xs
xsm
sm
md
lg

บทความพิเศษ&:วัดอุณหภูมิการทูตจีน–ญี่ปุ่นในยุคผู้นำหญิงคนแรกของแดนซากุระ สมการใหม่ในหมากกระดานเอเชียตะวันออก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ความตึงเครียดระหว่างจีนและญี่ปุ่นปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งที่ปลายเดือนตุลาคม ผู้นำทั้งสองฝ่ายเพิ่งพบกันที่เกาหลีใต้ในเวทีการประชุม APEC และพยายามส่งสัญญาณว่าต้องการปรับปรุงความสัมพันธ์ให้กลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนใหม่ กล่าวในรัฐสภาเมื่อ 7 พฤศจิกายนว่า หากจีนใช้กำลังโจมตีไต้หวัน เหตุดังกล่าวอาจเข้าข่าย “สถานการณ์คุกคามความอยู่รอดของญี่ปุ่น” ซึ่งตามกฎหมายความมั่นคงชุดปัจจุบัน อาจเปิดทางให้ญี่ปุ่นใช้สิทธิ “การป้องกันตนเองโดยรวม” ร่วมกับพันธมิตรได้

แม้เธอจะไม่ได้พูดตรงๆ ว่าญี่ปุ่นจะส่งกองกำลังเข้าร่วมรบ แต่การโยงสถานการณ์ “ไต้หวันมีภัย” เข้ากับ “ความอยู่รอดของญี่ปุ่น” ก็ชัดเจนพอจะทำให้ปักกิ่งตีความว่า โตเกียวกำลังขยับเส้นแดงในเรื่องไต้หวัน ในขณะที่โตเกียวก็ย้ำว่า นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนจุดยืนพื้นฐานต่อไต้หวัน แต่เป็นการตีความกรอบกฎหมายความมั่นคงในบริบทภัยคุกคามที่เปลี่ยนไป

กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์ประณามทันที กล่าวหาว่า ผู้นำรัฐบาลญี่ปุ่น ทาคาอิจิ “ยั่วยุและแทรกแซงกิจการภายในของจีนอย่างหยาบคาย” พร้อมเตือนว่าหากญี่ปุ่นกล้าใช้กำลังแทรกแซงปัญหาไต้หวัน จะถูกจีน “ตอบโต้โดยตรง”

ไม่เพียงเท่านั้น กรณีนี้ยังบานปลายกลายเป็น “สงครามคำพูด” ระหว่างนักการทูต เมื่อกงสุลใหญ่จีนประจำโอซาก้า โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X พาดพิงถึง “ศีรษะอันสกปรกที่บังอาจย่างกรายเข้ามา ควรถูกตัดอย่างไม่ลังเล” ซึ่งสังคมญี่ปุ่นตีความว่าหมายถึงนายกรัฐมนตรีทาคาอิจิโดยตรง

แม้โพสต์ดังกล่าวจะถูกลบอย่างรวดเร็ว และฝ่ายจีนอ้างว่าเป็น “ความเห็นส่วนบุคคล” แต่แรงกระแทกทางการเมืองทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นเรียกเอกอัครราชทูตจีนเข้าชี้แจง พรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านในโตเกียวออกมาประณามอย่างหนัก หลายเสียงในพรรครัฐบาลเรียกร้องให้ประกาศให้กงสุลจีนเป็น “บุคคลไม่พึงปรารถนา” และขับออกจากญี่ปุ่น

สื่อรัฐบาลจีนในเวลาเดียวกัน กลับใช้ภาษารุนแรงโจมตีนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นอย่างเปิดหน้า สื่อในเครือ CCTV ถึงขั้นเล่นคำว่า ทาคาอิจิกลายเป็น “คนชอบก่อเรื่อง” พร้อมตั้งคำถามว่า “เธอกล้าพูดประโยค ‘ไต้หวันมีภัย ก็เท่ากับญี่ปุ่นมีภัย’ ได้อย่างไร หรือว่าสมองโดนเตะไปแล้ว?” ภาษาลักษณะนี้ทำให้บรรยากาศที่เคยพยายามผ่อนคลาย กลับตึงเครียดอย่างรวดเร็ว

อาคารกระทรวงการต่างประเทศในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2023 (แฟ้มภาพเอเอฟพี)
จีนสับคันโยกการท่องเที่ยวกดดันโตเกียว

ในคืนวันศุกร์ ( 14 พ.ย.) กระทรวงการต่างประเทศจีนออก “ประกาศเตือนการเดินทาง” ขอให้ชาวจีนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่นในระยะใกล้นี้ โดยให้เหตุผลว่าสถานการณ์ความปลอดภัยของชาวจีนในญี่ปุ่น “เสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่อง” และอ้างว่ามีเหตุโจมตีชาวจีนเกิดขึ้นหลายครั้งตลอดปีที่ผ่านมา

แถลงการณ์ระบุด้วยว่า ถ้อยแถลงล่าสุดของผู้นำญี่ปุ่นเกี่ยวกับไต้หวัน “บ่อนทำลายบรรยากาศความร่วมมือจีน–ญี่ปุ่นอย่างรุนแรง และเพิ่มความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของชาวจีนในญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญ”

สำหรับชาวจีนที่พำนักในญี่ปุ่นอยู่แล้ว ปักกิ่งแนะนำให้ “เฝ้าติดตามสถานการณ์ด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด เพิ่มความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่อาจเสี่ยงต่อความขัดแย้ง”

จีนถือเป็นหนึ่งในตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่น ในช่วงเก้าเดือนแรกของปีนี้ มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปญี่ปุ่นแล้วกว่า 7.48 ล้านคน การที่ปักกิ่งส่งสัญญาณให้ “ชะลอการเดินทาง” ทำให้นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าเป็นการใช้ “อำนาจด้านการท่องเที่ยว” เป็นเครื่องมือกดดันทางการเมือง

ชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น (ซ้าย) และ ซานาเอะ ทาคาอิจิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและการสื่อสารของญี่ปุ่น (ขวา) รับฟังการบรรยายจากศาสตราจารย์ฮิโรชิ อามาโนะ จากมหาวิทยาลัยนาโกยา ระหว่างการประชุมด้านนวัตกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีในกรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2014 (แฟ้มภาพเอเอฟพี)
ซานาเอะ ทาคาอิจิ: “ศิษย์การเมืองของอาเบะ”

ซานาเอะ ทาคาอิจิ ไม่ได้เป็นเพียงนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็น “ทายาททางการเมือง” ของอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ทั้งในด้านอุดมการณ์อนุรักษนิยม สายสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และจุดยืนแข็งกร้าวต่อจีน

ทาคาอิจิถูกเรียกว่า “ศิษย์เอกของอาเบะ” มานาน และในช่วงรณรงค์เลือกหัวหน้าพรรค เธอเอ่ยถึงอาเบะอยู่บ่อยครั้ง นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจำนวนมากเห็นตรงกันว่า ทาคาอิจิจะเดินตามแนวทางของอาเบะในภาพใหญ่ 

ศาสตราจารย์สตีเฟน จากมหาวิทยาลัยคริสเตียนนานาชาติ (ICU) ให้สัมภาษณ์ว่า แนวทางของอาเบะไม่ได้เป็น “ต่อต้านจีนโดยตรง” หากแต่มีเป้าหมายสร้าง “ภูมิภาคหลายขั้ว” เพื่อไม่ให้จีนมีอิทธิพลเหนือพื้นที่เพียงฝ่ายเดียว โดยการดึงอินเดีย กลุ่มอาเซียน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย สหรัฐฯ และยุโรปเข้ามาเป็น “ขั้ว” เพิ่มเติม เพื่อถ่วงดุลกัน แนวคิดนี้กลายเป็นฉันทามติในหมู่ในญี่ปุ่นไปแล้ว และรัฐบาลทาคาอิจิย่อมมีแนวโน้มเดินต่อบนเส้นทางเดียวกัน คือรักษาพันธมิตรกับสหรัฐฯ ให้เหนียวแน่น ขณะเดียวกันก็สร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีกับพันธมิตรอื่นในภูมิภาคมากขึ้น

ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน กล่าวสุนทรพจน์ระหว่างพิธีเฉลิมฉลองวันชาติ ที่ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงไทเป เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2025 (แฟ้มภาพเอเอฟพี)
ไต้หวัน: “เพื่อนแสนสำคัญ” และจุดอ่อนไหวในสายตาปักกิ่ง

ทาคาอิจิมักแสดงจุดยืนชัดเจนเรื่องไต้หวันตั้งแต่ยังเป็น ส.ส. เดือนเมษายนที่ผ่านมา เธอเดินทางเยือนไต้หวัน พบประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ และยังไปเยือน “สวนรำลึกอาเบะ” ที่กลุ่มอิสระนิยมชาวไต้หวันสร้างขึ้น ยิ่งตอกย้ำภาพว่าเธอสืบทอดสายสัมพันธ์ “ญี่ปุ่น–ไต้หวัน–สายอาเบะ” อย่างเต็มตัว

หลังเดินทางกลับโตเกียว เธอเสนอแนวคิด “พันธมิตรความมั่นคงกึ่งทางการ” ระหว่างญี่ปุ่นกับไต้หวัน และในเวทีประกาศชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ทาคาอิจิยังหยิบวลีของอาเบะ “ไต้หวันมีภัย ก็เท่ากับญี่ปุ่นมีภัย” มาใช้ซ้ำ พร้อมย้ำว่า “ไต้หวันเป็นเพื่อนที่สำคัญอย่างยิ่งของญี่ปุ่น”

โพสต์แรกใน X หลังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค เธอเลือกจะเขียนถึงไต้หวันว่า “เป็นเพื่อนผู้ล้ำค่า ที่แบ่งปันคุณค่าพื้นฐานร่วมกับญี่ปุ่น” ซึ่งสร้างเสียงตอบรับอย่างอบอุ่นจากฝ่ายนิยมประชาธิปไตยในไต้หวัน แต่แน่นอนว่า ยิ่งทำให้เธอกลายเป็น “เป้าหมายพิเศษ” ในสายตาสื่อของจีน


ทาคาอิจิในฐานะนายกฯ

เมื่อเธอชนะการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ แอลดีพี (LDP)  โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนให้สัมภาษณ์เพียงว่า “เรื่องนี้เป็นกิจการภายในของญี่ปุ่น” พร้อมย้ำให้โตเกียวเคารพพันธกรณีด้านประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง และยึดหลักนโยบายจีนเดียว ในเรื่องไต้หวัน

นักวิชาการบางส่วนมองว่า จีนกำลัง “รอดู” มากกว่าจะปิดประตูใส่รัฐบาลใหม่ตั้งแต่วันแรก ศาสตราจารย์มาสุดะ ยาสุฮิโระ จากมหาวิทยาลัยโตเกียวประเมินว่า ทั้งจีนและเกาหลีใต้ต่างไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีร้าวลึกในช่วงที่โลกกำลังเผชิญสงครามการค้าและความปั่นป่วนของระบบเศรษฐกิจโลก

คำถามสำคัญที่ถูกพูดถึงในโตเกียว คือ “ทาคาอิจิในฐานะ ส.ส. กับทาคาอิจิในฐานะนายกฯ จะเหมือนกันหรือไม่” นักวิชาการบางรายมองว่า เมื่อก่อนทาคาอิจิสามารถพูดและเคลื่อนไหวได้แข็งกร้าวกว่า เพราะรับบทนักการเมืองฝ่ายขวาภายในพรรค แต่เมื่อขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาล เธอจำเป็นต้องคำนึงถึงเศรษฐกิจในประเทศ ความรู้สึกของประชาชน และแรงเสียดทานจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น

สัญญาณหนึ่งที่ถูกจับตามองคือ รายงานจากสื่อญี่ปุ่นที่ระบุว่า ฝ่ายทีมงานของทาคาอิจิได้ให้ข่าวว่า เธออาจ “เลื่อนการไปศาลเจ้ายาสุคุนิ” ในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นความไม่พอใจจากจีนและเกาหลีใต้ โดยเฉพาะในจังหวะที่เตรียมเข้าร่วมเวที APEC และอาจมีการพบปะผู้นำจีน

การชะลอการไปศาลเจ้ายาสุคุนิแสดงให้เห็นว่าทาคาอิจิอาจไม่ได้คัดลอกสูตรอาเบะแบบตรงตัว แต่อาจเลือก “อัปเดตเวอร์ชัน” ให้สอดคล้องกับยุคที่โลกเผชิญสงครามยูเครน การร่วมมือของระบอบอำนาจนิยม และเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI และความมั่นคงไซเบอร์

แม้สายตาส่วนใหญ่ในต่างประเทศจะจ้องมองว่า ทาคาอิจิจะจัดการกับจีนและไต้หวันอย่างไร แต่นักการเมืองและประชาชนญี่ปุ่นจำนวนมากกลับกังวลเรื่องใกล้ตัวมากกว่า นั่นคือค่าครองชีพที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กระเทือนผู้ประกอบการญี่ปุ่น

นักวิชาการหลายคนเตือนตรงกันว่า หากทาคาอิจิไม่สามารถเสนอทางออกที่จับต้องได้สำหรับปัญหาเศรษฐกิจในชีวิตประจำวันของประชาชน เสถียรภาพของรัฐบาลก็อาจสั่นคลอนได้ไม่ยาก

สมการใหม่ของเอเชียตะวันออก

เมื่อมองภาพรวม วิกฤตคำพูด “ไต้หวันมีภัย” และการตอบโต้ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงจากคู่กรณีทั้งสองฝั่ง จนลามมาถึงคำเตือนการเดินทางของจีน สะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์จีน–ญี่ปุ่นยังคงเป็น “จุดเสี่ยง” สำคัญในภูมิรัฐศาสตร์เอเชีย

สำหรับปักกิ่ง ทาคาอิจิคือผู้นำที่มีจุดยืนชัดเจนเรื่องไต้หวัน ยึดแนวทางพันธมิตรกับสหรัฐฯ และพร้อมใช้วาทกรรมด้านความมั่นคงตอบโจทย์การเมืองภายใน

สำหรับโตเกียว จีนคือคู่ค้าที่ไม่มีทางเลี่ยงในทางเศรษฐกิจ แต่ในมิติความมั่นคงถูกมองเป็นทั้ง “คู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์” และ “คู่สนทนาที่จำเป็นต้องคุยด้วยต่อไป”

การที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนใหม่เพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่นาน ก็ต้องเผชิญ “วิกฤตจีน–ญี่ปุ่นรอบใหม่” จากคำพูดเรื่องไต้หวัน และการตอบโต้ด้วยการใช้นักท่องเที่ยวเป็นแรงกดดัน แสดงให้เห็นว่าบทบาทของทาคาอิจิในสมการจีน–ญี่ปุ่น–ไต้หวัน จะยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามไปอีกระยะยาว

โดย นายวิธวินห์ โตเกียรติรุ่งเรือง


กำลังโหลดความคิดเห็น