงการ
ด้านการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สหรัฐฯผลักดันกฎหมายชิปและวิทยาศาสตร์ มอบเงินอุดหนุน 53,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมกำหนดเงื่อนไขว่า บริษัทที่รับเงินสนับสนุนต้องไม่ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีชิปขั้นสูงในจีนเป็นเวลา 10 ปี ในทางกลับกันจีนสนับสนุนอุตสาหกรรมผ่านกองทุนอุตสาหกรรมแห่งชาติ โดยทุ่มเงินมากกว่า 340,000 ล้านหยวนเพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการผลิตชิประดับ 28 นาโนเมตรและเทคโนโลยีที่ใช้กันแพร่หลายอื่นๆ
สหรัฐฯ มีความได้เปรียบในด้านอัลกอริทึมพื้นฐาน การออกแบบชิปและทรัพยากรข้อมูล ขณะที่จีนโดดเด่นในด้านการใช้งานจริง ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และการพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ ในปี 2023 การระดมทุนทั่วโลกของบริษัทเทคโนโลนีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) มาจากสองประเทศนี้รวมกันถึง 78% โดยสหรัฐฯ คิดเป็น 45% และจีนคิดเป็น 33% ตรงนี้เป็นข้อมูลที่สำคัญเพราะสองประเทศนี้กำลังแข่งขันกันในอุตสาหกรรมแห่งโลกอนาคตและหากดูจากความก้าวหน้าในปัจจุบันต้องบอกว่าค่อนข้างสูสีกันทั้งในแง่ของการทุ่มทุนของรัฐบาลและการทุ่มเทของเอกชน
สหรัฐฯ ดำเนินนโยบายฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมผ่านกฎหมายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการจ้างงาน โดยทุ่มงบประมาณ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานใหม่เซมิคอนดักเตอร์และชีวการแพทย์ ในปี 2023 สัดส่วนมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตต่อ GDP ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 11.2% สูงกว่าปี 2010 อยู่ 1.8% ด้านจีนเองก็มุ่งขยายอุปสงค์ภายในประเทศ เสริมความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุตสาหกรรม รวมทั้งยกระดับนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อสร้างระบบพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยการหมุนเวียนภายในประเทศเป็นหลักและการหมุนเวียนระหว่างประเทศส่งเสริมกันและกัน ในปี 2023 ยอดค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคของจีนอยู่ที่ 44 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับปี 2019
ด้านของการศึกษาจนถึง ปี 2023 โครงการความร่วมมือจีน–สหรัฐฯ มีสถาบันร่วมดำเนินงาน 71 แห่ง และโครงการร่วม 286 โครงการ ครอบคลุมสาขาวิศวกรรม แพทยศาสตร์ บริหารธุรกิจ และอื่นๆ เช่น มหาวิทยาลัยนิวยอร์กเซี่ยงไฮ้ (NYU Shanghai) และมหาวิทยาลัยดุ๊ก คุนซาน ( Duke Kunshan) ซึ่งใช้รูปแบบการเรียน “2+2” หรือ “3+1” ทำให้นักศึกษาสามารถได้รับปริญญาคู่จากทั้งจีนและสหรัฐฯ ที่ผ่านมานักศึกษาจีนถือเป็นนักศึกษาต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าจีนและสหรัฐฯจะมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดมาตลอด แต่ความต้องการของนักศึกษาจีนที่มีศักยภาพและต้องการไปเรียนต่อที่สหรัฐฯยังคงมีอยู่มาก และแม้สหรัฐฯ ใช้มาตรการจำกัดความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับจีน แต่การแลกเปลี่ยนทางวิชาการในระดับประชาชนยังคงคึกคัก
ในปี 2023 นักวิทยาศาสตร์จีนและสหรัฐฯ ร่วมตีพิมพ์ผลงานวิจัย 82,000 ฉบับ คิดเป็น 28% ของบทความวิชาการนานาชาติที่จีนร่วมเขียน มีกิจกรรมอย่างเช่น การประชุมผู้นำเยาวชนจีน–สหรัฐฯ, Harvard China Forum, Yale China Forum ดึงดูดเยาวชนหลายพันคนเข้าร่วมในแต่ละปี เวทีเหล่านี้ช่วยให้เยาวชนสองประเทศเข้าใจวัฒนธรรมซึ่งกันและกันและร่วมถกเถียงปัญหาร่วมสมัย องค์กรภาคประชาชนอย่างศูนย์นวัตกรรมร่วมจีน–สหรัฐฯ และองค์กรความร่วมมือด้านพลังงานสะอาดจีน–สหรัฐฯ ส่งเสริมความร่วมมือด้านโครงการ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการแลกเปลี่ยนบุคลากร หลายคนก็อาจจะยังไม่รู้ว่า กระทรวงศึกษาจีนดำเนินโครงการ “One Hundred Thousand Strong” ที่ตั้งเป้าดึงดูดคนหนุ่มสาวอเมริกัน 100,000 คนมาเรียนที่จีนโดยให้ทุนการศึกษาแบบเต็มภายในปี 2025
ความสัมพันธ์จีน–สหรัฐฯ ในปัจจุบันคือแสวงหาความสมดุลท่ามกลางการแข่งขันและความร่วมมือ ผู้เขียนมองว่าเป็นการปะปนของการแข่งขันและความร่วมมือในรูปแบบใหม่ ซึ่งไม่ใช่ทั้งเกมผลรวมศูนย์และไม่ใช่ความร่วมมือแบบราบรื่น เป็นการผสมผสานของการแข่งขัน ความร่วมมือ การเผชิญหน้า และการประสานประโยชน์ ในยุคที่โลกาภิวัตน์เผชิญแรงเสียดทาน จีนและสหรัฐฯ จำเป็นต้องรักษาความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ผ่านการสร้างกติกาการแข่งขัน ขยายพื้นที่ความร่วมมือ และเสริมสร้างสายสัมพันธ์ด้านมนุษยธรรม เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชาติมหาอำนาจที่ “แข่งขันแต่ไม่แตกหัก ต่อสู้แต่ไม่ตัดขาด”
ผู้เขียนเชื่อว่าภายในการแข่งขันและความขัดแย้งของทั้งสองประเทศที่กำลังเกิดขึ้นนี้ กำลังหาจุดร่วมที่ลงตัวเห็นได้จากรายงานข่าวของฝั่งจีนและสหรัฐฯถึงแม้มีการเสนอข่าวด้านลบอยู่มาก แต่ก็มีสัญญาณที่ดีออกมาบ้างเป็นระยะๆ เช่นการระงับมาตรการภาษีชั่วคราวจากฝั่งสหรัฐฯต่อจีน การพบปะของประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในเกาหลีใต้พร้อมกับประกาศว่าทรัมป์จะไปเยือนจีนในปีหน้า (2026)
ประเทศไทยเองก็หนีไม่พ้นที่จะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งมีทั้งด้านผลกระทบ (กำแพงภาษีสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ทุนเทาเข้าประเทศ) และอานิสงส์ที่ได้รับ (การลงทุนเพิ่มขึ้น โครงการความร่วมมือระหว่างจีน-สหรัฐฯในไทย) ดังนั้นไทยคงจะต้องอยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้ต่อไป.


