กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นส่ง "มาซาอากิ คานาอิ" ทูตพิเศษเดินทางไปปักกิ่ง เพื่อพบ "หลิว จินซง" คู่เจรจาฝ่ายจีน เพื่อย้ำว่านโยบายความมั่นคงของญี่ปุ่นไม่ได้เปลี่ยน และขอให้จีนหลีกเลี่ยงการดำเนินการที่ทำลายความสัมพันธ์ทวิภาคี
ทำเนียบรัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า ช่องทางการสื่อสารระหว่างสองประเทศยังเปิดอยู่ตลอด และญี่ปุ่นได้ยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการให้จีนดำเนินการอย่างเหมาะสม พร้อมวิจารณ์คำเตือนห้ามประชาชนไปญี่ปุ่นว่าสวนทางกับเป้าหมายสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน
ด้านจีนประกาศชัดว่า นายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง จะไม่พบกับนายกรัฐมนตรีทาคาอิจิบนเวทีการประชุมสุดยอด G20 ที่แอฟริกาใต้ พร้อมเรียกร้องให้ญี่ปุ่นถอนถ้อยคำที่ผิดพลาด
ผู้นำไต้หวัน ไล่ ชิงเต๋อ แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ โดยกล่าวในนครนิวไทเปว่า จีนกำลังดำเนิน “การโจมตีแบบหลายมิติ” ใส่ญี่ปุ่น พร้อมเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศจับตาใกล้ชิด และขอให้จีน “ควบคุมตนเอง” ไม่เป็นตัวปัญหาต่อสันติภาพในภูมิภาค
นักวิเคราะห์บางส่วนเตือนว่า ความตึงเครียดอาจลากยาวหลายเดือน เพราะจีนรู้ดีว่าทาคาอิจิไม่สามารถ “กลืนคำพูด” กลับได้ การเรียกร้องให้ถอนคำพูดจึงเป็นการเพิ่มแรงกดดันมากกว่าหาทางลงร่วมกัน
จีนยังแสดง “ความกังวลอย่างจริงจัง” ต่อทิศทางนโยบายความมั่นคงของญี่ปุ่น โดยเฉพาะประเด็น “หลักการไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ 3 ข้อ” (ไม่พัฒนา ไม่ครอบครอง และไม่นำเข้าประจำการในญี่ปุ่น) ซึ่งก่อนหน้านี้มีรายงานเชิงสืบสวนเมื่อเดือนสิงหาคมว่า ภายในญี่ปุ่นเริ่มมีเสียงสนับสนุนให้ตีความหลักการดังกล่าวอย่างยืดหยุ่นมากขึ้น
ขณะเดียวกัน สหรัฐก็แสดงท่าทีหนุนหลังญี่ปุ่น โดยเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำญี่ปุ่นโพสต์ข้อความวิจารณ์กงสุลจีนบน X พร้อมเหน็บแนมว่า “ฮาโลวีนผ่านไปแล้วนะ” หลังฝ่ายจีนเคยเรียกทาคาอิจิว่า “แม่มดชั่วร้าย”
ด้านนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า หากข้อพิพาทยืดเยื้อ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปญี่ปุ่นลดลงอาจส่งผลกระทบเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างจากปี 2555 เมื่อเกิดความขัดแย้งเรื่องเกาะเซ็งกากุ เคยทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงราว 25%
โนมูระ รีเสิร์ช อินสติติวท์ ประเมินว่า หากการลดลงของนักท่องเที่ยวครั้งนี้อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ผลกระทบเชิงลบอาจมากกว่าครึ่งหนึ่งของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งปีของญี่ปุ่น สะท้อนว่า “ความขัดแย้งทางการเมืองรอบไต้หวัน” ไม่ได้เป็นแค่เรื่องความมั่นคง แต่เริ่มโยงตรงถึงกระเป๋าสตางค์ของคนญี่ปุ่นแล้วด้วย
ที่มา กลุ่มสื่อต่างประเทศ/ ภาพเอเอฟพี


